ศูนย์รวมพบปะสังสรรค์ ชาววังสน ทุกรุ่น ศูนย์รวมพบปะสังสรรค์ ชาววังสน ทุกรุ่น
:: ศูนย์กลางพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความรู้, ถาม-ตอบ, แนะนำ, ประกาศ, พวกเราชาววังสน ::

:: ท่านที่มาเยี่ยมชมเป็นครั้งแรก กรุณาสมัครสมาชิกก่อนครับ ::

 


Home  กลับหน้าหลัก  สมัครสมาชิก  ตั้งกระทู้ใหม่  แก้ไขข้อมูลสมาชิก  ลืมรหัสผ่าน  พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์



ขอเชิญร่วมตอบกระทู้ครับ



  วันละครั้ง ฟังเรื่องราว โน้มน้าวบันดาลใจ ให้คติข้อคิด--- An Inspirational Story, One Day at a Time&a
   Tamrak
 Posted : 02 ก.พ. 2552  เวลา 03:06:02

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เซียงเงี๊ยบฮ้อ ทุกท่าน,

ผมได้แปลเรื่องราวที่ดลบันดาลใจให้ข้อคิด ซึ่งได้รับทางอีเมล์ ลงไปไว้ในกระทู้ของรุ่นผมทุกวัน มีพี่ๆ และเพื่อนๆ หลายคนได้เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจชมเชยต่อผลงาน. ผมก็มีความคิดที่ว่า ควรจะ เปิดกระทู้ใหม่ แล้วเริ่มโพสต์ลงไปในกระทู้นี้แทน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้อ่าน และนำไปใช้เป็นข้อคิดประจำวันได้บ้าง. บางวัน เราก็ต้องการกำลังใจ ที่จะผจญต่อสู้กับเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาสู่ในชีวิตของเรา. ผู้เขียนในบางเรื่องนั้น, ท่านก็เป็นบุคคลที่มีความศรัทธาต่อทางศาสนาของท่านมาก. ผมจะพยายามใช้คำที่ถูกต้อง ไม่เป็นการลบหลู่ศาสดาของศาสนาใดๆ.

การโพสต์วันแรกนี้ จะรวมทุกอย่างที่เคยแปลไว้ มาใส่ไว้ในกระทู้นี้

ในคราวต่อไป ผมก็จะโพสต์ลงในกระทู้นี้ตลอด. ผมจะพยายามแปลให้ได้ วันละหนึ่งเรื่อง. อันนี้อยู่กับว่า งานที่ทำอยู่นั้น จะมีมากแค่ไหน. การแปลนั้น ผมทำในช่วงพักกลางวันในวันทำงานของผม คือ วันจันทร์ ถึงวันศุกร์. ถ้าผมติดธุระหรือลาพักร้อน ก็คงจะหยุดแปลเรื่องสักพัก กลับมาแล้วก็จะแปลต่อไปใหม่.

ปรกติแล้ว เวลาที่ผมแปลข้อความต่างๆ จะมีภาษาอังกฤษต้นฉบับ กำกับไว้อยู่ด้วยเสมอ. แต่เพราะว่ามีปัญหาเรื่อง characters limitations ผมจึงโพสต์แต่ภาษาไทยลงมาอย่างเดียว ประโยคบางประโยค เป็นคำสแลง ซึ่งถ้าแปลตรงๆ ตัว มันจะไม่เป็นไปตามที่เขาเขียน ผมก็แปลจากสแลงให้เป็นภาษาไทยโดยเรียบร้อย อาศัยที่ว่า อยู่ที่นี่มาหลายปี ก็คิดว่า ควรจะมีความหมายจริงๆ ว่าเป็นเช่นไร.

เชิญติชมได้ตามสบาย ขอบคุณมากครับ สวัสดี.


ทบพร, พ.พ. 14971, ปวช ปีการศึกษา 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า)

St. Louis, Missouri, USA


2 กุมภาพันธ์ 2552


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
  IP : (70.238.161.124)
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
แสดงความคิดเห็น

empty
   Tamrak
 Posted : 02 ก.พ. 2552  เวลา 03:09:05   IP :(70.238.161.124)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
"Understanding True Value" "เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริง"

นักปาฐกถาผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เริ่มการบรรยายของเขา โดยการชูเงินแบ้งค์จำนวน $20 เหรียญสหรัฐ. ในห้องซึ่งเต็มคับคั่งไปด้วยผู้คนเป็นจำนวนหลากหลาย, เขาได้กล่าวขึ้นมาว่า. "ใครบ้างที่ต้องการเงิน $20 เหรียญใบนี้? " มือหลายมือได้ชูขึ้นอย่างหลายหลาก. เขากล่าวต่อไปว่า, " ข้าพเจ้าจะให้เงินแบ้งค์ $20 ใบนี้กับบุคคล คนหนึ่งที่นี่ – แต่อย่างแรกที่สุด, ขออนุญาติให้ข้าพเจ้ากระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแบบนี้ก่อน."

เขาเริ่มดำเนินการโดยการบี้ขยำแบ้งค์ $20 เหรียญนั้น ให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็ชูชิ้นแบ้งค์ใบนั้นขึ้นมา. หลังจากนั้น, เขาได้ถามต่อว่า. "ใครบ้างที่ยังต้องการมันอยู่? " ก็ยังคงมีมือชูขึ้นมาอย่างสลอนเช่นเคย.

"ดีแล้ว," เขากล่าวต่อไป, "จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าข้าพเจ้าจะกระทำอย่างนี้? " เขาทำมันหล่นลงไปบนพื้นและเริ่มขยี้มันลงไปด้วยส้นรองเท้าของเขา จากนั้น, เขาก็นำมันขึ้นมาอีก, ดูรูปของแบ้งค์ตอนนี้ก็ยับยู่ยี่และสกปรกมาก. "ตอนนี้, ยังมีใครอยู่บ้างที่ยังต้องการอีก? " ก็ยังมีมือชูสลอนให้เห็นอยู่ในอากาศอยู่อย่างเก่า.

"เพื่อนๆ ที่รักทุกท่าน, วันนี้คุณทุกคนได้รับบทเรียนอย่างหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่าอย่างมาก. ไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรกับเงินใบนี้, คุณก็กำลังต้องการมันอยู่ตลอดเวลา เพราะว่า มันไม่สูญสิ้นในคุณค่า. มันก็ยังมีค่าอยู่ $20 เหรียญอย่างเก่า. มีหลายครั้งหลายคราในชีวิตของเรา, เราถูกโยนหล่นลงไป, ถูกบี้ถูกขยี้, และลงไปกลบอยู่กับฝุ่น โดยการตัดสินใจและสภาวะแวดล้อมที่เราได้เผชิญแต่ละอย่าง. เรามีความรู้สึกว่า เรานั้น เสมือนซึ่งไร้คุณค่า; แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามว่า อะไรได้เกิดขึ้นมาแล้ว หรือ ยังไม่ได้เกิดขึ้น, ไม่มีวันที่คุณจะสิ้นคุณค่าของตนเอง.

ไม่ว่าจะสกปรกหรือสะอาด, ยับยู่ยี่หรือเป็นรอยพับที่ดูเรียบร้อยอย่างสวยหรู, คุณก็ยังมีค่าอย่างหาประมาณมิได้ต่อบุคคลที่ให้ความรักกับคุณ. คุณค่าของชีวิตเรานั้น, ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เรากระทำ หรือว่าเราได้รู้จักใคร..... แต่อยู่ที่ ความเป็นตัวของเราเองต่างหาก."

เรื่องนี้ก็เป็นการเตือนความจำให้ว่า คุณ, และทุกๆ คน เป็นคนพิเศษ, มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีคุณค่าซึ่งไม่มีใครเสมอเหมือน. กรุณาอย่าได้ลืมได้เลยเป็นอันขาด.

----------


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 1
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   ลุงน้อย
 Posted : 02 ก.พ. 2552  เวลา 10:24:10   IP :(124.120.19.254)
Administrator

 หน้าใหม่ไร้วรยุทธ์
 

 Sex :
 Post : 0
 สมาชิกลำดับที่ :






คาลิล ยิบราน
KHALIL GIBRAN

คาลิล ยิบราน เกิดที่ Bechari ประเทศเลบานอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๓ ตายที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ เป็นกวี นักเขียน และศิลปินที่ได้รับสมญานามว่า "วิลเลียมเบลคแห่งศตวรรษที่ ๒๐" บิดามารดาของยิบรานเป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งดนตรีที่สุดในหมู่บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้น และแต่เรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ ๘ ปีก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แอนเยลโลและเลโอนารโดดารวินชิ ในปี ๑๘๙๕ ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากยังสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออายุได้สิบสี่ปีครึ่ง ยิบรานก็เดินทางกลับมายังเลบานอนและเข้าเรียนในสถานศึกษาภาษาอาหรับของซีเรีย ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง ( Rodin) ปฏิมากรชาวฝรั่งเศสที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและพำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ค และที่นั่นเอง เขาก็ได้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ (Arabic P.E.N. Club) และได้เป็นนายกของสมาคมด้วย
งานประพันธ์ของยิบรานได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอาเรบิคในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป เอเชีย ตั้งแต่ประเทศจีนถึงสเปน งานชิ้นแรกๆ ของยิบราน เป็นบทเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในท่วงทำนอง และแนวใหม่ที่จะเข้าแก้ปัญหาของชีวิต ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ชิ้นที่ชื่อ "THE PROPHET" ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบสามภาษา อ่านกันแพร่หลายอย่างยิ่งทั่วโลก ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวีอ่านง่ายแต่ไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นทั้งบทกวี ปรัชญาและธรรมะ พร้อมกันไปในตัว บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้นนี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรมนั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
ข้าพเจ้าแปลงานชิ้นนี้เป็นภาษาไทย ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้คัดบางส่วนลงพิมพ์ในที่หลายแห่ง ต้นฉบับแปลสมบูรณ์หายไปในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๘ จึงได้แปลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตัวอัลมุสตาฟาในเรื่องตอบปัญหาหลักธรรมถึง ๒๖ หัวข้อด้วยกัน ล้วนบรรจุข้อปรัชญาอันลึกซึ้งและไพเราะด้วยลีลากวีไว้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าได้พยายามถ่ายทอดความไพเราะของต้นฉบับเดิมออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าท่านที่สนใจคงจะได้รับรสและความซาบซึ้งจากฉบับแปลนี้ตามสมควร
ระวี ภาวิไล
มีนาคม ๒๕๐๔

คำนำผู้แปล

ข้าพเจ้ามีความยินดีที่สำนักพิมพ์ศึกษิตสยามดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือแปลสาธนา ปรัชญานิพนธ์ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร และ ปรัชญาชีวิตของ กวี คาลิล ยิบราน พร้อมกัน ๒ เล่ม หนังสือเล่มแรกนั้นข้าพเจ้าได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพมารดาของข้าพเจ้าเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๘ สำหรับงานของคาลิล ยิบรานนั้นสำนักพิมพ์บริการทองได้จัดพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ และในระยะหลังๆ นี้ได้มีผู้ปรารภต้องการได้ไว้เสมอๆ แม้ว่างานประพันธ์ทั้งสองจะแตกต่างด้วยพื้นเพวัฒนธรรมและขนบประเพณีของผู้รจนา เพราะเหตุด้วยชาติกำเนิด ผิวพรรณและภูมิศาสตร์ แต่เนื้อแท้ของงานทั้งสองนั้นก็กล่าวถึงเรื่องเดียวกันคือ ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับชีวิตและสังคม
ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในงานแปลทั้งสองนี้ประการหนึ่งคือ เป็นงานที่ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่ายี่สิบปีด้วยความรัก อีกประการหนึ่งนั้น แม้กาลเวลาได้ผ่านมานานฉะนี้แล้ว เมื่อข้าพเจ้าย้อนมาอ่านทบทวนดูใหม่ ก็ยังไม่ได้พบว่าตนเองเติบโตเกินที่จะต้องการรับฟังความนึกคิดในบทประพันธ์ทั้งสองนี้ ในความนึกคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว บทประพันธ์ทั้งสองบรรจุข้อคิดและคำสอนมากมายที่มีคุณค่าแก่ชีวิต และไม่เปลี่ยนแปรไปตามยุคและสมัย ขอท่านผู้สนใจทั้งหลายได้โปรดพินิจพิเคราะห์ด้วยวิจารณญาณของตนเองเถิด.
ระวี ภาวิไล
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑
________________________________________


การมาถึงแห่งนาวา


อัลมุสตาฟา ผู้บริสุทธิ์และเป็นที่รัก ผู้เป็นเสมือนรุ่งอรุณในสมัยของท่าน ได้อยู่ในเมืองออร์ฟาลีสเป็นเวลาสิบสองปี เพื่อรอเรือซึ่งจะนำท่านกลับไปยังเกาะแห่งการเวียนเกิด

ในปีที่สิบสอง วันที่เจ็ดของเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว
ท่านขึ้นไปบนภูเขานอกกำแพงเมือง และมองออกไปในท้องทะเล
และก็เห็นเรือแล่นฝ่าหมอกเข้ามา
ทันใดทวารแห่งดวงใจของท่านก็เปิดออก
ความปิติชื่นชมโบยบินออกไปในสมุทร
ท่านหลับตาและสวดภาวนาในความเงียบสงัด
ขณะเมื่อท่านเดินลงจากภูเขา
ความเศร้าสลดได้บังเกิดขึ้นในใจและท่านคิดว่า
เราจะไปโดยความสงบและปราศจากความเศร้าโศกได้อย่างไร
ไม่ได้ เราจะจากเมืองนี้ไปโดยปราศจากความเจ็บปวดไม่ได้

วันอันเต็มไปด้วยทุกข์ทรมานซึ่งเราได้อยู่ในกำแพงเมืองนี้
ยืดยาวและคืนอันเปล่าเปลี่ยวก็เนิ่นนาน
ใครนะที่อาจจะจากความเจ็บปวด
แลความเปล่าเปลี่ยวของตนเองไปโดยไม่รู้สึกเสียใจได้
บนถนนเหล่านี้ เราได้มีสิ่งที่รักมาก
และลูกหลานแหงความเฝ้าคอยของเรา
ก็เดินเปลือยร่างอยู่ตามเนินเขานี้มากมาย
และเราก็ไม่อาจจากสิ่งเหล่านี้ไปได้โดยปราศจากความปวดร้าว
สิ่งที่เราจะสละวางลงวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแต่เครื่องนุ่งห่ม
แต่เป็นเนื้อหนังของเราแท้ ๆ ที่เราจะฉีกด้วยมือตนเอง
และสิ่งที่เราจะละไว้เบื้องหลัง ก็ไม่ใช่เพียงความคำนึง
แต่เป็นดวงใจที่งดงามด้วยความหิว และความกระหาย
แต่เราก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้
ห้วงสมุทรอันเรียกสรรพสิ่งเข้าสู่ตนได้เรียกร้องเราแล้ว
และเราก็ต้องลงเรือ เพราะการที่จะยับยั้งอยู่นั้น
ถึงแม้ว่าโมงยามจะลุกไหม้ในราตรี
เราก็จะเย็นตัวแข็งและถูกจำกัดในแบบพิมพ์
ที่จริงเราอยากจะนำสิ่งทั้งหมดนี้ไปด้วย
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า

เสียงพูดไม่อาจนำเอาลิ้นและริมฝีปากซึ่งให้ปีกแก่มันไปด้วยได้ มันจะต้องเคลื่อนไปในเวหาแต่เดียวดาย และนกอินทรีบินผ่านดวงอาทิตย์ก็แต่ลำพังตนเองไม่ได้นำรังไปด้วย

บัดนี้ เมื่อท่านลงมาถึงเชิงเขา
ท่านก็หันหน้าออกไปทางทะเลอีก
และก็เห็นเรือกำลังเข้ามาในอ่าว
มีกะลาสียืนอยู่บนกราบ เป็นคนจากบ้านเกิดของท่าน
ดวงวิญญาณของท่านก็กู่เรียกเขาเหล่านี้ และท่านพูดว่า

บุตรแห่งมารดาของเรา เธอผู้สัญจรไปกับคลื่น
บ่อยครั้ง เธอได้แล่นใบในความฝันของเรา
และบัดนี้เธอมาในตื่นซึ่งเป็นความฝันอันลึกกว่า
เราพร้อมที่จะไป และความเร่งร้อนของเราก็คอยกระแสลมอยู่
ขอให้เราได้หายใจในอากาศอันสงัดนี้อีกสักครั้ง
ขอเพียงแต่มองกลับไปข้างหลังอีกสักครั้ง
แล้วเราก็จะมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเธอ
ชาวทะเลในหมู่ชาวทะเล และห้วงสมุทรกว้าง
มารดาผู้มิรู้หลับผู้ซึ่งเป็นศานติและอิสรภาพของแม่น้ำและลำธาร
ขอลำธารนี้วกวนอีกสักครั้ง
ขอเพียงแต่ได้รำพึงในหมู่ไม้นี้อีกสักครั้ง
แล้วเราก็จะมาสู่ท่าน...
หยดน้ำ...
สู่ห้วงสมุทรอันไร้เขต

ขณะที่ท่านเดินลงมา
ท่านก็เห็นชายและหญิงละมือจากท้องทุ่งและไร่องุ่นของเขา
และรีบมาที่กำแพงเมือง ท่านได้ยินเสียงเขาเหล่านั้นเรียกชื่อของท่าน
พร้อมกับตะโกนบอกกันถึงข่าวเรือของท่านมาถึง
แล้วท่านรำพึงว่า

วันแห่งการจากไป ควรจะเป็นวันเก็บเกี่ยวด้วยหรือไม่
และในอนาคตกาลนั้น ควรจะเป็นที่กล่าวกันหรือไม่ว่า
สันธยากาลแห่งเรานั้นแท้จริงก็เป็นรุ่งอรุณด้วย
เรามีอะไรสำหรับให้แก่ผู้ที่วางคันไถมา
หรือแก่ผู้ที่รีบหยุดล้อเครื่องบดองุ่น เพื่อมาหาเรา

ควรแล้วหรือมิใช่ที่ดวงใจเราจะเป็นประหนึ่งต้นไม้ผลดก
ซึ่งเราจะเก็บแจกจ่ายแก่เขาเหล่านั้น
และความปรารถนาของเราก็ควรที่จะไหลรินดังธารน้ำพุ
เพื่อว่าจะได้เติมถ้วยของเขาให้เต็ม
ควรแล้วหรือมิใช่ที่เราจะเป็นดังพิณ
เพื่อว่าพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าจะได้สัมผัส
หรือเป็นขลุ่ยซึ่งลมหายใจของพระองค์จะเป่าผ่าน
เรานี้เป็นผู้เสาะแสวงหาความสงัด
และสมบัติใดเล่าที่เราพบในความสงัดนั้น
อันเราจะให้แก่เขาได้ด้วยความมั่นใจ
ถ้าหากวันนี้เป็นวันเก็บเกี่ยวของเรา
ก็เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในท้องทุ่งใด
และในฤดูกาลอันเลือนรางใดเล่า ถ้าหากบัดนี้
เป็นชั่วโมงที่เราจะชูประทีปขึ้น
เปลวประทีปนั้นจะไม่ใช่ของเรา
เราจะชูประทีปขึ้น ว่างเปล่าและมืด
แล้วผู้พิทักษ์ราตรีจะเติมเชื้อเพลิงและจุดมันขึ้นด้วย
ท่านรำพึงสิ่งเหล่านี้เป็นคำพูด
แต่ก็มีอีกมากมายในใจซึ่งไม่ได้พูด
เพราะว่าท่านเองไม่อาจกล่าวความนึกคิดอันล้ำลึกของตนได้

เมื่อท่านถึงในเมือง ฝูงชนก็มาหา
และร้องเรียกท่านเป็นเสียงเดียว
บรรดาผู้เฒ่าออกมาข้างหน้า
และพูดว่า โปรดอย่าเพิ่งด่วนจากเราไปเลย
ท่านได้เป็นเสมือนกาลเที่ยงในยามค่ำของเรา
และความหนุ่มของท่านได้ให้ความฝันแก่เราเพื่อจะฝัน
ท่านนี้ไม่ได้เป็นผู้แปลกหน้าของเรา
และก็ไม่ได้เป็นเพียงผู้เยี่ยมเยียน
แต่เป็นดังบุตรและเป็นที่รักยิ่งของเราแท้ ๆ
อย่าเพ่อให้ดวงตาของเราต้องเจ็บปวด
เพราะไม่ได้เห็นหน้าของท่านเลย

นักบวชทั้งชายและหญิงก็กล่าวแก่ท่านว่า ขออย่าให้ระลอกคลื่นแยกเราจากกันเสียแต่บัดนี้เลย ขออย่าเพ่อให้ขวบปีที่ท่านอยู่ในหมู่เรากลายเป็นแต่ความทรงจำ ท่านได้เดินอยู่ในท่ามกลางเรา ดังดวงวิญญาณ และเงาของท่านได้เป็นดังแสงสว่างบนใบหน้าของเรา เรารักท่านมาก แต่ความรักของเราไร้คำพูด ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุม แต่บัดนี้ มันร้องเรียกท่านแล้วด้วยเสียงอันดัง
และก็จะยืนเปิดเผยตนเองเฉพาะหน้าท่าน
และเป็นที่กล่าวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า
ความรักไม่รู้ความล้ำลึกของตนเอง
จนกว่าจะถึงชั่วโมงของการจากพราก

คนอื่นก็เข้ามาร่วมอ้อนวอนท่านด้วย
และท่านไม่ตอบ ท่านเพียงแต่ก้มศีรษะ
และผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นน้ำตาของท่านร่วงลงสู่หน้าอก
แล้วท่านพร้อมฝูงชนก็พากันเดินไปยังจตุรัสใหญ่หน้าวิหาร
และก็มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ อัลมิตรา เดินออกมาจากวิหารนั้น
เธอเป็นผู้เห็นธรรม และท่านก็มองเธอด้วยความอ่อนโยนยิ่ง
เพราะว่าเธอเป็นคนแรกที่ได้พบและฟังคำกล่าวของท่าน
เมื่อครั้งที่ท่านมาถึงเมืองได้เพียงวันเดียว
และเธอก็แสดงคารวะต่อท่าน พร้อมกับพูดว่า

ท่านผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านผู้แสวงหาสิ่งสูงสุด
ท่านได้เฝ้ามองขอบฟ้ารอเรือของท่านเป็นเวลานาน
บัดนี้เรือของท่านมาถึงแล้ว และท่านจำต้องไป
ความใฝ่ฝันถึงดินแดนแห่งความทรงจำของท่านนั้นลึกซึ้งแนบแน่น
และความรักของเราก็ไม่อาจผูกพันท่านไว้ได้
หรือความปรารถนาของเราก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งท่านไว้ได้
แต่สิ่งนี้เราขอร้องก่อนที่ท่านจะจากไป
ขอท่านได้พูดแก่เรา และให้สัจธรรมแก่เรา
และเราก็จะได้ให้แก่ลูกหลานของเรา
และลูกหลานของเราก็จะได้ให้ถ่ายทอดต่อไป
และธรรมะนั้นก็จะไม่สูญ

ในความโดดเดี่ยวของท่านนั้น
ท่านได้เฝ้ามองวันคืนของเรา
และในความตื่นของท่าน
ท่านก็ได้เฝ้าฟังเสียงสะอื้นและหัวเราะในความหลับของเรา
ดังนั้น ณ บัดนี้ ขอได้เปิดเผยแก่เราเอง
และได้บอกให้เราทราบถึงสิ่งที่ท่านได้ประจักษ์
อันมีอยู่ในระหว่างการเกิดและความตาย

และท่านตอบว่า ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
เราจะบอกอะไรแก่ท่านได้
นอกจากสิ่งที่เคลื่อนอยู่ในวิญญาณของท่านเอง แม้ขณะนี้
อัลมิตราพูดขึ้นว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง ความรัก



ความรัก


และท่านก็เงยศีรษะขึ้นมองดูฝูงชน
เขาเหล่านั้นเงียบกริบ ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า

เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ
มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น
มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว
เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า
เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้ว
ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล
ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ
และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา
สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ
________________________________________


การแต่งงาน



แล้ว อัลมิตรา ก็ถามต่อไปว่า
การแต่งงาน เล่าพระคุณท่าน
และท่านตอบว่า

เธอเกิดมาด้วยกัน
และเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เธอจะอยู่ด้วยกันแม้เมื่อปีกขาวของความตาย
ปัดกวาดวันคืนของเธอให้กระจัดกระจายไป
ถูกแล้วเธอจะอยู่ด้วยกัน
แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระเป็นเจ้า
แต่ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ด้วยกันของเธอ
และขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ

จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรัก
และขอให้ความรักนั้น เป็นเสมือนห้วงสมุทร
อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง
จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง
แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว
ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก
เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้
________________________________________


บุตร


และหญิงคนหนึ่งซึ่งกอดบุตรน้อยไว้กับอก พูดว่า ได้โปรดพูดกับเราถึงเรื่อง บุตร และท่านตอบว่า

บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา
เพราะว่าวิญญาณของเขานั้นอยู่ในบ้านของพรุ่งนี้
ซึ่งเธอไม่อาจไปเยี่ยมเยียนได้แม้ในความฝัน
เธออาจพยายามเป็นเหมือนเขาได้
แต่อย่าได้พยายามให้เขาเหมือนเธอ
เพราะชีวิตนั้นไม่เดินถอยหลัง
หรือห่วงใยอยู่กับเมื่อวันวาน

เธอนั้นเป็นเสมือนคันธนู
และบุตรหลานเหมือนลูกธนูอันมีชีวิต
ผู้ยิงเล็งเห็นที่หมายบนทางอันมิรู้สิ้นสุด
พระองค์จะน้าวเธอเต็มแรง
เพื่อว่าลูกธนูจะได้วิ่งเร็วและไปไกล
ขอให้การโน้มง้าวของเธอในอุ้งหัตถ์ของพระองค์
เป็นไปด้วยความยินดี
เพราะว่าเมื่อพระองค์รักลูกธนูที่บินไปนั้น
พระองค์ก็รักคันธนูซึ่งอยู่นิ่งด้วย
________________________________________


การบริจาค



แล้วเศรษฐีคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวถึง การบริจาค และท่านตอบว่า

เมื่อเธอบริจาคทรัพย์สมบัติของเธอ
เธอให้แต่เพียงเล็กน้อย
ต่อเมื่อเธออุทิศตนเองสิ
นั่นเป็นการให้อย่างแท้จริง
ทรัพย์สมบัติของเธอเองนั้นจะเป็นสิ่งอื่นใด
นอกจากสิ่งที่เธอเก็บและเฝ้าระแวดระวังไว้ด้วยกลัวว่า
พรุ่งนี้เธออาจต้องการมันอีก

เจ้าสุนัขจอมฉลาดที่ฝังชิ้นกระดูกไว้ในทราย
ขณะเมื่อมันเดินตามผู้แสวงบุญไปยังทิพยนคร
เพื่อมันจะได้กินอีกในวันพรุ่ง
- พรุ่งนี้มันจะได้กินละหรือ
ความกลัวว่าจะต้องการอีก มิใช่ความต้องการเองหรือ
ความพรั่นพรึงต่อความกระหาย
ทั้งๆ ที่บ่อน้ำของเธอก็ยังเต็มเปี่ยม
คือความกระหายอันมิรู้ดับมิใช่หรือ

บางคนมีมาก
แต่เขาบริจาคเพียงนิดเดียว และก็ให้เพื่อเอาชื่อ
และความปรารถนาอันเร้นอยู่นี้
ย่อมทำให้การบริจาคของเขามีราคี
บางคนมีอยู่น้อยแต่อุทิศให้ทั้งหมด
เขาเหล่านี้มีศรัทธาต่อชีวิต
และต่อความสมบูรณ์ของชีวิต
และถุงเงินของเขาไม่เคยว่างเปล่า
บางคนบริจาคไปด้วยความปราโมทย์
และความปราโมทย์นั้นเองเป็นผลตอบแทน
บางคนให้ไปด้วยความปวดร้าว
ความปวดร้าวนั้นย่อมชำระดวงใจของเรา
ยังมีบางคนให้ไป
โดยไม่รู้จักความเจ็บปวดในการให้
มิได้ให้โดยมุ่งหวังคุณความดีใดๆ
เขาบริจาคให้ดุจเดียวกับบุปผชาติ
อันส่งกลิ่นหอมตรลบอยู่ในหุบเขาโน้น
พระผู้เป็นเจ้ามีดำรัสผ่านมือของบุคคลเช่นนี้
พระองค์ทรงสรวลยิ้มกับพื้นพิภพผ่านดวงตาของคนเช่นนี้

เมื่อถูกร้องขอก็เป็นการดีที่จะบริจาค
แต่ที่ดีกว่านั้นก็คือให้ไปทั้งๆ ที่ไม่ถูกขอ
โดยความเข้าอกเข้าใจกัน
และสำหรับผู้ที่พร้อมจะบริจาคนั้น
การแสวงหาผู้รับ เป็นความปราโมทย์สูงกว่าการให้เสียอีก
และเธอยังมีอะไรที่หวงกันไว้อีกหรือ

พึงระลึกไว้ว่า
วันหนึ่งทุกสิ่งที่เธอมีอยู่นี้จะต้องถูกบริจาคไป
ดังนั้นจงบริจาคเสียแต่บัดนี้ เพื่อว่าสมัยแห่งการบริจาคนั้น
จักได้เป็นของเธอ มิใช่ทายาทของเธอ


เธอมักจะกล่าวว่า
เรายินดีให้แต่เฉพาะผู้สมควรได้รับ
ต้นไม้ในสวนของเธอ
หรือปศุสัตว์ในท้องทุ่งก็ไม่กล่าวเช่นนั้น
มันสละอุทิศเพื่อจะดำรงอยู่
เพราะการหวงกันหมายความถึงการแตกทำลาย
ผู้มีคุณค่าพอที่จะได้พบวันคืน
ทุกคนควรแก่การรับทุกสิ่งทุกอย่างจากเธอ
และผู้มีคุณค่าพอที่จะได้ดื่มด่ำจากมหาสมุทรแห่งชีวิต
ก็สมควรที่จะได้ตักตวงจากธารน้ำของเธอด้วย

คุณธรรมอันใดเล่าจักประเสริฐไปกว่า
คุณธรรมอันดำรงอยู่ในความอาจหาญ ความมั่นใจ
และยิ่งกว่านั้น ในบริจาคธรรมแห่งการรับบริจาค
และเธอผู้ต้องการให้มนุษย์เปิดเผยดวงใจของเขา
และทำลายความภาคภูมิใจในตนลง
เพียงเพื่อรับการบริจาคของเธอนั้น
เธอเองมีคุณธรรมวิเศษอะไร?
จงดูตนเองเสียก่อนว่า เธอนั้นควรแก่การเป็นผู้ให้
และเป็นเครื่องมือแห่งการให้

เพราะโดยแท้จริงแล้ว ชีวิตเป็นผู้ให้แก่ชีวิต
ส่วนเธอผู้คิดเอาว่าตนเป็นผู้ให้นั้น
เป็นเพียงพยานรู้เห็น
และสำหรับเธอที่เป็นผู้รับ
และเธอทั้งหลายก็คือผู้รับ
อย่าได้คิดกังวลเรื่องบุญคุณนัก
เพราะจะเป็นการสวมขื่อคาเข้ากับตนเองและผู้ให้ด้วย
แต่ขอให้ลอยขึ้นพร้อมกับผู้ให้
โดยของขวัญนั้นเป็นปีก
เพราะความรู้สึกเรื่องหนี้บุญคุณมากไปนั้น
คือการข้องใจในความอารีของเขา
ผู้มีพื้นพิภพเป็นมารดาและพระผู้เป็นเจ้าเป็นบิดา
________________________________________


การกินและดื่ม


แล้วชายชราคนหนึ่ง เป็นเจ้าของโรงแรม กล่าวว่าได้โปรดพูดเรื่อง การกินและดื่ม ท่านกล่าวว่า

เรานี้อยากจะให้เธอดำรงชีพอยู่ได้
ด้วยความหอมหวานของพื้นดิน
และหล่อเลี้ยงอยู่ได้ด้วยแสงสว่าง เช่นเดียวกับกล้วยไม้
แต่เนื่องด้วยเธอจำต้องฆ่าเพื่อกิน
และต้องฉกลักน้ำนมแม่โคจากลูกอ่อน
เพื่อบรรเทาความกระหาย
ก็ขอจงกระทำด้วยความคารวะบูชา
และขอให้โต๊ะอาหารของเธอเป็นเช่นแท่นสังเวย
ซึ่งสิ่งที่สดและบริสุทธิ์จากทุ่งนาป่าเขา ถูกนำมาวางเป็นพลีแก่สิ่งสะอาดและบริสุทธิ์กว่า
อันดำรงอยู่ในมนุษย์

เมื่อเธอฆ่าสัตว์ จงกล่าวแก่มันในดวงใจว่า
อานุภาพเดียวกับที่ประหารเธอ จะประหารเราด้วย
และเราเองด้วยจะถูกกลืนไป
เพราะกฎเกณฑ์อันนำเธอมาสู่อุ้งมือเรานั้น
จะนำเราไปสู่อุ้งหัตถ์อันทรงอานุภาพกว่าด้วย
เลือดของเธอและเลือดของเรานั้นมิใช่อื่นใด
ต่างก็เป็นน้ำหล่อเลี้ยงพฤกษาแห่งสวรรค์

เมื่อเธอกัดกินผลไม้ จงกล่าวแก่มันในใจว่า
เมล็ดพันธุ์ของเจ้าจักดำรงอยู่ในกายเรา
และดอกตูมในวันพรุ่งนี้ของเจ้า
ก็จักผลิบานในดวงใจเรา
และกลิ่นอันหอมระรื่นของเจ้า
จะเป็นลมหายใจของเรา
และเราก็จะร่วมเริงบันเทิงทุกฤดูกาล

และในฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อเธอเด็ดพวงองุ่นนำจากไร่ไปสู่เครื่องบด
และเราก็จะถูกเก็บในภาชนะนิรันดรด้วย
เช่นเดียวกับเหล้าองุ่นใหม่ ในฤดูหนาว
เมื่อเธอรินเหล้าองุ่น
ขอให้เธอได้ร้องเพลงในดวงใจให้แก่แต่ละถ้วย
และในเพลงนั้นๆ ก็ขอให้มีความทรงจำ
ถึงวันในฤดูใบไม้ร่วง .....ถึงไร่องุ่น
และถึงเครื่องบดองุ่นด้วย
________________________________________


การงาน



แล้วชาวนาคนหนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดถึงเรื่อง การงาน
และท่านตอบว่า

เธอทำงานก็เพื่อจะก้าวไปพร้อมกับพื้นพิภพ
และวิญญาณแห่งพื้นพิภพ
เพราะการที่จะเกียจคร้านอยู่นั้น
ก็คือการทำตนเป็นผู้แปลกหน้าต่อฤดูกาลทั้งหลาย
แลคือการก้าวออกไปจากขบวนแถวของชีวิต
ซึ่งกำลังดำเนินอย่างสง่าผ่าเผยและภาคภูมิไปสู่อนันตภาวะ

เมื่อเธอทำงานนั้น
เธอคือขลุ่ยซึ่งเสียงกระซิบแห่งโมงยาม
ผ่านดวงใจของเธอแปรเป็นดนตรี
เธอคนใดบ้างอยากเป็นไม้อ้อ ใบ้และเงียบ
ในขณะเมื่อสรรพสิ่งร่วมร้องเริงกันเป็นเสียงเดียว

เธอมักจะได้รับบอกเล่าบ่อยๆ ว่า
การทำงานคือคำสาปแช่ง
และการงานคือโชคร้าย
แต่เราขอบอกแก่เธอว่า
เมื่อเธอทำงานนั้น
เธอได้ยังความฝันอันไกลยิ่งของโลก
ให้สมบูรณ์ในส่วนที่ได้จัดไว้เฉพาะเธอ
ในเมื่อความฝันนั้นอุบัติขึ้น
และในการประกอบการงานนั้น
ก็คือการที่เธอรักชีวิตอย่างแท้จริง
และการรักชีวิตโดยทางการงานนั้น
ก็คือการเข้าถึงความลับอันล้ำลึกที่สุดของชีวิต

แต่ถ้าในความเจ็บปวดทรมาน
เธอกล่าวว่า การเกิดคือความทุกข์
และการดำรงเลี้ยงกายคือคำสาปอันจารึกบนคิ้ว
เราก็ขอตอบว่า ไม่มีสิ่งอื่นใด
นอกจากหยาดเหงื่อบนคิ้วนี้เท่านั้น
ที่จะลบรอยจารึกให้สิ้นไปได้

เธอได้รับคำบอกมาด้วยว่า
ชีวิตคือความมืด
และในความเหนื่อยอ่อนของเธอนั้น
เธอได้กล่าวสะท้อนคำกล่าวของผู้เหนื่อยอ่อนทั้งหลาย

และเราก็ขอบอกว่า
ชีวิตคือความมืดแน่แท้
เว้นเสียแต่เมื่อมีความมุ่งมาด
และความมุ่งมาดนั้นก็จะยังมืดบอด
ถ้าหากไร้ปัญญา
และปัญญาทั้งหลายก็คงจะเปล่าประโยชน์
ถ้าหากไม่มีการงาน
และการงานก็จะว่างเปล่า
เมื่อไม่มีความรัก
และเมื่อเธอทำงานด้วยความรักนั้น
เธอได้โอบตนเองเข้ากับตนเองเข้ากับผู้อื่น
และเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ก็การที่จะทำงานด้วยความรักนี้คืออย่างไรเล่า

คือการทอผ้าด้วยเส้นด้ายที่ดึงจากดวงใจของเธอ
ราวกับว่าผืนผ้านั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนรักของเธอ
คือการสร้างบ้านขึ้นด้วยดวงใจเอิบอิ่มในความรัก
ประหนึ่งว่าเธอสร้างบ้านนั้นเพื่อคนรักของเธออยู่
เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ก็ด้วยความละมุนละไม
และเก็บเกี่ยวผลอันผุดขึ้นด้วยความปราโมทย์
ดุจดังว่าที่รักของเธอจะเป็นผู้บริโภคผลนั้นๆ
คือการอาบรด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับทำ
ด้วยลมหายใจจากวิญญาณของเธอ
และด้วยรู้อยู่ว่าท่านผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายผู้จากไปแล้ว
ยังยืนเคียงข้างและเฝ้าดูการงานของเธออยู่

บ่อยครั้งที่เราได้ยินเธอพูดดังเพ้อฝันว่า
นายช่างผู้แกะสลักหินอ่อน
และประจักษ์รูปร่างวิญญาณของตนเองในหินผานั้น
สูงศักดิ์กว่าชาวนาผู้คราดไถแผ่นดิน
และผู้ที่คว้าจับเอาสีสันแห่งสายรุ้ง
วางวางระบายบนผืนผ้าใบเป็นรูปร่างแบบมนุษย์นั้น
วิเศษกว่าช่างรองเท้า

แต่เราขอกล่าวว่า
มิใช่ในความหลับหลง
แต่ในความตื่นเต็มที่แห่งกลางเที่ยงนี้ว่า
สายลมนั้นมิได้กระซิบแก่ต้นกร่างใหญ่
ไพเราะไปกว่าแก่ใบหญ้าเล็กที่สุดเลย
และผู้ใดก็ตามที่แปรเสียงแห่งกระแสลม
เป็นทำนองเพลงอันหวานล้ำด้วยความรักของตนเอง
ผู้นั้นนับว่ายิ่งใหญ่โดยแท้

การงานคือความรักปรากฏตนเป็นรูปร่าง
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำใจเบื่อหน่าย
เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์
ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยความชื่นชมจะดีกว่า

เพราะถ้าเธอปิ้งขนมอย่างไม่แยแส
เธอก็จะได้ขนมอันมีรสขม
และบรรเทาความหิวโหยของมนุษย์ได้เพียงครึ่งเดียว
และถ้าเธอบ่นขณะบีบองุ่น
การบ่นของเธอคือยาพิษซึ่งซาบซึมลงในน้ำองุ่นนั้น
และถึงแม้เธอจะร้องเพลงได้ด้วยเสียงดุจเทพธิดา
แต่ถ้าเธอมิได้รักการร้องเพลงนั้นแล้ว
เธอจะทำให้หูของมนุษย์หนวกต่อสำเนียงของวันและคืน
________________________________________


ความปราโมทย์
และความเศร้าโศก


หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง
ความปราโมทย์และความเศร้าโศก
และท่านตอบว่า

ความปราโมทย์ของเธอนั้น
คือความเศร้าโศกถอดหน้ากากออก
และจากบ่อเดียวกัน ที่เสียงหัวเราะของเธอผุดขึ้นมานั้น
บ่อยครั้งมันเปี่ยมไปด้วยน้ำตาของเธอ
มันจะเป็นอย่างอื่นใดได้อีกเล่า
ความเศร้าโศกยิ่งบาดลึกลงไปในผิวเนื้อของเธอได้เท่าใด
เธอก็จะสามารถเก็บเอาความปราโมทย์ได้มากขึ้นเพียงนั้น
ก็ถ้วยที่เธอรินใส่ถ้วยองุ่นนั้น
มันจะต้องถูกเผาในเตาอบของช่างปั้นก่อนมิใช่หรือ
และขลุ่ยที่เป่ากล่อมดวงใจเธอนั้น
มิใช่ไม้ที่ถูกบากเจาะด้วยมีดก่อนหรอกหรือ

ขณะเมื่อเธอปรีดาปราโมทย์
จงมองลึกลงไปในดวงใจ
และเธอก็จะพบว่า
สิ่งซึ่งได้เคยยังความเศร้าโศกแก่เธอนั้น
กำลังให้ความปราโมทย์แก่เธอ
ขณะเมื่อเธอเศร้าโศก
จงมองลงไปอีกและก็จะพบว่า
แท้จริงนั้น เธอกำลังสะอื้นไห้
ถึงสิ่งที่เคยก่อความยินดีมาแล้ว
เธอบางคนกล่าวว่า
ความปราโมทย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าความเศร้าโศก
และอีกพวกแย้งว่า
ไม่ใช่ ความเศร้าโศกต่างหากที่ยิ่งใหญ่กว่า
แต่เราขอบอกแก่เธอว่า
มันมิอาจแยกจากกันได้ มันมาด้วยกัน
และขณะเมื่อสิ่งหนึ่งนั่งอยู่กับเธอที่โต๊ะ
พึงระลึกไว้ว่า อีกสิ่งหนึ่งหลับรออยู่บนเตียง

แท้จริงนั้น เธอแขวนไกวอยู่ดุจตาชั่ง
ระหว่างความเศร้าโศกและความปราโมทย์ของเธอ
เธอจะยืนนิ่งอยู่และไม่เอนเอียง
ก็แต่ในขณะเมื่อเธอว่างเปล่าเท่านั้น
ขณะเมื่อผู้รักษาสมบัติยกเธอขึ้น
เพื่อชั่งเงินและทองของเขา
ก็ไม่จำเป็นที่ความเศร้าโศก
หรือความชื่นชมของเธอ
จะต้องเอียงขึ้นลงด้วย
________________________________________


บ้านเรือน



แล้วช่างปูนคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า
และพูดว่า ได้โปรดกล่าวถึง บ้านเรือน
และท่านตอบกล่าวว่า

จงสร้างบ้านพักในแดนเปลี่ยว
ด้วยจินตนาการของเธอ
ก่อนที่เธอจะสร้างบ้านเรือนขึ้นในกำแพงนคร
เพราะไม่แต่เธอเท่านั้นที่กลับมาพักผ่อนที่บ้านในยามพลบ
แต่ผู้ท่องเที่ยวในเธอด้วยจะต้องกลับไป
ยังบ้านอันห่างไกลและโดดเดี่ยวนั้น

บ้านของเธอคือกายอันใหญ่ของเธอ
มันเติบโตภายใต้แสงแดด
และหลับในความสงัดนิ่งแห่งราตรีกาล
แต่มันก็มิได้ไร้ความฝัน
บ้านของเธอไม่ฝันหรอกหรือ
และในความฝันนั้น มันก็ละจากนครไปสู่หมู่ไม้และขุนเขา

เรานี้อยากจะรวบบ้านเรือนของเธอทั้งหลายไว้ในอุ้งมือ
และหว่านโปรยมันลงยังป่า และทุ่ง
เหมือนดังชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เราอยากจะให้หุบเขานั้นเป็นถนนใหญ่
และทางผ่านท้องทุ่งเขียวชอุ่มเป็นทางเดินของเธอ
เพื่อว่าเธอจะได้เที่ยวหากันและกันในไร่องุ่น
และมีกลิ่นไอของดินติดเสื้อผ้ามา
แต่สิ่งเหล่านี้จะยังเป็นไปไม่ได้


ด้วยความหวาดกลัว
บรรพบุรุษของเธอได้รวบรวมพวกเธอไว้ใกล้กันเกินไป
และความหวาดกลัวนั้นจะยังดำรงต่อไปอีก
และกำแพงนครก็จะกั้นขวางดวงใจของเธอไว้จากท้องทุ่งต่อไปอีก
และประชาชนชาวออร์ฟาลีส
ได้โปรดบอกเราว่า
เธอมีอะไรในบ้านเหล่านี้
เธอได้เฝ้าระแวดระวังอะไรไว้ด้วยประตูอันปิดแน่นนั้น
เธอมีสันติสุขอันแสดงพลังภายในเธอหรือเปล่า
เธอมีความทรงจำอันเป็นประดุจซุ้มโค้ง
ครอบยอดแห่งดวงจิตเธอหรือเปล่า
เธอมีความงามอันนำดวงใจก้าวข้ามจากสิ่งที่สร้างด้วยไม้และหิน
ไปยังขุนเขาแห่งความบริสุทธิ์หรือเปล่า

บอกเราสิว่า
เธอมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในบ้านของเธอหรือไม่
หรือว่าเธอมีแต่เพียงความสะดวกสบาย
และความใคร่ต่อความสะดวกสบาย
เจ้าสิ่งต่ำช้านั้นที่มาสู่บ้าน
ในฐานะของผู้เยี่ยมเยียน
แล้วกลายเป็นเจ้าของบ้าน
และก็กลายเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
ถูกแล้ว และมันกลายเป็นผู้ขนาบเธอ
มันใช้ขอสับและแซ่
กระทำความปรารถนาสูงส่งของเธอให้เป็นดังหุ่นเชิด
แม้ว่ามือของมันอ่อนนุ่มดุจผ้าไหม แต่ดวงใจของมันดังศิลา
มันเห่กล่อมให้เธอหลับ เพียงเพื่อจะได้ยืนอยู่ริมเตียง
และร้องสรรเสริญคุณค่าของราคะ
มันเยาะหยันความรู้ผิดชอบของเธอ
แล้วปล่อยทิ้งลงบนกอหนามดุจภาชนะแตกเปราะ

แท้จริงนั้น ราคะต่อความสะดวกสบาย
ประหารความมุ่งมาดแห่งวิญญาณ
แล้วก็ไปเดินแสยะยิ้มในขบวนศพ
แต่เธอผู้เป็นบุตรธิดาแห่งเวหา
เธอผู้ไม่ยอมอยู่นิ่งในความพักสงบ
เธอต้องไม่ยอมถูกดักจับไว้ หรือฝึกให้เชื่อง

อย่าให้บ้านของเธอเป็นสมอ จงให้มันเป็นเสาใบ
อย่าให้มันเป็นสะเก็ดบนแผล
แต่จงให้มันเป็นประดุจเปลือกตาอันระวังรักษาจักษุไว้
อย่าได้หุบห่อปีกของเธอเพียงเพื่อจะลอดผ่านประตู
อย่าได้ก้มศีรษะด้วยกลัวว่าจะชนเพดาน
อย่ากลั้นอัดลมหายใจ ด้วยเกรงว่ากำแพงจะร้าวและพังลง
อย่าอาศัยอยู่ในสุสาน ซึ่งผู้ตายไปแล้วสร้างไว้สำหรับผู้ยังอยู่
และแม้ว่าบ้านของเธอนั้นจะใหญ่โตโอ่อ่าเพียงใด
ก็อย่าให้มันเก็บรักษาความลับ
หรือคุ้มป้องความเฝ้ารอของเธอไว้
เพราะสิ่งซึ่งไร้ขอบเขตในเธอนั้น
ดำรงอยู่ในเคหาสน์แห่งเวหา
มีหมอก ณ รุ่งอรุณเป็นประตู
และมีหน้าต่างคือเสียงเพลง
และความสงัดแห่งราตรีกาล
________________________________________


เครื่องนุ่งห่ม


และช่างทอผ้ากล่าวว่า
ได้โปรดพูดกับเราถึงเรื่อง เครื่องนุ่งห่ม
ท่านตอบว่า

เสื้อผ้าของเธอนั้น
ได้ปิดบังความงามของเธอเสียมาก
แต่มันก็มิได้ปกปิดส่วนน่าเกลียด
และถึงแม้เธอจะแสวงหาอิสรภาพ
ของการปกปิดเฉพาะตนจากเครื่องนุ่งห่ม
เธอก็จะได้รับบังเxxxยนและโซ่ตรวนจากมันด้วย
เราอยากจะให้เธอเผชิญกับแสงแดด และสายลม
ด้วยผิวหนังมากกว่านี้ และด้วยเสื้อผ้าน้อยกว่านี้
เพราะลมหายใจของชีวิตนั้นอยู่ในแสงแดด
และหัตถ์แห่งชีวิตก็อยู่ในสายลม

เธอบางคนกล่าวว่า
ลมเหนือเป็นผู้ทอเสื้อผ้าที่เราสวมใส่
และเราก็ตอบว่า ถูกแล้ว ใช่ลมเหนือ
แต่หูกของมันคือความอับอาย
และเส้นด้ายก็คือความอ่อนแอของเส้นเอ็น
และเมื่อมันทอเสร็จแล้วก็ไปหัวเราะอยู่ในป่า
อย่าลืมว่าความอายนั้นเป็นเพียงเครื่องกำบัง
ต่อสายตาของคนใจสกปรก
แต่เมื่อผู้มีใจสกปรกสูญไปแล้ว
ความอายจะเป็นอะไรอื่น
นอกจากเครื่องเกี่ยวพันและราคีของดวงจิตเอง
และอย่าลืมว่า พื้นพิภพนั้น
ยินดีที่จะได้สัมผัสเท้าเปล่าของเธอ
และสายลมก็เฝ้าคอยเป่าเล่นเส้นผมของเธอด้วย
________________________________________



การซื้อ
และการขาย



และพ่อค้าค้นหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวถึง
การซื้อและการขาย
ท่านบอกว่า

พื้นพิภพได้อุทิศผลพฤกษาให้แก่เธอ
และถ้าเพียงแต่เธอรู้ว่า จะหาเอาอย่างไร
เธอก็จักไร้ความต้องการ
เธอจะบรรลุความสมบูรณ์เพียงพอ
ก็โดยการแลกเปลี่ยนของขวัญของพื้นพิภพนั้นระหว่างกัน
แต่ถ้าหากการแลกเปลี่ยนนี้มิได้เป็นไป
ด้วยความรัก และเมตตา ยุติธรรมแล้ว
บางคนก็จะเกิดความโลภ
และบางคนก็จะเกิดความหิวโหยขึ้น

เมื่อเธอผู้กรำงานอยู่ในทะเล และท้องทุ่ง และไร่องุ่น
มาพบกับช่างทอง ช่างปั้นภาชนะ
และคนเก็บเครื่องเทศ ณ ลานตลาดนั้น
ขอจงบวงสรวงให้พระวิญญาณแห่งพิภพ
มาสถิตท่ามกลางพวกเธอ
เพื่อทรงเจิมตาชั่งและตาเต็ง
ที่ใช้เปรียบเทียบคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ นั้น
และอย่าไดยอมให้ผู้มีมือเปล่า
เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนของเธอ
เพราะเขาจะเอาลมปากมาแลกกับหยาดเหงื่อของเธอ
เธอควรกล่าวแก่บุคคลเช่นนี้ว่า
จงมายังท้องทุ่งกับเรา
หรือไปยังทะเลและเหวี่ยงแหกับพี่น้องของเรา
เพราะพื้นดินและท้องน้ำก็จะประสาทผลแก่เธอด้วยเช่นกับเรา

และถ้ามีนักร้องเพลง และนักเต้นรำ
และผู้เป่าขลุ่ยเข้ามาก็จงซื้อของขวัญของเขาด้วย
เพราะคนเหล่านี้ด้วยที่เป็นผู้เก็บเกี่ยวผลพฤกษ์
ไม้จันท์และกำยาน
และสิ่งที่เขานำมานั้น
แม้จะปรุงแต่งขึ้นจากความฝัน
แต่ก็เป็นอาภรณ์ และอาหารของวิญญาณเธอ

และก่อนที่เธอจะกลับจากตลาด
จงดูให้ดีด้วยว่า ไม่มีใครกลับไปมือเปล่า
เพราะวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของพิภพ
ย่อมไม่อาจหลับตาในความสงบได้บนสายลม
จนกว่าความต้องการของทุกคน
แม้ต่ำต้อยเพียงใดได้บรรลุผลสมหมายแล้ว
________________________________________


อาชญากรรม
และทัณฑกรรม

ผู้พิพากษาคนหนึ่งในนครนั้นลุกขึ้นก้าวออกมาพูดว่า
ได้โปรดบอกเราถึง อาชญากรรมและทัณฑกรรม
และท่านตอบว่า

เมื่อใดวิญญาณของเธอออกท่องเที่ยวไปกับสายลม
ขณะนั้นเอง เธอผู้อยู่โดดเดี่ยวและมิได้มีผู้ระวัง
ก็ประทุษร้ายต่อผู้อื่น คือประทุษร้ายต่อตนเอง
และเพราะความผิดอันได้กระทำขึ้นนั้น

เมื่อเธอไปเคาะและรอที่ประตูของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เธอจะจำต้องรออยู่อย่างไม่มีใครเอาใจใส่เสียขณะหนึ่งก่อน
อาตมันในเธอนั้นเป็นประดุจมหาสมุทร
มันดำรงอยู่ไร้ราคีนิรันดร
และเช่นกับห้วงเวหา มันยกเฉพาะผู้มีปีกขึ้น

อาตมันในเธอนั้นเป็นประดุจดวงอาทิตย์
มันไม่รู้จักทางมุดของสัตว์เล็ก
หรือเที่ยวใฝ่หารังรูของงูเห่า
แต่อาตมันก็มิได้ดำรงอยู่โดดเดี่ยวในเธอ
ส่วนใหญ่ในเธอยังเป็นปุถุชน
และส่วนมากก็ไม่เป็นมนุษย์
แต่เป็นเจ้าแคระไร้สารรูป
ซึ่งเดินหลับอยู่ในหมอกมัว
แสวงหาความตื่นของตนเอง

และบัดนี้เราจะพูดถึงส่วนปุถุชนในตัวเธอ
เพราะมิใช่อาตมัน หรือเจ้าแคระในหมอกมัว
แต่ปุถุชนนั้นเองที่รู้จักอาชญากรรม และทัณฑกรรม

บ่อยครั้งที่เราได้ยิน
เธอกล่าวขวัญถึงผู้กระทำความผิดพลาด
ด้วยคำพูดประหนึ่งว่า เขาผู้นั้นมิใช่พวกเธอคนหนึ่ง
แต่เป็นผู้แปลกหน้าและเป็นผู้เข้ามารังควานโลกของเธอ
แต่เรากล่าวว่า
ผู้บริสุทธิ์และทรงคุณธรรม
ไม่อาจก้าวขึ้นเหนือสิ่งสูงสุดอันดำรงอยู่ในเธอแต่ละคนได้
เช่นเดียวกัน ผู้เลวทราม และผู้อ่อนแอ
ก็ไม่อาจตกต่ำกว่าระดับต่ำที่สุดของเธอได้
ดังเช่นใบไม้แต่ละใบไม่อาจแปรเป็นสีเหลืองได้โดยทั้งลำต้น
โดยไม่ได้มีความรู้อย่างเงียบ ๆ ฉันใด
ผู้กระทำผิดก็ไม่อาจกระทำชั่วได้โดยปราศจากความมุ่งมาด
อันแอบแฝงอยู่ในเธอทั้งหมดฉันนั้น

เธอทั้งหลายพากันเดินเข้าสู่อาตมันเป็นขบวนแถว
เธอเป็นทางเดิน และเป็นทั้งผู้เดินทาง
และเมื่อเธอคนหนึ่งสะดุดล้มลงนั้น
เขาล้มลงเพื่อผู้อยู่ข้างหลัง
โดยเตือนให้ผู้อื่นระวังก้อนหินที่ขวางทาง
และเขาล้มลงเพื่อผู้ที่ไปข้างหน้า
ซึ่งถึงแม้เดินไปได้โดยเร็วกว่าและก้าวเที่ยงกว่า
แต่ก็มิได้เอาก้อนหินที่ขวางทางออกไปเสียด้วย

และจงจำสิ่งต่อไปนี้ด้วย
แม้ว่าโลกนี้จะกดทับบนดวงใจของเธอเพียงใด
ผู้ถูกฆ่านั้นจะต้องมีส่วนรับผิดในการฆาตกรรมของตนเอง
ผู้ถูกลักขโมยเป็นผิดด้วยในการที่ถูกขโมย
ผู้ประพฤติถูกต้องก็มิพ้นมลทินจากการกระทำของผู้ต่ำช้า
และผู้มีมือสะอาดก็แปดเปื้อนด้วยเพราะการกระทำของอาชญากร

ถูกแล้ว บ่อยครั้งที่ผู้ต้องหากลายเป็นเหยื่อของผู้บาดเจ็บ
และที่ยิ่งบ่อยกว่านั้นก็คือผู้ถูกลงทัณฑ์
กลายเป็นผู้ต้องแบกภาระของผู้ไม่มีผิด และผู้ไม่ถูกติเตียน

เธอไม่อาจแยกผู้เที่ยงธรรมออกจากผู้มีอคติ
และแยกผู้มีธรรมออกจากคนเลวทราม
เพราะเขาทั้งหลายนั้นยืนเผชิญแสงแดดอยู่ด้วยกัน
เช่นเดียวกับเส้นด้ายดำขาวถักทออยู่ด้วยกัน
และเมื่อเส้นด้ายดำขาดลง ผู้ทอก็จะตรวจดูผ้าทั้งผืน
และก็จะตรวจดูหูกที่ใช้ทอด้วย

ถ้าเธอคนใดจะพิจารณาตัดสินภรรยาผู้นอกใจ
ก็ขอจงชั่งดวงใจ และหยั่งวัดวิญญาณของสามีนางด้วย
และผู้ใดจะโบยผู้กระทำผิด
ก็ขอจงมองเข้าไปในวิญญาณของเจ้าทุกข์
และถ้าเธอคนใดจะลงทัณฑกรรมในนามของคุณธรรม
และจะเหวี่ยงขวานตัดพฤกษ์ร้าย
ก็ขอเขาจงได้มองลึกลงไปยังรากของมัน
และเขาก็จะพบโดยแน่แท้เทียวว่า
รากของต้นไม้ทั้งดีและเลว
ทั้งที่มีผลและไร้ผลทั้งหมดนั้น
เกี่ยวรัดกันอย่างสนิทแนบใน
ท่ามกลางดวงใจอันเงียบสงัดของพิภพ
และเธอผู้เป็นตุลาการมุ่งความเที่ยงธรรม
เธอจะพิพากษาอย่างไรสำหรับผู้ไม่ผิดตามทางโลก
แต่เป็นโจรทางวิญญาณ
และเธอจะลงทัณฑ์อย่างไรต่อบุคคล
ซึ่งมีการกระทำหลอกลวงและข่มเหง
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ต้องทุกข์และถูกข่มเหงด้วย
เธอจะลงโทษสถานใดแก่ผู้ที่มีความเสียใจ
สำนึกผิดยิ่งกว่าความผิดพลาดของตนเองนัก

ก็ความสลดสำนึกในความผิดนั้น
เป็นไปตามบัญญัติเที่ยงธรรม
อันเธอย่อมจะพอใจยิ่งแล้วมิใช่หรือ
เธอย่อมไม่อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์สำนึกผิด
หรือปลดเปลื้องความสำนึกผิดนั้นออกจากผู้มีผิดได้
มันจะมาเยือนในยามราตรีโดยไม่ต้องการคำเชื้อเชิญ
เพื่อมนุษย์นั้นจะได้ผวาตื่นขึ้นและพินิจดูตนเอง
และเธอผู้ต้องการเข้าถึงความยุติธรรม
เธอจะเข้าใจได้อย่างไร
ถ้าไม่คอยเฝ้าดูกรรมทั้งหลายในแสงสว่างเต็มที่
จากนั้นเท่านั้นที่เธอจะได้ทราบว่า
ทั้งผู้ยืนตรงอยู่และผู้ล้มไปแล้วเป็นมนุษย์คนเดียว
และทิวากาลแห่งอาตมันในตน
และเธอก็จะได้เห็นว่า
ก้อนหินซึ่งวางอยู่ที่เสามุมของโบสถ์นั้น
มิได้มีระดับสูงไปกว่า
ก้อนที่วางเป็นรากฐานลึกที่สุดของโบสถ์เลย
________________________________________


กฏหมาย


แล้วทนายความคนหนึ่งพูดว่า
แต่เรื่อง กฎหมาย ของเราเล่าพระคุณท่าน
และท่านตอบว่า

เธอพอใจในการวางบัญญัติลง
แต่เธอก็ยังพอใจยิ่งกว่านั้นในการทำลายมันเสีย
เปรียบได้กับเด็กเล็กเล่นอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร
อุตส่าห์สร้างป้อมปราการขึ้นด้วยทราย
แล้วก็พังทลายมันลงพร้อมกับเสียงหัวเราะ
แต่ขณะที่เธอสร้างป้อมปราการอยู่นั้น
มหาสมุทรก็นำทรายมาเพิ่มแก่ฝั่งอีก
และเมื่อเธอทำลายมันลง
มหาสมุทรก็หัวเราะเล่นด้วยกับเธอ

แท้จริงนั้นมหาสมุทรหัวเราะเล่นกับผู้บริสุทธิ์เสมอ
แต่สำหรับผู้ซึ่งชีวิตมิใช่มหาสมุทร
และกฎหมายอันมนุษย์บัญญัติขึ้นมิใช่ป้อมปราการทราย
สำหรับบุคคลผู้ซึ่งชีวิตเป็นดังหินผา
และบทบัญญัติเป็นดังลิ่มซึ่งใช้สกัดหินผานั้นให้เป็นรูปร่างดังตน
สำหรับคนพิการซึ่งเกลียดการเริงรำ
สำหรับเจ้าวัวซึ่งรักขื่อคาของตน
และคิดเอาว่า กวางในป่านั้นเร่ร่อนและจรจัด
สำหรับเจ้างูเห่าแก่ที่ลอกคราบไม่ได้
และเรียกงูอื่นๆ ทั้งหมดว่าเปล่าเปลือยและไร้ยางอาย
และสำหรับผู้ที่มายังวงเลี้ยงอาหารก่อนผู้ใด
เมื่อเหนื่อยอ่อนและอิ่มแปล้แล้วก็เดินกลับไปพร้อมกับบ่นว่า
การเลี้ยงทั้งหลายเป็นการละเมิดบัญญัติ
และผู้กินเลี้ยงทั้งหลายเป็นผู้ทำลายบทบัญญัติ

เราจะกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร นอกจากว่า
เขาด้วยยืนอยู่ในแสงแดดแต่หันหลังให้ดวงอาทิตย์
เขาเห็นแต่เงาของตน
และนั่นคือบทบัญญัติของเขา
และสำหรับเขานั้น
ดวงอาทิตย์เป็นเพียงเครื่องก่อให้เกิดเงา
และการยอมรับรู้บทบัญญัติ
ก็คือการก้มลงลากรอยเส้นตามขอบเงาตนบนพื้นดิน

แต่สำหรับเธอผู้เดินบ่ายหน้าเข้าสู่ดวงอาทิตย์
ลวดลายใดอันลากลงบนพื้นพสุธาจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้
เธอผู้เหินไปกับสายลม เข็มทิศใดจะชี้ทางให้เธอ
ถ้าเธอทำลายขื่อคาของตนเอง
แต่มิได้กระทำที่ประตูคุกของผู้ใด
ก็บทบัญญัติใดอันมนุษย์สร้างขึ้น
จักผูกพันธนาเธอไว้ได้

ถ้าเธอเริงรำ แต่มิได้สะดุดล้มลง
เธอจะต้องกลัวบทกฎหมายอันใดด้วย
และใครเล่าจะหาญนำเธอไปพิพากษา
ถ้าเธอฉีกเครื่องอาภรณ์ของตนเอง
แต่มิได้ทิ้งมันไว้บนทางเดินของมนุษย์ใด
ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
เธออาจจะหยุดเสียงกลอง
เธออาจจะคลายสายพิณเสีย แต่ใครเล่าจักสามารถ
บังคับให้นกแห่งเวหาหยุดร้องเพลงได้
________________________________________

อิสรภาพ


และนักพูดคนหนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดกับเราถึง อิสรภาพ และท่านตอบว่า

ที่ประตูเมืองและที่ข้างเตาไฟ
เราได้เห็นเธอกราบกรานแลบูชาอิสรภาพของตนเอง
ดูประหนึ่งข้าทาสน้อมตนเฉพาะหน้าทุรราช
และกล่าวเยินยอแม้ว่าตนจะถูกพิฆาตฆ่า

ถูกแล้วที่ต้นไม้รอบโบสถ์ และในร่มเงาของป้อมปราการ
เราได้เห็นเธอที่เป็นอิสระที่สุด
สวมใส่อิสรภาพของตน ดุจดังขื่อคาและโซ่ตรวน
และดวงใจเราก็หลั่งเลือดอยู่ภายใน
เพราะเธอเป็นอิสระได้ทั้งที่
ความกระหายในอิสรภาพเป็นบังเxxxยนรั้งเธออยู่
และเมื่อเธอเลิกกล่าวถึงอิสรภาพว่า
เป็นจุดหมายปลายทางและความบรรลุผลแล้ว
เธอย่อมเป็นอิสระแน่แท้
ทั้งที่วันของเธอยังมีความรับผิดชอบ
และคืนของเธอยังมีความต้องการและความระทม
ด้วยแม้เมื่อสิ่งเหล่านี้เกี่ยวรัดชีวิตของเธอไว้
เธอก็ยังสามารถหลุดลอยขึ้นเหนือมัน
เปล่าเปลือย และไม่ถูกผูกมัด
และเธอจะหลุดลอยขึ้นเหนือทิวาและราตรีของเธอได้อย่างไร
นอกจากจะทำลายโซ่ตรวน ซึ่ง ณ อรุโณทัยแห่งความเข้าใจนั้น
เธอได้ผูกมัดมันไว้รอบยามเที่ยงของเธอเอง

ตามสัตย์จริงสิ่งที่เธอเรียกว่าอิสรภาพนี้
คือโซ่ตรวนแบบนี้ที่แข็งแรงที่สุด
แม้ว่าข้อต่อของมันจะต้องแสงแดดเป็นประกายจับตาของเธอ
สิ่งที่เธอจะต้องสละทิ้งไปเพื่อจะบรรลุอิสรภาพนั้น มิใช่สิ่งอื่นใด
แท้จริงก็คือชิ้นส่วนของอาตมันของเธอนั่นเอง
ถ้าเธอต้องการลบล้างกฎหมายอันไม่เป็นธรรม
ก็กฎหมายนั้น แท้จริงเธอได้จารึกไว้ด้วยมือตนบนหน้าผากตนเอง
เธอไม่อาจลบถูมันหมดได้โดยเผาตำรับกฎหมาย
หรือล้างหน้าผากตุลาการของเธอ
แม้ว่าเธอจะราดรดด้วยน้ำทั้งมหาสมุทร

และแม้เธอจะโค่นบัลลังก์ทุรราช
ก็จงดูให้แน่ใจเสียก่อนว่า
บัลลังก์ของเขาภายในเธอถูกทำลายก่อนแล้ว
เพราะทุรราชจะปกครองอิสรชน และผู้หยิ่งผยองได้อย่างไร
ถ้าไม่เพื่อข่มขี่อิสรภาพ
และก่อความอัปยศในความทะนงของเขาเหล่านั้นเอง
และถ้าเธอสามารถจะเหวี่ยงความหวั่นระวังไปให้พ้น
ก็ความหวั่นระวังนั้นเอง เธอได้เป็นผู้เลือกเอา
มิได้มีใครนำมาบังคับแก่เธอ
และถ้าเธออยากขจัดความหวั่นกลัว
รากฐานของความกลัวนั้นก็อยู่ในดวงใจของเธอเอง
มิใช่ในเงื้อมมือของสิ่งที่เธอกลัว

แท้จริงสรรพสิ่งอันเคลื่อนไหวอยู่ในเธอนั้น
ดำรงอยู่ในความกอดรัดเพียงกึ่งเดียวเสมอ
ทั้งสิ่งต้องปรารถนาและสิ่งที่พรั่นพรึง
สิ่งน่าขยะแขยง และสิ่งต้องอารมณ์
ทั้งสิ่งที่เธอไล่ไขว่คว้า
และสิ่งที่เธอต้องการหลบลี้

สิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ภายในเธอ
ดุจความสว่างและเงามืดอันกอดรัดกันอยู่เป็นคู่
และในเมื่อเงามืดจากและสูญไป
ความสว่างอันคงอยู่ก็กลายเป็นเงาของความสว่างใหม่ต่อไป
เช่นเดียวกันนี้เมื่อพันธนาการแห่งอิสรภาพของเธอสิ้นสูญไป
มันเองก็กลายเป็นพันธนาการ
ของอิสรภาพอันยิ่งใหญ่กว่าต่อไป



เหตุผลและอารมณ์


และนักบวชสตรีพูดขึ้นอีกว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่องของ เหตุผลและอารมณ์
และท่านตอบว่า

บ่อยครั้งที่วิญญาณของเธอเป็นสมรภูมิ
อันเหตุผลและการตัดสินใจของเธอ
ต่อสู้กับอารมณ์และตัณหา
เรานี้อยากจะได้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยในดวงวิญญาณของเธอ
เพื่อว่าจะได้เปลี่ยนแปรความขัดแย้งและรบพุ่ง
ของปฐมธาตุในเธอให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
และเป็นทำนองไพเราะ
แต่เราจะทำได้อย่างไร
ถ้าเธอไม่ช่วยไกล่เกลี่ยด้วย
และไม่รักปฐมธาตุทั้งหมดของตนเองด้วย

เหตุผลและอารมณ์ของเธอนั้นเป็นดุจหางเสือและใบเรือ
ของวิญญาณของเธอซึ่งจรไปในทะเล
ถ้าหากใบเรือหรือหางเสือเสียไป
เรือก็จะโคลงเคลงและล่องลอยไป
หรือไม่ก็ลอยเฉยอยู่กลางทะเล
เพราะการใช้เหตุผลแต่อย่างเดียว
เป็นดุจแรงอันถูกล้อมกรอบอยู่
ส่วนอารมณ์ไร้สิ่งเหนี่ยวรั้ง
คือเปลวเพลิงย่อมเผาผลาญแม้ตนเองให้พินาศไป

ดังนั้นจงให้วิญญาณของเธอ
ยกเหตุผลขึ้นสู่ระดับสูงของอารมณ์ เพื่อมันจะได้ร้องเริง
และขอให้มันนำแนวทางของอารมณ์ด้วยเหตุผล
เพื่อว่าอารมณ์ของเธอนั้นจักได้ดำรงอยู่นิรันดร์
โดยการฟื้นคืนชีพของตนเองทุกวัน
และผุดลอยขึ้นเหนือเถ้าถ่านของตนเองดุจปักษีอมตะ
เราอยากให้เธอคิดเสียว่า
การวินิจฉัยและความอยากใคร่ของเธอนั้น
เป็นดุจผู้เยี่ยมเยียนที่รักสองคนอันมาสู่บ้าน

แน่ละว่า เธอย่อมไม่ยกคนใดเหนืออีกคนหนึ่ง
ด้วยเจ้าของบ้านที่เอาใจใส่เฉพาะแขกคนหนึ่งมากไปนั้น
ย่อมจะสูญความรักและความเชื่อถือจากทั้งสอง

ในท่ามกลางเนินเขา
ขณะเมื่อเธอนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาเย็นของทิวสน
ร่วมรับสันติสุขและความสงบดื่มด่ำกับท้องทุ่งโน้น
ก็ขอให้ดวงใจของเธอรำพึงในความสงัดว่า
พระเป็นเจ้าประทับนิ่งอยู่ในเหตุผล

และเมื่อพายุอุบัติขึ้น
กระแสลมแรงกล้าเขย่าป่าสั่นสะท้าน
และห้วงเวหาคำรณ
และประกาศิตอานุภาพด้วยอสุนีบาต
ก็ขอให้ดวงใจเธออุทานในความพรั่นพรึงว่า
พระเป็นเจ้าเสด็จดำเนินผ่านไปในอารมณ์

และเนื่องจากเธอเป็นลมหายใจในแดนด้าวของพระองค์
และเป็นใบไม้ใบหนึ่งในสวนพฤกษาของพระองค์
เธอจึงควรพักสงบในเหตุผล
และเคลื่อนไปในอารมณ์ด้วยเช่นกัน
________________________________________


ความปวดร้าว



แล้วหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
ได้โปรดกล่าวถึง ความปวดร้าว
และท่านกล่าวว่า

ความปวดร้าวของเธอ
คือการแตกออกของเปลือกหุ้มความเข้าใจแจ้งของเธอเอง
เธอจักต้องรู้จักความปวดร้าว
เช่นกับที่เปลือกของเมล็ดพฤกษาจะต้องแตกออก
เพื่อให้ใจกลางของมันได้รับแสงอรุณ
และถ้าหากเธอสามารถกระทำดวงใจ
ให้ตื่นต่อความประหลาดมหัศจรรย์ในทุกวันของชีวิตได้แล้ว
เธอก็จะพบว่า ความปวดร้าวนั้น
น่าพิศวงไม่น้อยกว่าความปราโมทย์เลย
และเธอก็ยอมรับฤดูกาลของดวงใจ
ดังเช่นที่เธอได้ยอมรับฤดูกาล
อันเวียนผ่านไปบนท้องทุ่งของเธอฉะนั้น
และเธอก็เฝ้าพินิจอย่างสงบดื่มด่ำ
ตลอดเหมันตกาลของความทุกข์ระทมของเธอเอง

ความปวดร้าวของเธอนั้น
เป็นส่วนใหญ่ที่เธอได้เลือกเอาเอง
มันเป็นยาขมซึ่งแพทย์ภายในเธอ
ใช้รักษาอาตมันของเธออันเจ็บป่วยอยู่
ดังนั้น ขอจงวางใจในแพทย์นั้น
และจงดื่มโอสถของเขาด้วยความสงบอันดื่มด่ำเถิด
เพราะว่ามือของเขานั้น แม้หนักและกระด้าง
แต่ก็เคลื่อนไหวนำไปด้วยหัตถ์อันอ่อนโยนของอจินตภาวะ
และถ้วยยาที่เขานำมานั้น
แม้ว่ามันเผาไหม้ริมฝีปาก
แต่ก็ปั้นขึ้นจากดินซึ่งพระองค์ได้ทำให้เปียกชุ่ม
ด้วยน้ำพระเนตรของพระองค์เอง
________________________________________


การบรรลุธรรม


ชายคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง การบรรลุธรรม
และท่านตอบว่า

ในความเงียบสงัดนั้น
ดวงใจของเธอหยั่งรู้ความลับของทิวาและราตรี
แต่โสตของเธอกระหายต่อสำเนียงของปัญญาแห่งดวงใจเธอ
เธอต้องการได้ยินเป็นคำพูด
ถึงสิ่งที่เธอได้ทราบอยู่ดีตลอดมาเป็นความคิด
เธอต้องการสัมผัสร่างเปลือยเปล่าของความฝันของเธอ
ด้วยนิ้วของเธอเอง และเธอก็ควรได้เช่นนั้น

น้ำพุแห่งดวงวิญญาณของเธอ
จำต้องผุดขึ้นและไหลรำพึงลงสู่มหาสมุทร
และสมบัติแห่งความลึกล้ำสุดหยั่งในเธอ
ก็จะเผยตนออกปรากฏแก่จักษุของเธอเอง
แต่ขออย่าได้นำเอาเครื่องชั่งใดๆ
มาวัดปริมาณของสมบัติอันเป็นอจินไตยนี้
และอย่าได้ใช้ไม้วัดหรือสายดิ่งใดๆ
มาวัดหยั่งความลึกแห่งปัญญาของเธอเลย
เพราะอาตมันเป็นห้วงสมุทรอันไร้ขอบเขตและวัดไม่ได้

อย่าได้กล่าวว่า "เราพบสัจธรรมแล้ว"
พึงกล่าวว่า "เราพบสัจจะข้อหนึ่ง"
อย่าได้กล่าวว่า "เราพบมรรคาของวิญญาณแล้ว"
แต่พึงกล่าวเพียงว่า
"เราได้พบวิญญาณดำเนินไปตามมรรคาของเรา"
เพราะวิญญาณนั้นดำเนินไปตามมรรคาทั้งหลาย
วิญญาณไม่ได้เดินไปตามเส้นทางเฉพาะใดๆ
และมิได้เติบโตเช่นไม้อ้อ
วิญญาณเผยตนเองออก
ประดุจดอกบัวขยายกลีบบาน
มีกลีบเกสรนับไม่ถ้วน
________________________________________


การสอน


แล้วครูคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง การสอน
และท่านพูดว่า

ไม่มีมนุษย์ใดอาจเปิดเผยสิ่งใดแก่เธอได้
นอกจากสิ่งที่ได้นอนซบเซาอยู่ก่อนแล้ว
ในขณะรุ่งอรุณแห่งปัญญาของเธอเอง

ครูผู้ยืนอยู่ภายใต้ร่มเงาโบสถ์ ในท่ามกลางสานุศิษย์
มิได้ให้ปัญญาของท่าน
แต่ให้ความเชื่อมั่นและความรักแก่ศิษย์
ถ้าท่านเป็นปราชญ์อย่างแท้จริงแล้ว
ท่านจะไม่นำเธอก้าวล่วงเข้าสู่เคหาสน์แห่งปัญญาของท่าน
แต่จะนำเธอไปสู่แทบธรณีแห่งดวงจิตของเธอเอง

นักดาราศาสตร์อาจกล่าวให้เธอฟัง
ถึงความเข้าใจของเขาต่อท้องฟ้า
แต่เขาก็ไม่อาจหยิบยกความเข้าใจอันนั้นให้แก่เธอได้
นักดนตรีอาจร้องทำนองเพลงทั้งหลาย
อันมีอยู่ในห้วงเวหาให้เธอฟัง
แต่เขาก็ไม่อาจให้โสตอันสดับจับทำนอง
หรือสำเนียงอันร้องสะท้อนรับทำนองนั้นแก่เธอได้
ผู้ชำนาญทางคณิตศาสตร์อาจบอกเธอถึงมาตรการวัด
และระบบการชั่งวัดทั้งหมดแก่เธอ
แต่เขาก็ไม่อาจนำเธอก้าวเลยไปจากนั้น

เพราะว่าการเห็นของบุคคลหนึ่ง
ไม่อาจให้ปีกแก่บุคคลอื่นขอยืมได้
และดังเช่นที่เธอแต่ละคนยืนโดดเดี่ยว
อยู่ในปัญญาของพระเป็นเจ้า
ก็จำเป็นที่เธอแต่ละคนจะต้องยืนอยู่เฉพาะตน
ในขณะเมื่อมีปัญญาหยั่งรู้ถึงพระองค์
และในปัญญาหยั่งรู้พื้นพิภพ
________________________________________


มิตรภาพ



และชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวถึงมิตรภาพ และท่านตอบว่า


มิตรคือคำตอบต่อความต้องการของเธอ
เขาเป็นเหมือนท้องทุ่งที่เธอหว่านด้วยความรัก
และเก็บเกี่ยวด้วยความขอบคุณ
และเขาเป็นดุจโต๊ะอาหารและร่มไม้ของเธอ
ด้วยเหตุว่า
เธอมาสู่เขาด้วยความหิวโหย
และเธอใฝ่หาเขาเพื่อความสงบใจ

เมื่อเพื่อนพูดเปิดอก
เธอย่อมไม่กลัวที่จะขัดแย้งหรือสนับสนุน
และเมื่อเขานิ่งเงียบ
ดวงใจของเธอก็มิได้หยุดฟังสำเนียงจากดวงใจของเขา
เพราะในมิตรภาพนั้น
ความนึกคิด ความปรารถนา
และความมุ่งหวังทั้งหลายย่อมอุบัติขึ้น
และร่วมรับรู้ด้วยกันในความสงัด
และด้วยความปราโมทย์อันไร้คำกล่าวใดๆ

เมื่อยามต้องจากเพื่อนเธอก็ไม่เศร้าโศก
เพราะคุณธรรมในเขาอันเธอรักยิ่งนัก
จะปรากฏชัดแจ้งขึ้นในยามห่างไกล
เช่นเดียวกับที่ชาวเขาจะเห็นยอดผาชัดแจ้ง
ก็ต่อเมื่อมองดูจากทุ่งราบเท่านั้น

และขออย่าได้มีความมุ่งหมายใดๆ ในมิตรภาพเลย
นอกจากเพื่อขยายดวงวิญญาณให้กว้างขวางลึกซึ้งขึ้น
เพราะความรักที่มุ่งหวังสิ่งใดอื่น
นอกจากเพียงเพื่อเปิดเผยความล้ำลึกของตนเองนั้น
มิใช่ความรัก
แต่เป็นร่างแหที่ถูกเหวี่ยงทอดออก
และจะจับเอาไว้ได้ก็แต่สิ่งที่ไร้คุณค่าเท่านั้น

และจงให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่มิตรของเธอ
ถ้าหากเขาจำต้องรู้ระดับน้ำของเธอขณะน้ำลด
ก็ขอให้เขาได้รู้ขณะมันเอ่อท้วมท้นด้วย

เพื่อนที่เธอแสวงหาเฉพาะขณะเมื่อยามต้องการฆ่าเวลาเท่านั้น
จะมีคุณค่าอะไร?
จงใฝ่หาเขาขณะที่เธอปรารถนาจะดำรงอยู่อย่างแท้จริงด้วย
เพราะเขามีหน้าที่อันจะทำความปรารถนา
-มิใช่ความว่างเปล่าของเธอ
ให้เต็มเปี่ยม

และในความหวานชื่นของมิตรภาพ
ขอจงมีเสียงหัวเราะและการร่วมเริงบันเทิง
เพราะในหยาดน้ำค้างของสิ่งเล็กน้อยนั้นเอง
ดวงใจจะได้พบรุ่งอรุณของมัน
และกลับสดใสอีก
________________________________________


การพูดคุย



และนักศึกษาผู้หนึ่งกล่าวว่า
โปรดพูดถึง การพูดคุย
และท่านตอบว่า

เธอพูดในเมื่อเธอไม่ยอมอยู่สงบกับความคิดของเธอเอง และเมื่อเธอไม่อาจดำรงอยู่กับความโดดเดี่ยวแห่งดวงใจนั้น
เธอก็ยังชีพอยู่บนริมฝีปาก
และสำเนียงก็เป็นเครื่องกล่อมให้เพลิดเพลินและให้เวลาผ่านไป
และในการพูดของเธอนั้น
ส่วนใหญ่ความนึกคิดถูกประหารเสียครึ่งหนึ่ง


เพราะความคำนึงเป็นปักษีแห่งห้วงเวหา
แม้อาจกางปีกออกได้ในกรงแห่งคำพูด
แต่ก็ไม่อาจบินไปได้

ยังมีบางคนในหมู่เธอที่แสวงหาคนช่างพูด
ด้วยกลัวว่าจะต้องอยู่เปล่าเปลี่ยว
ความสงัดแห่งความโดดเดี่ยว
ได้เผยให้เขาเห็นอาตมันอันเปล่าเปลือยของตนเอง
และเขาต้องการหนีไป

ยังมีบางคนที่พูด
และได้เปิดเผยสัจจะซึ่งตนเองไม่เข้าใจออกมา
ทั้งที่ตนเองก็มิได้คิดหรือมีปัญญารู้อยู่ก่อนเลย
และยังมีอีกที่ประจักษ์สัจธรรมในตนแล้ว
แต่มิได้กล่าวออกมาเป็นคำพูด
ในทรวงอกของคนเหล่านี้เอง
วิญญาณดำรงอยู่ด้วยจังหวะของความสงบสงัด


เมื่อใดเธอพบเพื่อนที่ริมถนนหรือในตลาด
ขอให้วิญญาณภายในเธอ
เคลื่อนริมฝีปากและชักนำลิ้นของเธอ
ขอให้สำเนียงภายในเสียงของเธอ
กล่าวต่อโสตภายในโสตของเขา
เพราะวิญญาณของเขาจักได้รับรักษาสัจจะแห่งดวงใจของเธอ
ดังเช่นที่รสของเหล้าองุ่นถูกจำเอาไว้ได้
แม้ในเมื่อสีสันถูกลืมเลือนไป
และภาชนะบรรจุแตกสลายไปแล้ว
________________________________________


เวลา



และนักดาราศาสตร์คนหนึ่ง
ถามว่าเวลา เป็นอย่างไร
และท่านตอบว่า

เธอปรารถนาจะวัดกาลเวลาอันไร้การวัดและวัดไม่ได้
เธอปรารถนาจะจัดความประพฤติและแม้กระทั่ง
นำแนวทางเดินของเธอไปตามโมงยามและฤดูกาล
เธอปรารถนาจะสร้างกระแสธารขึ้นจากเวลา
เพื่อว่าเธอจะได้นั่งบนฝั่งและเฝ้าดูมันไหลเลื่อนผ่านไป
แต่ว่าสภาวะไร้กาลเวลาในเธอนั้นย่อมรู้พร้อมอยู่เสมอ
ถึงความไร้กาลเวลาของชีวิต
และรู้ชัดว่า เมื่อวานนี้เป็นเพียงความทรงจำของวันนี้
และพรุ่งนี้เป็นความฝันของวันนี้
และสิ่งที่ร้องเริงและรำพึงอยู่ในเธอนั้น
ก็คงยังดำรงอยู่ในขอบเขตแห่งขณะแรก
เมื่อดวงดาวถูกสาดกระจายไปในเวหา

ใครในหมู่เธอบ้างที่รู้สึกว่าอำนาจของตนที่จะรักนั้นไร้ขอบเขต
และใครบ้างที่ไม่รู้สึกว่าความรักนั้นเอง
แม้ไร้ขอบเขตจำกัด
แต่ก็ถูกโอบอุ้มไว้ในท่ามกลางแห่งตน
มิได้เคลื่อนที่จากความคิดหนึ่งไปยังอีกความคิดหนึ่ง
หรือจากการกระทำหนึ่งไปยังอีกการกระทำหนึ่ง

เวลาก็เป็นเช่นความรัก
แบ่ง ไม่ได้ และไม่เคลื่อนที่ไปเป็นก้าว
แต่ถ้าในความคำนึงของเธอจำเป็นต้องแบ่งวัดเวลาเป็นฤดูกาล
ก็ขอให้ฤดูกาลนั้นครอบคลุมฤดูกาลอื่นไว้ด้วย
และขอให้วันนี้จงโอบอุ้มอดีตไว้ด้วยความทรงจำ
และอนาคตด้วยความเฝ้ารอเถิด
________________________________________


คุณธรรม
และความชั่วร้าย


และผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง คุณธรรม และความชั่วร้าย
และท่านตอบว่า

เราอาจกล่าวถึงคุณธรรมในเธอได้
แต่มิอาจกล่าวถึงความชั่ว
เพราะความชั่วร้ายนั้นมิใช่อื่นไกล
มันคือคุณธรรมอันถูกทรมานโดยความหิวกระหายของตนเอง
แท้จริงนั้นเมื่อคุณธรรมความหิวโหยเกิดขึ้น
มันย่อมแสวงหาอาหารแม้ในถ้ำมืด
และเมื่อมันกระหาย มันย่อมดื่มได้แม้น้ำโสโครก

เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอเป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง
แต่เมื่อเธอมิได้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง
เธอก็มิได้ชั่วร้าย
เพราะบ้านที่แตกแยกนั้นก็ยังมิได้เป็นซ่องโจร
ยังคงเป็นเพียงบ้านที่แตกแยก

และนาวาอันไร้หางเสือ
แม้จะล่องลอยไปอย่างไม่มีจุดหมายในท่ามกลางหินโสโครก
แต่ก็ยังมิได้จมลงสู่ก้นสมุทร

เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอบากบั่นที่จะอุทิศตนเอง
แต่เมื่อเธอแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตน
เธอก็ยังไม่ชั่วร้าย
เพราะขณะเมื่อเธอแสวงหาผลประโยชน์นั้น
เธอเป็นดังรากไม้อันเกาะแนบแน่นกับแม่พระธรณี
และดูดกินอาหารจากอ้อมอกของนาง

เป็นที่แน่แท้ว่า
ผลไม้ไม่อาจกล่าวแก่รากไม้ว่า
จงเป็นเช่นเราสิ จงสุกสะพรั่ง
และอุทิศความสมบูรณ์ท่วมท้นของตนเถิด
ด้วยสำหรับผลไม้นั้น การอุทิศให้เป็นความจำเป็น
เช่นเดียวกับที่การรับเอาเป็นความจำเป็นของรากไม้

เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอตื่นเต็มที่ต่อคำกล่าวของตนเอง แต่เธอก็ยังมิได้ชั่วร้ายขณะเมื่อเธอหลับ
ทั้งที่ลิ้นของเธอกระดิกไปโดยไร้ความหมาย
ด้วยแม้คำพูดพล่อยที่เพ้อออกมานั้น
ยังอาจทำลิ้นอันอ่อนให้แข็งแรงขึ้นได้
เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอก้าวสู่จุดหมาย
อย่างมั่นคงและด้วยฝีก้าวห้าวหาญ
แต่แม้เมื่อเธอเดินไปอย่างอ่อนเปียก เธอก็มิได้ชั่วร้าย
เพราะแม้ผู้เดินโซเซไปก็ยังมิได้ถอยหลัง
แต่เธอผู้แข็งแรงและว่องไวอยู่
จงระวังให้ดีว่า เธอเองมิได้อ่อนเปลี้ยไปก่อนผู้พิการ เ
ธอมีคุณธรรมได้โดยทางนับไม่ถ้วน
แต่ก็ยังไม่ชั่วร้ายแม้ว่าไร้คุณธรรม
เธอยังแต่เพียงล้าหลัง และเกียจคร้านอยู่เท่านั้น

เป็นที่น่าสงสารว่า
เจ้ากวางหนุ่มไม่อาจสอนความฉับไวให้แก่เต่าตะพาบได้
คุณธรรมของเธอนั้นอยู่ในความเฝ้ารอ
ความบรรลุธรรมอันยิ่งใหญ่ของเธอเอง
และความเฝ้ารอนั้นก็มีอยู่ในทุกตัวคน
ความเฝ้ารอของเธอบางคนนั้นเป็นประดุจสายน้ำ
พุ่งไปด้วยกำลังแรงสู่ห้วงสมุทร
นำเอาความลี้ลับของเนินเขา
และบทเพลงของแนวป่าไปพร้อมกับตน
และในบางคนมันก็เป็นธารน้ำไหลเรียบวกวนไปมา
และค่อยเอื่อยอยู่กว่าจะถึงฝั่งทะเล
แต่ขออย่าให้ผู้รอคอยอย่างจริงจัง
กล่าวแก่ผู้ไม่เฝ้ารอเท่าใดนักว่า
เธอยังมัวชักช้าอยู่ด้วยเหตุใด
และหยุดอยู่ด้วยเหตุใด
ด้วยผู้ทรงคุณธรรมแท้จริงนั้น
ย่อมไม่ถามผู้เปล่าเปลือยว่า
เสื้อผ้าของเธออยู่ที่ไหน
หรือถามผู้ไร้บ้านว่า
บ้านของเธอเป็นอะไรไป
________________________________________


การสวดวิงวอน



แล้วนักบวชสตรีรูปหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดสอนเราถึงเรื่อง การสวดวิงวอน
และท่านตอบว่า

เธอมักสวดวิงวอนเฉพาะขณะเมื่อมีความทุกข์
และเกิดความจำเป็นต้องการ
เธอควรจะสวดด้วยในขณะเมื่อมีความปราโมทย์อย่างเต็มเปี่ยม
และในวันวารแห่งความสมบูรณ์เพียบพร้อมของเธอ
เพราะการสวดวิงวอนนั้น จะเป็นอะไรอื่น
ไปจากการขยายอาตมันในตนเข้าสู่ห้วงเวหาอันมีชีวิต
และถ้าหากเธอรู้สึกสบายใจ
ในการถ่ายเทความมืดมนเข้าสู่ห้วงเวหานั้น
ก็ควรจะมีความชื่นชมที่จะถ่ายเทรุ่งอรุณแห่งดวงใจของเธอด้วย
และถ้าเธอทำได้แต่สะอื้นไห้
ในเมื่อดวงวิญญาณนำเธอให้สวดวิงวอน
มันก็ควรจะกระตุ้นเตือนเธอแล้วเตือนอีก
ทั้งๆ ที่เธอร่ำไห้อยู่จนกว่าเธอจะหัวเราะได้

ในขณะเมื่อเธอสวดวิงวอนนั้น
เธอลอยขึ้นสู่เวหาเพื่อพบกับบรรดาผู้กำลังสวดอยู่ในขณะเดียวกัน
ซึ่งเธอจะไม่มีโอกาสพบเลยนอกขณะสวด
ดังนั้นขอให้การเข้าเยี่ยมเยือนโบสถ์อันมองเห็นไม่ได้นั้น
อย่าเป็นไปเพื่อสิ่งอื่นใดเลย นอกจากความซาบซึ้ง
และการอยู่ร่วมอันหวานล้ำ
เพราะถ้าเธอข้าสู่วิหารเพียงเพื่อวอนขอแต่อย่างเดียว
เธอจะไม่ได้รับ
และถ้าเธอเข้าสู่วิหารนั้นเพื่อน้อมตนลงต่ำ
จะไม่มีผู้ใดยกพยุงเธอขึ้น
หรือแม้เธอเข้าไปวอนขอคุณความดีจากผู้อื่น
ก็จะไม่มีใครเอาใจใส่ฟังเธอ

เป็นการเพียงพอแล้วที่เธอจักย่างเข้าสู่วิหารนั้น
อย่างไม่มีจักษุใดมองเห็นได้
เราไม่อาจสอนเธอให้สวดเป็นถ้อยคำใดๆ ได้
พระเป็นเจ้ามิได้ฟังคำพูดของเธอ
นอกจากเมื่อพระองค์เองตรัสผ่านริมฝีปากของเธอ
และเราก็ไม่อาจสอนเธอถึงคำสวด
ของท้องทะเล แนวไพร และขุนเขา

แต่เธอที่เกิดอยู่ท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพรและท้องทะเล
ย่อมพบคำสวดของสิ่งเหล่านี้ในดวงใจของเธอ
และถ้าเพียงแต่เธอเฝ้าฟังอยู่ในความสงัดนิ่งแห่งราตรีกาล
เธอก็จะได้ยินมันในความสงบว่า
พระเป็นเจ้า พระผู้เป็นอาตมัน ล่วงเวหาได้ในเรา
ความมุ่งมาดของพระองค์นั้นเองเป็นความมุ่งมาดในเรา
ความปรารถนาของพระองค์เป็นความปรารถนาของเรา
และความกระตุ้นเตือนของพระองค์ในเรานั้นเอง
ย่อมแปรราตรีกาลอันเป็นของพระองค์ ให้เป็นทิวากาล
ซึ่งก็เป็นของพระองค์ด้วย
เราไม่อาจวอนขอสิ่งใดจากพระองค์ได้
เพราะพระองค์ทรงหยั่งถึงความจำเป็นของเรา
แม้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นในตัวเรา
พระองค์เป็นความจำเป็นของเรา
และในการอุทิศประทานพระองค์เองยิ่งขึ้น
พระองค์ก็ได้ประทานทั้งหมดแก่เราแล้ว
________________________________________


ความบันเทิง

แล้วนักพรตรูปหนึ่งซึ่งเข้ามาในเมืองปีละครั้ง
ก้าวออกมาและพูดว่า
ได้โปรดบอกพวกเราถึงเรื่อง ความบันเทิง
และท่านตอบว่า

ความบันเทิงเป็นบทเพลงอิสรภาพ
แต่ว่ามันมิใช่อิสรภาพ
มันเป็นการผลิบานของความปรารถนาของเธอ
แต่มันก็มิใช่ผลพฤกษ์ของความปรารถนานั้น
มันเป็นความลึก กู่เรียกต่อความสูงส่ง
แต่มันเองก็มิใช่ความลึก หรือความสูง
มันเป็นกรงขังอันได้ปีกบิน แต่มันก็มิใช่เวหาอันบรรลุแล้ว
ถูกละ ตามความสัตย์จริงนั้น
ความบันเทิงเป็นบทเพลงแห่งอิสรภาพ
และเราก็พอใจจะให้เธอร้องเพลงนี้ด้วยดวงใจเต็มเปี่ยม
แต่ก็ไม่อยากให้เธอสูญเสียใจไปในการร้องเพลงนั้น
เธอบางคนที่ยังหนุ่ม เสาะแสวงหาความบันเทิง
ราวกับว่ามันเป็นสิ่งสูงสุดแล้ว
และเขาก็ถูกพิพากษาและภาคทัณฑ์

เราเองจะไม่พิพากษาหรือว่ากล่าวเขา
แต่อยากจะให้เขาใฝ่หา
เพราะเขาไม่พบแต่เพียงความบันเทิงอย่างเดียว
นางมีน้องอยู่เจ็ดนาง
และน้องสุดท้องนั้นงดงามยิ่งกว่านางเองนัก
เธอไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าถึงคนขุดดิน หารากไม้
แล้วได้พบทรัพย์สมบัติหรอกหรือ

เธอผู้สูงอายุบางคนระลึกถึงความบันเทิงด้วยความเสียใจ
ดุจว่าเป็นความผิดที่กระทำไปขณะมึนเมา
แต่ความเสียใจนั้นเป็นหมอกเฝ้าคลุมดวงจิต
และมิใช่สิ่งที่ชำระมันให้บริสุทธิ์
เขาควรจะระลึกถึงความบันเทิงของตนด้วยความสำนึกคุณ
ดังเช่นที่เขาระลึกถึงการเก็บเกี่ยวในคิมหันตกาล
แต่ถ้าหากเขาจะสบายใจได้โดยการเสียใจนั้น ก็ให้เขาได้สบายใจเช่นนั้นเถิด
และยังมีเธอบางคนที่อ่อนเกินจะเสาะแสวง
หรือแก่เกินกว่าที่จะจำได้
เนื่องด้วยกลัวต่อการใฝ่หาและทรงจำ
เขาก็หลีกหนีความบันเทิงทั้งหลายเสีย
ด้วยกลัวว่าจะฝ่าฝืนหรือผิดธรรมะ
แต่ในการกระทำเช่นนั้นเอง เขาก็มีความบันเทิง
ด้วยเหตุนี้ เขาก็พบสมบัติเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะขุดหารากได้ด้วยมือสั่นเทา

แต่ได้โปรดบอกกับเราว่า
ใครนะสามารถขัดแย้งธรรมะได้
เจ้านกไนติงเกลทำให้ความสงัดแห่งราตรีโกรธ
หรือเจ้าหิ่งห้อยกระทำให้ดวงดาวโกรธได้ละหรือ
และเปลวไฟหรือควันคลุ้มของเธอนั้น
จะเดือดร้อนแก่สายลมละหรือ
เธอคิดหรือว่าวิญญาณเป็นสระน้ำนิ่ง
ที่เธอจะแกว่งกวนให้กระเพื่อมได้ด้วยไม้
บ่อยครั้งในการปฏิเสธต่อความบันเทิงนั้น
เธอได้แต่สะสมความกระหายไว้ในส่วนลึกของตนเอง
ใครบ้างจะรู้ว่าสิ่งที่ละเว้นไว้ในวันนี้นั้น
รอคอยโอกาสแห่งวันพรุ่งอยู่
แม้กายของเธอก็ล่วงรู้เชื้อสาย
และความต้องการอันถูกต้องของมันเอง
และไม่มีใครหลอกมันได้
และกายของเธอนั้น เป็นประดุจพิณของวิญญาณเธอ
แล้วแต่ว่าเธอจะทำให้เกิดดนตรีไพเราะ
หรือสำเนียงระคายโสตขึ้น

และบัดนี้ เธอถามในดวงใจว่า ในความบันเทิงนั้น
เราจะแยกสิ่งที่มีคุณธรรมออกจากสิ่งไร้คุณธรรมได้อย่างไร
จงไปถามท้องทุ่งและไร่สวนของเธอดู
และเธอก็จะเรียนรู้ว่า
ผึ้งนั้นมีความบันเทิงในการเก็บน้ำหวานจากดอกไม้
และดอกไม้ก็มีความบันเทิงด้วย
ในการยอมให้น้ำหวานแก่แมลงผึ้ง
สำหรับแมลงผึ้งนั้น บุปผาเป็นธารน้ำพุแห่งชีวิต
และสำหรับบุปผานั้น แมลงผึ้งก็เป็นผู้นำสารแห่งความรัก
และสำหรับทั้งคู่ คือแมลงผึ้งและบุปผา
การให้และการรับความบันเทิงนั้น
เป็นทั้งความจำเป็นและความหวานซาบซึ้ง
ประชาชนชาวออร์ฟาลีสทั้งหลาย
จงมีความบันเทิงดังเช่นบุปผาและแมลงผึ้งเถิด
________________________________________



ความงาม



และกวีผู้หนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดถึง ความงาม
และท่านตอบว่า

เธอจะแสวงหาความงามที่ไหน
และจะพบได้อย่างไรกัน ถ้าความงามนั้นเองมิได้เป็นทาง
และเป็นผู้นำทางของเธอด้วย
และเธอจะพูดถึงความงามได้อย่างไร
ถ้าหากนางเองมิได้เป็นผู้ร้อยกรองคำพูดของเธอ

ผู้ระทมทุกข์ และผู้เจ็บปวดกล่าวว่า
ความงามนั้นมีเมตตาและอ่อนโยน
เธอย่างกรายไปท่ามกลางพวกเรา
ประหนึ่งมารดาสาวผู้เอียงอายในความเฉิดโฉมของตนเอง
และผู้มีอารมณ์แรงกล่าวว่า ไม่ใช่
ความงามนี้เป็นสิ่งทรงอานุภาพและพึงสยอง
นางสั่นสะเทือนพื้นพิภพ และห้วงเวลาเบื้องบนดุจพายุใหญ่
ผู้เหน็ดเหนื่อยและผู้อ่อนเพลียกล่าวว่า
ความงามคือเสียงกระซิบอ่อนโยน ดังแผ่วอยู่ในวิญญาณของเรา
สำเนียงของนางนั้นยอมตามต่อความเงียบสงัดของเรา
ดุจเปลวไฟริบหรี่ซึ่งสั่นระริกด้วยความพรั่นพรึงต่อเงามืด
แต่ผู้ไม่สงบกล่าวว่า
เราได้ยินเสียงของนางกู่ก้องอยู่ท่ามกลางขุนเขา
และพร้อมกับเสียงของนางนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าม้า
เสียงกระพือปีกและเสียงคำรามของราชสีห์ ณ ยามราตรี
ยามรักษานครกล่าวว่า
ความงามจะผุดขึ้นพร้อมกับรุ่งอรุณจากฟากฟ้าตะวันออก
และ ณ กลางเที่ยง
ผู้กรำงานและผู้สัญจรทางไกล กล่าวว่า
เราได้เห็นนางเยี่ยมมองพื้นโลกจากบัญชรแห่งอัสดงคต
ในเหมันตกาล ผู้อยู่ท่ามกลางปุยหิมะกล่าวว่า
นางจะย่างก้าวข้ามเนินเขามาพร้อมกับไม้ผลิ
และในความร้อนระอุแห่งคิมหันตกาล
ผู้เก็บเกี่ยวพูดว่า เราได้เคยเห็นนางเริงรำอยู่กับใบไม้ร่วง
มีปุยหิมะเลื่อนไหลอยู่บนผมของนาง

เธอได้กล่าวถึงความงามด้วยถ้อยคำเหล่านี้
แต่ที่จริงนั้น เธอมิได้กล่าวถึงความงาม
แต่หากกล่าวถึงความปรารถนาของเธออันยังไม่บรรลุผล
และความงามก็มิใช่ความจำเป็นที่ต้องการ
แต่เป็นความดื่มด่ำ
มันมิใช่ปากอันแห้งกระหาย หรือมือว่างเปล่าที่ชูขอ
แต่เป็นดวงใจอันลุกโรจน์ และดวงวิญญาณที่บรรเจิดจ้า
ความงามมิใช่ภาพที่เธอจะเห็นได้
หรือเพลงที่เธอจะได้ยิน
แต่เป็นภาพที่เธอจะเห็นผ่านดวงตาที่ปิดแล้ว
และเพลงที่เธอได้ยินแม้อุดโสตเสียแล้ว
ความงามมิใช่ยางที่ซึมซาบจากรอยขูดของเปลือกไม้
หรือปีกที่ติดอยู่กับอุ้งเล็บ
แต่เป็นสวนพฤกษชาติอันบานสะพรั่งตลอดกาล
และหมู่เทพยเจ้าอันเหินเวหาอยู่ตลอดกาล

ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
ความงามนั้นคือชีวิตที่เลิกม่านคลุมพักตร์ของนางออกแล้ว
แต่เธอเองก็เป็นทั้งชีวิตและม่านคลุม
ความงามคือนิรันดรภาพซึ่งเพ่งดูตนเองในกระจก
แต่เธอก็เป็นทั้งนิรันดรภาพและเป็นกระจกด้วย
________________________________________


ศาสนา



นักพรตชรารูปหนึ่งพูดว่า
โปรดพูดถึงเรื่อง ศาสนา
และท่านตอบว่า

วันนี้เราได้พูดถึงเรื่องอื่นใดหรือ
ศาสนานั้นมิใช่การกระทำทั้งหมด
และความคำนึงทั้งหมดหรอกหรือ
และนอกจากนั้นศาสนามิใช่การกระทำ
หรือความคำนึง
แต่เป็นความซาบซึ้ง
สนเท่ห์อันผุดขึ้นมามิหยุดหย่อนในดวงวิญญาณ
แม้ขณะเมื่อมือบดหิน หรือถือไม้กวาดอยู่หรอกหรือ

ใครบ้างที่สามารถแยกศรัทธาออกจากการกระทำของตนเอง
หรือแยกความเชื่อมั่นออกจากการอาชีพของตนได้
ใครบ้างที่สามารถแผ่โมงยามออกตรงหน้า และกล่าวว่า
ตอนนี้สำหรับพระเป็นเจ้า ตอนนี้สำหรับตัวเอง
สิ่งนี้สำหรับวิญญาณ และสิ่งนี้สำหรับร่างกายของเรา
โมงยามทั้งหมดของเธอนั้น
เป็นประดุจปีกกระพือผ่านอาตมันสู่อาตมัน
ผู้ใดก็ตามที่สวมใส่จริยธรรมของตนดังอาภรณ์ประดับกายนั้น
ควรจะอยู่เปลือยเปล่าเสียดีกว่า
สายลมและแสงแดดคงจะไม่ถึงกับฉีกและเผาผิวหนังของเขาได้

และผู้ใดก็ตามจำกัดตนด้วยกฎแห่งจริยธรรม
ก็เปรียบเสมือนขังนกเพลงไว้ในกรง
เพลงอันไพเราะและมีอิสระนั้น
ไม่อาจออกมาจากกรงและตาข่ายได้
และใครก็ตามที่ถือว่า
การบูชาเป็นเสมือนหน้าต่าง มีเวลาเปิดและปิด
ผู้นั้นยังไม่เคยไปถึงที่พำนักแห่งจิตวิญญาณของตนเอง
ซึ่ง ณ ที่นั้นหน้าต่างเปิดอยู่นิรันดร

พึงระลึกไว้ว่า ทุกขณะชีวิตของเธอนั้น
คือโบสถ์วิหาร และศาสนาของเธอ
เมื่อใดเธอเข้าไปสู่วิหารนั้น
จงนำทั้งหมดที่เธอมีอยู่เข้าไปด้วย
จงนำเอาคันไถ เตาสูบ ค้อน และขลุ่ยเข้าไปด้วย
จงนำเอาทุกสิ่งที่เธอสร้างขึ้นด้วยความจำเป็น
หรือด้วยความชื่นชมเข้าไปด้วย
เพราะในความเคลิ้มฝันนั้น
เธอไม่อาจลอยเหนือขึ้นความสำเร็จผลของเธอเอง
หรือตกลงต่ำกว่าความพลาดหวังของเธอเองได้
และจงนำเอาชนทั้งหลายเข้าไปด้วยกับเธอ
เพราะในการบูชาบวงสรวงนั้น
เธอไม่อาจลอยสูงเหนือความหวังของเขาเหล่านั้น
และไม่อาจตกลงไปต่ำกว่าความสิ้นหวังของเขาเหล่านั้น
และถ้าเธอต้องการจะบรรลุถึงพระเป็นเจ้า
ก็อย่าทำตนเป็นผู้ขบปัญหา
ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ ตัว
และเธ

 
 Comment : 5
ชื่อสมาชิก ลุงน้อย Mail to ลุงน้อย
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 04 ก.พ. 2552  เวลา 19:47:50   IP :(125.24.101.38)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า สมองช้า ไม่ชอบสังคม
และล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา
ชายคนนั้น...ชื่อ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์
ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัท
เดคคาเรคคอร์ต้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า
เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา
และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า เดอะ บีเทิลส์ สี่เต่าทองแห่งตำนาน

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น...ชื่อ ไมเคิล จอร์แดน
หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคนนั้น...ชื่อ ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์

ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย
แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
ชายคนนั้น...ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท
บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า
"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม มาริลีนมอนโร นั่นเอง

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคนนั้น...ชื่อ วอเรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม
บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ


 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 6
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 13 ก.พ. 2552  เวลา 08:36:26   IP :(125.24.121.133)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
***พุทธทำนาย ถอดความจากศิลาจารึก เขตมหาวิหาร ประเทศอินเดีย

     สาธุ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและในอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า....ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาของตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบาก ทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก
ที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทุกทิศ คนในสมัยนั้นจะมีนิสัยโหด ดุจกำเนิดจากสัตว์ป่า อำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันเองถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ ผู้ขวนขวาย ในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใด
มีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบางแต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น

     เริ่มแต่พุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปี เป็นต้นไปไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมชีพรามณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้า จะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลนทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ
จะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดิน ฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพังแผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ

     ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่อยู่ในศีลธรรม เชื่อคำคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพรักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม ผู้ที่มีศีลธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบ กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

     พระธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศจะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวัสสา

     ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตาภาวนา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษรู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจปฏิบัติตนตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตราย
ในกึ่งพุทธกาล


 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 7
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:01:10   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
สวัสดีครับ

หลังจากที่ลุงน้อย ได้จัดการเรื่องปัญหาการโพสต์แล้ว ผมก็เลยต้องใช้ เครื่องหมายดอกจันทร์ มาแทนตัว apostrophe เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหามากในการโพสต์น่ะครับ

ดูจากการโพสต์ของลุงน้อยแล้ว สามารถให้ความเห็นทั้งหมด 5 หมื่นกว่า characters ต่อความเห็นนะครับ ถ้าไม่มีเครื่องหมายให้ติดขัด แสดงว่า สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว


การโพสต์อันนี้ ก็มีอยู่แล้วในเวปเก่า แต่ผมจะพยายามเอามาโพต์ที่นี่ด้วย เพราะว่า เป็นเวปของรุ่น 2519 ที่พวกเราพยายามเข้ามากันครับ ถือว่าเป็นวิทยาทาน ใครชอบ ก็เอาเก็บไว้ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แค่นั้นเองน่ะครับ

โอเคครับ จะเริ่มโพสต์ใหม่ในความเห็นหน้าครับ สวัสดี

ทบพร


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 9
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:10:35   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Understanding True Value" "เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริง"

A popular speaker started off his lecture by holding up a $20 bill. In the room teeming with people, he asked. "Who would like this $20 bill?" Hands started going up. He said, "I am going to give this $20 to one of you - but first, let me do this."

นักปาฐกถาผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เริ่มการบรรยายของเขา โดยการชูเงินแบ้งค์จำนวน $20 เหรียญสหรัฐ. ในห้องซึ่งเต็มคับคั่งไปด้วยผู้คนเป็นจำนวนหลากหลาย, เขาได้กล่าวขึ้นมาว่า. "ใครบ้างที่ต้องการเงิน $20 เหรียญใบนี้? " มือหลายมือได้ชูขึ้นอย่างหลายหลาก. เขากล่าวต่อไปว่า, " ข้าพเจ้าจะให้เงินแบ้งค์ $20 ใบนี้กับบุคคล คนหนึ่งที่นี่ - แต่อย่างแรกที่สุด, ขออนุญาติให้ข้าพเจ้ากระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแบบนี้ก่อน."

He proceeded to crumple the 20 dollar note up. He then asked. "Who now wants it?" Still the hands were up in the air.

เขาเริ่มดำเนินการโดยการบี้ขยำแบ้งค์ $20 เหรียญนั้น ให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็ชูชิ้นแบ้งค์ใบนั้นขึ้นมา. หลังจากนั้น, เขาได้ถามต่อว่า. "ใครบ้างที่ยังต้องการมันอยู่?" ก็ยังคงมีมือชูขึ้นมาอย่างสลอนเช่นเคย.

"Well," he continued, "what if I do this?" He dropped it on the floor and started to grind it into the floor with his shoe. He picked it up, now crumpled and dirty. "Now, who still wants it?" Still the hands went into the air.

"ดีแล้ว," เขากล่าวต่อไป, "จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าข้าพเจ้าจะกระทำอย่างนี้? " เขาทำมันหล่นลงไปบนพื้นและเริ่มขยี้มันลงไปด้วยส้นรองเท้าของเขา จากนั้น, เขาก็นำมันขึ้นมาอีก, ดูรูปของแบ้งค์ตอนนี้ก็ยับยู่ยี่และสกปรกมาก. "ตอนนี้, ยังมีใครอยู่บ้างที่ยังต้องการอีก? " ก็ยังมีมือชูสลอนให้เห็นอยู่ในอากาศอยู่อย่างเก่า.

"My friends, you have all learned a very valuable lesson. No matter what I did to the money, you still wanted it because it did not decrease in value. It was still worth $20. Many times in our lives, we are dropped, crumpled, and ground into the dirt by the decisions we make and the circumstances that come our way. We feel as though we are worthless; but no matter what happened or what will happen, you will never lose your value.

"เพื่อนๆ ที่รักทุกท่าน, วันนี้คุณทุกคนได้รับบทเรียนอย่างหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่าอย่างมาก. ไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรกับเงินใบนี้, คุณก็กำลังต้องการมันอยู่ตลอดเวลา เพราะว่า มันไม่สูญสิ้นในคุณค่า. มันก็ยังมีค่าอยู่ $20 เหรียญอย่างเก่า. มีหลายครั้งหลายคราในชีวิตของเรา, เราถูกโยนหล่นลงไป, ถูกบี้ถูกขยี้, และลงไปกลบอยู่กับฝุ่น โดยการตัดสินใจและสภาวะแวดล้อมที่เราได้เผชิญแต่ละอย่าง. เรามีความรู้สึกว่า เรานั้น เสมือนซึ่งไร้คุณค่า; แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามว่า อะไรได้เกิดขึ้นมาแล้ว หรือ ยังไม่ได้เกิดขึ้น, ไม่มีวันที่คุณจะสิ้นคุณค่าของตนเอง.

Dirty or clean, crumpled or finely creased, you are still priceless to those who love you. The worth of our lives comes, not in what we do or who we know, but by ...Who We Are."

ไม่ว่าจะสกปรกหรือสะอาด, ยับยู่ยี่หรือเป็นรอยพับที่ดูเรียบร้อยอย่างสวยหรู, คุณก็ยังมีค่าอย่างหาประมาณมิได้ต่อบุคคลที่ให้ความรักกับคุณ. คุณค่าของชีวิตเรานั้น, ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เรากระทำ หรือว่าเราได้รู้จักใคร..... แต่อยู่ที่ ความเป็นตัวของเราเองต่างหาก."

This is to remind you that you, and everyone else is special, unique and has value that no one else has. Please never ever forget this.

เรื่องนี้ก็เป็นการเตือนความจำให้ว่า คุณ, และทุกๆ คน เป็นคนพิเศษ, มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีคุณค่าซึ่งไม่มีใครเสมอเหมือน. กรุณาอย่าได้ลืมได้เลยเป็นอันขาด.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 10
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:11:30   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Things aren*t always as they seem." "สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เห็นกันโดยเสมอไป."

Two traveling angels stopped to spend the night in the home of a wealthy family. The family was rude and refused to let the angels stay in the mansion*s guest room.

ฑูตจากสวรรค์สององค์ที่เดินทางเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์ ได้หยุดพักผ่อนตอนกลางคืนในบ้านของครอบครัวซึ่งร่ำรวย. ครอบครัวนี้มีนิสัยหยาบคายและปฎิเสธที่จะให้ฑูตจากสวรรค์ทั้งสองนั้น พักอยู่ในห้องพักในคฤหาสน์.

Instead the angels were given a small space in the cold basement. As they made their bed on the hard floor, the older angel saw a hole in the wall and repaired it.

ฑูตจากสวรรค์ทั้งสองนั้น ก็ได้ถูกส่งให้ไปอยู่ในพื้นที่แคบๆ ในห้องใต้ถุนแทน. เมื่อเขาทั้งสองได้จัดที่นอนอยู่บนพื้นห้องซึ่งแข็งกระด้างแล้ว, ฑูตสวรรค์ผู้มีอาวุโสได้เห็นช่องโหว่ช่องหนึ่งอยู่ในกำแพง และก็ได้กระทำการซ่อมแซมเสียให้เป็นที่เรียบร้อย.

When the younger angel asked why, the older angel replied, "Things aren*t always what they seem."

เมื่อฑูตสวรรค์ผู้มีอาวุโสน้อยกว่าได้ถามว่า ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น, ฑูตที่มีอาวุโสมากกว่าได้ตอบว่า "สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นเหมือนกับอย่างที่เห็นกันโดยเสมอไป."

The next night the pair came to rest at the house of a very poor, but very hospitable farmer and his wife. After sharing what little food they had the couple let the angels sleep in their bed where they could have a good night*s rest.

คืนต่อมา, ทั้งสองได้มาพักผ่อนอยู่ที่บ้านของผู้ซึ่งมีความขัดสนมากๆ, แต่กลับเป็นชาวนากับภรรยาผู้ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่. หลังจากที่ได้แบ่งปันอาหารที่มีอยู่เล็กน้อยให้เขาทั้งสองแล้ว, ทั้งสามีภรรยาก็เชิญให้ฑูตจากสวรรค์ไปพักผ่อนบนเตียงของเขาทั้งสอง ซึ่งจะทำให้ฑูตสวรรค์ทั้งสองนั้น ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่.

When the sun came up the next morning the angels found the farmer and his wife in tears. Their only cow, whose milk had been their sole income, lay dead in the field.

เมื่อตอนรุ่งสางวันใหม่ได้มาเยือน, ฑูตสวรรค์ทั้งสองก็ได้พบชาวนากับภรรยากำลังร้องไห้โศกเศร้าน้ำตาไหลด้วยความเสียใจ. วัวตัวเดียวที่เขาทั้งสองมีอยู่, ซึ่งทำรายได้อย่างเดียวให้กับเข้าทั้งสองจากการขายน้ำนม, ได้นอนตายสนิทอยู่ในท้องทุ่ง.

The younger angel was infuriated and asked the older angel how could you have let this happen? The first man had everything, yet you helped him, she accused.

ฑูตสวรรค์ผู้มีอาวุโสน้อยกว่า มีความขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก และได้ถามฑูตสวรรค์ผู้มีอาวุโสกว่าว่า ท่านยอมให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? บ้านแห่งแรก เจ้าของบ้านมีทุกสิ่งทุกอย่าง, แต่ท่านก็ยังช่วยเหลือเขา, ฑูตสวรรค์ผู้มีอาวุโสน้อยได้ตำหนิผู้มีอาวุโสกว่า.

The second family had little but was willing to share everything, and you let the cow die. "Things aren*t always what they seem," the older angel replied.

ครอบครัวที่สองนี้มีเพียงน้อยนิด แต่ยอมที่จะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง, และท่านก็ยังยอมให้วัวตายได้. "สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เห็นกันโดยเสมอไป." ฑูตสวรรค์ผู้มีอาวุโสได้ตอบกล่าว.

"When we stayed in the basement of the mansion, I noticed there was gold stored in that hole in the wall. Since the owner was so obsessed with greed and unwilling to share his good fortune, I sealed the wall so he wouldn*t find it."

"เมื่อเราพักอยู่ที่ห้องใต้ถุนในคฤหาสน์หลังนั้น, ฉันสังเกตุเห็นว่า มีทองคำกักตุนอยู่ในช่องโหว่นั้นในกำแพง. เพราะว่าเจ้าของเป็นบุคคลที่ถูกครอบงำอยู่ด้วยความโลภ และไม่เต็มใจที่จะแบ่งปันโชคลาภที่ดีของเขา, ฉันก็เลยปิดช่องในกำแพงนั้นเสีย เพื่อเขาไม่สามารถที่จะเห็นมันได้."

"Then last night as we slept in the farmers bed, the angel of death came for his wife. I gave him the cow instead.

"หลักจากนั้น เมื่อคืนที่เราทั้งสองได้พักผ่อนหลับนอนอยู่ในเตียงของชาวนานั้น, ฑูตแห่งความตายได้มาที่นี่ เพื่อจะนำเอาดวงวิญญาณของภรรยาชาวนาไป. แต่ฉันได้ให้ดวงวิญญาณของวัวกับเขาไปแทน.

Things aren*t always what they seem."

สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เห็นกันโดยเสมอไป."

This is to remind that sometimes that is exactly what happens when things don*t turn out the way they should. If you have faith, you just need to trust that every outcome is always to your advantage. You just might not know it until some time later...

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจว่า บางครั้งเป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างแน่ชัด เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่กลับกลายเป็นเรื่องตามที่ควรจะเป็นไป. ถ้าคุณมีความศรัทธา, คุณเพียงแต่เชื่อว่า ผลที่ออกมาทุกอย่างเป็นเรื่องที่ดีของคุณอย่างเสมอ. คุณอาจจะไม่รู้ จนกระทั่งในเวลาผ่านไปในภายหลัง.......



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 11
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:12:20   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Wooden Bowl" "ชามไม้"

A frail old man went to live with his son, daughter-in-law, and four-year old grandson. The old man*s hands trembled, his eyesight was blurred, and his step faltered.

ผู้เฒ่าซึ่งอ่อนแอมากคนหนึ่งได้มาอาศัยอยู่กับลูกชาย, ลูกสะใภ้, และหลานชายอายุสี่ขวบของเขา. มือของผู้เฒ่านี้มีอาการสั่นอยู่ตลอด, สายตาของเขาก็พร่ามัว, และการก้าวย่างแต่ละก้าวก็เต็มไปด้วยความโซซัดโซเซแบบขาดความมั่นใจ.

The family ate together at the table. But the elderly grandfather*s shaky hands and failing sight made eating difficult. Peas rolled off his spoon on to the floor. When he grasped the glass, milk spilled on the tablecloth. The son and daughter-in-law became irritated with the mess. "We must do something about Grandfather," said the son. I*ve had enough of his spilled milk, noisy eating, and food on the floor.

ครอบครัวนี้รับประทานอาหารร่วมกันที่โต๊ะ. แต่มือที่สั่นสะเทิ้มและสายตาที่ย่ำแย่ลงของคุณปู่ผู้เฒ่านี้ ได้ทำให้การรับประทานอาหารของเขาเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก. เมล็ดถั่วได้กลิ้งตกจากช้อนลงไปบนพื้นบ้าน. เมื่อเขาจับแก้ว, น้ำนมก็ได้หกลงบนผ้าปูโต๊ะ. ลูกชายและลูกสะใภ้ก็เริ่มรำคาญในเรื่องสภาพที่สกปรกไม่เรียบร้อยนี้. "เราต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับคุณปู่เสียที, " ลูกชายได้พูดขึ้นมา. ฉันระอาเต็มทีแล้วในเรื่องนมหก, กินเสียงดังจุบจิบ, และอาหารหล่นอยู่ตามพื้นห้อง.

The husband and wife set a small table in the corner. There, Grandfather ate alone while the rest of the family enjoyed dinner. Since Grandfather had broken a dish or two, his food was served in a wooden bowl. When the family glanced in Grandfather*s direction, sometime he had a tear in his eye as he sat alone. Still, the only words the couple had for him were sharp admonitions when he dropped a fork or spilled food.

สามีและภรรยาได้จัดโต๊ะเล็กๆ ไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง. ที่นั่น, คุณปู่ก็ได้ทานอาหารอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในขณะที่สมาชิกของครอบครัวทั้งหมดได้มีความร่าเริงต่อการรับประทานอาหาร. เพราะว่าคุณปู่ได้ทำจานหล่นแตกไปใบหนึ่งหรือสองใบ, อาหารของเขาได้ถูกเสิร์ฟให้ด้วยชามไม้. เมื่อสมาชิกของครอบครัวได้ชำเลืองมองไปยังที่ที่คุณปู่นั่งอยู่, บางครั้ง เขาก็มีน้ำตาคลออยู่ในเบ้าตาเมื่อเขาได้นั่งอยู่คนเดียว. ถึงอย่างนั้นก็ตาม, คำพูดที่ทั้งสามีภรรยาได้กล่าวกับเขาอย่างเดียวเท่านั้นก็คือ การท้วงติงอย่างเสียดแทงเมื่อเขาได้ทำส้อมหล่นหรืออาหารหกลงมาบนพื้น.

The four-year-old watched it all in silence. One evening before supper, the father noticed his son playing with wood scraps on the floor. He asked the child sweetly, "What are you making?" Just as sweetly, the boy responded, "Oh, I am making a little bowl for you and Mama to eat your food when I grow up." The four-year-old smiled and went back to work. The words so struck the parents that they were speechless.

หลานชายอายุสี่ขวบได้มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ. ในคืนวันหนึ่งก่อนจะทานอาหารค่ำ, ผู้เป็นพ่อได้สังเกตุเห็นว่าลูกชายของตน กำลังเล่นกับเศษไม้เป็นชิ้นๆ อยู่บนพื้น. เขาถามลูกชายอย่างหวานชื่นว่า, "เธอกำลังทำอะไรอยู่หรือ?" ลูกชายก็ได้ตอบกลับ, อย่างหวานชื่นเหมือนกันว่า, "อ้อ, ผมกำลังทำชามเล็กๆ สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ เพื่อจะได้นำเอาไปใส่อาหารมากิน เมื่อตอนที่ผมโตขึ้นไงครับ." เด็กน้อยอายุสี่ขวบก็ได้ยิ้มและกลับไปทำงานต่ออีก. คำพูดนั้นได้ถูกตอกกลับไปยังผู้ปกครองทั้งสอง จนต้องอึ้งถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว.

Then tears started to stream down their cheeks. Though no word was spoken, both knew what must be done. That evening the husband took Grandfather*s hand and gently led him back to the family table. For the remainder of his days he ate every meal with the family. And for some reason, neither husband nor wife seemed to care any longer when a fork was dropped, milk spilled, or the tablecloth soiled.

หลังจากนั้น, น้ำตาก็เริ่มไหลพรากออกมายังแก้มของเขาทั้งสอง. ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำพูดอะไรออกมา, ทั้งคู่ก็ทราบแล้วว่าจะต้องทำอะไรต่อไป. ในค่ำวันนั้น, สามีได้จูงมือของคุณปู่และนำเขากลับเข้ามาร่วมทานอาหารที่โต๊ะของครอบครัวอย่างสุภาพ. ในตลอดเวลาที่เขายังมีชีวิตเหลืออยู่, คุณปู่ก็ได้รับประทานอาหารทุกมื้ออยู่กับครอบครัวนั้น. และด้วยเหตุผลบางประการ, ทั้งตัวสามีหรือตัวภรรยาเอง ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะสนใจอะไรต่อไปนัก เมื่อส้อมได้หล่นลงบนพื้น, น้ำนมได้หกลง, หรือผ้าปูโต๊ะจะเปื้อนคราบอาหาร.

On a positive note, I*ve learned that, no matter what happens, how bad it seems today, life does go on, and it will be better tomorrow. I*ve learned that you can tell a lot about a person by the way he/she handles three things: a rainy day, lost luggage, and tangled tree lights. I*ve learned that, regardless of your relationship with your parents, you*ll miss them when they*re gone from your life. I*ve learned that making a "living" is not the same thing as making a "life." I*ve learned that life sometimes gives you a second chance. I*ve learned that you shouldn*t go through life with a catcher*s mitt on both hands. You need to be able to throw something back. I*ve learned that if you pursue happiness, it will elude you. But, if you focus on your family, your friends, the needs of others, your work and doing the very best you can, happiness will find you. I*ve learned that whenever I decide something with an open heart, I usually make the right decision.

จากข้อสังเกตุซึ่งมองในแง่ที่ดี, ฉันได้เรียนรู้ว่า, ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น, ไม่ว่าวันนี้ดูเสมือนว่าจะย่ำแย่อย่างไร, ชีวิตก็ยังก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง, และวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีกว่า. ฉันได้เรียนรู้ว่า คุณสามารถทราบเรื่องของบุคคลผู้นั้นได้อย่างมากมาย จากวิธีการที่ เขา/เธอได้ควบคุมจัดการ (กับอารมณ์และความรู้สึก) กับสิ่งสามสิ่ง: ในยามที่ฝนตกหนัก, ในยามที่กระเป๋าเดินทางสูญหาย, และในยามที่พยายามแกะพันสายไฟที่ยุ่งเหยิงอยู่บนต้นไม้ให้ออกมา. ฉันได้เรียนรู้ว่า, โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่คุณมีอยู่กับผู้ปกครองของคุณ, คุณก็จะคิดถึงพวกเขาเมื่อตอนที่พวกเขาได้ล้มหายตายจากไปจากชีวิตของคุณ. ฉันได้เรียนรู้ว่า การ "สร้างตัวหาเงินมาซื้อสร้างความสมบูรณ์ในโลกของวัตถุของชีวิต" ไม่เหมือนกันกับการ "สร้างชีวิตเพื่อให้เกิดความสุขสมบูรณ์ทางใจ." ฉันได้เรียนรู้ว่า บางครั้ง ชีวิตเราได้ให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง. ฉันได้เรียนรู้ว่า เราไม่ควรผ่านชีวิตโดยไม่สามารถใช้มือทั้งสองโดยการเป็นผู้รับแต่เพียงอย่างเดียว, อย่างน้อยคุณต้องสามารถเป็นผู้ให้กลับไปได้ด้วย. ฉันได้เรียนรู้ว่า ถ้าคุณต้องการตามล่าแสวงหาความสุข, มันก็จะหลีกเลี่ยงคุณอยู่เสมอ. แต่, ถ้าคุณเน้นความสำคัญให้กับครอบครัวของคุณ, เพื่อนๆ ของคุณ, ความต้องการของผู้อื่น, การงานของคุณและกระทำเรื่องเหล่านี้ให้ดีที่สุดเท่าที่คุณสามารถกระทำได้, ความสุขก็จะตามมาพบกับตัวคุณเอง. ฉันได้เรียนรู้ว่า เมื่อไรก็ตามที่ฉันตัดสินใจเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยจิตใจที่เปิดกว้างมีน้ำใจ, ฉันก็จะกระทำการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างเป็นไปโดยปรกติธรรมดา.

I*ve learned that even when I have pains, I don*t have to be one. I*ve learned that every day, you should reach out and touch someone. People love that human touch - holding hands, a warm hug, or just a friendly pat on the back. I*ve learned that I still have a lot to learn.

ฉันได้เรียนรู้ว่า ถึงแม้ว่าฉันจะมีความเจ็บปวด, ก็ไม่ใช่ว่าจะมีกับฉันอยู่เพียงคนหนึ่งเดียว. ฉันได้เรียนรู้ว่า ทุกๆ วัน, คุณควรจะแสวงหาและรู้จักสัมผัสกับใครคนใดคนหนึ่ง. ผู้คนทั่วไปให้ความรักกับความสัมผัสจากมนุษยชน - เช่น การจับมือ, การกอดรัดอย่างอบอุ่น, หรือเพียงแต่การตบไหล่เบาๆ เพื่อแสดงความเป็นเพื่อนๆ. ฉันได้เรียนรู้ว่า ฉันก็ยังต้องเรียนรู้กับหลายสิ่งหลายอย่างอีกมากมาย.

This is to remind that people will forget what you said... people will forget what you did... but people will never forget how you made them feel.

เรื่องนี้ก็เป็นการเตือนใจว่า ผู้คนนั้นจะลืมเรื่องที่คุณได้พูดไว้.... ผู้คนนั้นจะลืมเรื่องที่คุณได้กระทำลงไป.... แต่ผู้คนนั้นจะไม่เคยลืมเลยว่า คุณได้ทำให้พวกเขานั้น ได้รับความรู้สึกอย่างไรบ้าง.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 12
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:14:03   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Grandpa*s Hands" "ฝ่ามือของคุณตา"

Grandpa, some ninety plus years, sat feebly on the patio bench. He didn*t move… just sat with his head down staring at his hands. When I sat down beside him, he didn*t acknowledge my presence… the longer I sat the more I wondered if he was OK.

คุณตา, ซึ่งมีอายุมากกว่า 90 ปีแล้ว, กำลั่งอยู่ม้านั่งบนเฉลียงอย่างกะปลกกระเปลี้ย. เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร.... เพียงแต่นั่ง ให้ศีรษะตกลงมา เพื่อเพ่งดูฝ่ามือของเขา. เมื่อฉันได้นั่งลงใกล้ๆ กับตัวเขา, เขาก็ยังไม่สามารถตระหนักรู้เลยได้ว่าฉันได้อยู่ข้างๆ แล้วนั่นแหละ ..... ยิ่งนั่งใกล้ๆ กับเขานานเท่าไร ก็ยิ่งสงสัยว่า เขายังเป็นปรกติมากขึ้นอยู่หรือเปล่าเท่านั้น.

Finally, not really wanting to disturb him, but wanting to check on him at the same time, I asked him if he was OK. He raised his head and looked at me and smiled. "Yes, I*m fine, thank you for asking", he said in a clear, strong voice.

ในท้ายที่สุด, ด้วยความที่ไม่ต้องการจะรบกวนเขาอย่างแท้จริง, แต่ต้องการจะเช็คดูเขาในขณะเวลาเดียวกัน, ฉันก็เลยถามเขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่า. เขาเงยศีรษะขึ้นมาและมองดูฉันและก็ส่งยิ้มให้."ใช่แล้วหลานเอ๋ย, ฉันปรกติดีทุกอย่าง, ขอบใจเธอมากที่อุตส่าห์มาถามไถ่ห่วงใยนะ," เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน, อย่างขึงขังทีเดียว.

”I didn*t mean to disturb you, grandpa, but you were just sitting here staring at your hands and I wanted to make sure you were OK”, I explained to him. "Have you ever looked at your hands? " he asked. "I mean really looked at your hands? "

"หนูไม่ต้องการที่จะรบกวนคุณตาค่ะ, แต่ถ้าคุณตายังนั่งอยู่ที่นี่ และจ้องดูฝ่ามืออยู่อย่างนั้น และ หนูต้องการที่จะให้แน่ใจว่า คุณตายังเป็นปรกติดีอยู่ค่ะ", ฉันอธิบายให้เขาฟัง."หนูเคยดูฝ่ามือของตนเองหรือเปล่าล่ะ?" เขาถามขึ้นมา."ฉันหมายถึงว่า เพ่งดูที่ฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างตั้งใจจริงๆ เลยนะ เคยหรือเปล่าล่ะ?"

I slowly opened my hands and stared down at them. I turned them over, palms up and then palms down. "No, I guess I had never really looked at my hands", I said as I tried to figure out the point he was making.

ฉันเริ่มเปิดมือของฉันอย่างช้าๆ และเพ่งลงดูทั้งสองข้าง. ฉันได้พลิกกลับ, เอาฝ่ามือแบออก และแบเข้า."ไม่เห็นอะไรค่ะ, หนูคิดว่าหนูไม่เคยมองฝ่ามือมันอย่างจริงๆ จังๆ เลยค่ะ", ฉันพูดในขณะที่ฉันพยายามที่จะพิจารณาดูถึงจุดประสงค์ที่เขาถามขึ้นมา.

Grandpa smiled and related this story:

คุณตาก็ยิ้มและก็พยายามโยงถึงเรื่องที่เขาได้พูดขึ้นมา.

Stop and think for a moment about the hands you have, how they have served you well throughout your years. These hands, though wrinkled, shriveled and weak have been the tools I have used all my life to reach out and embrace life.

หยุดและลองคิดสักชั่วขณะหนึ่ง เกี่ยวกับฝ่ามือของเธอที่มีอยู่, มันได้รับใช้เธอมาด้วยดีอย่างไร ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาในชีวิตของเธอนี้. มือทั้งสองข้าง, ถึงแม้จะเป็นรอยย่น, เxxx่ยว และดูเหมือนเปราะบาง ก็ยังได้เป็นเครื่องมือที่ฉันได้ใช้มาตลอดชีวิตในการหยิบยื่นและการรวบรวมชีวิตของฉันไว้.

They braced and caught my fall when as a toddler I crashed upon the floor. They put food in my mouth and clothes on my back. As a child, my mother taught me to fold them in prayer. They tied my shoes and pulled on my boots.

มือทั้งสองข้างนั้นได้ยึดเกาะและจับตัวฉันไว้ ในยามเมื่อฉันหกล้มบนพื้น เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ. ช่วยนำอาหารให้เข้าสู่ปากและนำเอาเสื้อผ้าเข้ามาใส่บนร่างกายของฉัน. เมื่อตอนที่ฉันยังเยาว์วัยอยู่, แม่ของฉันได้สอนให้นำเอามือทั้งสองข้างนั้นเข้ามาประนมกัน ในขณะที่ฉันสวดมนต์ขอพร. ก็ยังได้ช่วยผูกเชือกรองเท้าและสวมใส่รองเท้าบู้ทของฉันด้วย.

They dried the tears of my children and caressed the love of my life. They held my rifle and wiped my tears when I went off to war. They have been dirty, scraped and raw, swollen and bent.

มือทั้งสองข้าง ได้ช่วยซับน้ำตาของลูกๆ ฉันให้แห้ง และใช้สัมผัสอย่างเอ็นดูกับความรักในชีวิตของฉัน. ยังช่วยถือปืนยาวและปาดน้ำตาออกไป เมื่อตอนที่ฉันถูกส่งไปสู่สงคราม. ยังได้ถูกเปื้อนด้วยความสกปรก, ถูกขีดข่วนและมีบาดแผล, พองบวมและหักงอ.

They were uneasy and clumsy when I tried to hold my newborn son. Decorated with my wedding band, they showed the world that I was married and loved someone special. They wrote the letters home and trembled and shook when I buried my parents and spouse and walked my daughter down the aisle.

มือทั้งสองนั้น ได้เป็นอยู่อย่างกระสับกระส่ายและงุ่มง่ามเมื่อฉันพยายามที่จะอุ้มลูกชายทารกของฉัน. ได้ถูกประดับด้วยแหวนการสมรสของฉัน, ซึ่งได้แสดงประจักษ์ให้โลกเห็นว่า ฉันได้แต่งงานและรักกับบุคคลผู้หนึ่งอย่างเป็นพิเศษ. มือทั้งสองได้ช่วยเขียนจดหมายถึงบ้านและสั่นและสะเทือน เมื่อฉันต้องฝังศพพ่อแม่และคู่ชีวิตของฉัน และยังได้ช่วยจูงลูกสาวของฉันเดินอยู่บนทางเดินในโบสถ์ในงานพิธีวิวาห์ของเธอ.

Yet, they were strong and sure when I dug my buddy out of a foxhole and lifted a plow off of my best friend*s foot. They have held children, consoled neighbors, and shaken in anger when I didn*t understand an injustice done to someone I loved. They have covered my face, combed my hair, and cleansed my body. They have been sticky and wet, bent and broken, dried and raw.

ยิ่งไปกว่านั้น, มือทั้งสองยังเป็นมือที่แข็งแรงและมั่นใจ เมื่อฉันได้ขุดนำเอาเพื่อนของฉันออกมาจากหลุมเพลาะและยกเหล็กแหลมออกมาจากเท้าของเพื่อนสนิทของฉัน. ยังได้อุ้มเด็กๆ, ปลอบใจเพื่อนบ้าน, และสั่นสะเทิ้นด้วยความโกรธเมื่อฉันไม่สามารถเข้าใจ ถึงความอยุติธรรมที่ได้กระทำต่อบุคคลที่ฉันรัก. มือทั้งสองนั้นยังได้ช่วยปกป้องใบหน้าของฉัน, หวีเส้นผมของฉัน, และทำความสะอาดกับร่างกายของฉัน. ยังได้ถูกทำให้เหนียวเตอะและเปียกชื้น, โค้งงอและหัก, แห้งผากและเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผล.

And, to this day, when not much of me works real well, these hands hold me up and lay me down. They are the mark of where I*ve been and the ruggedness of my life. But more importantly it will be these hands that God will reach out and take when he leads me home.

และ, จนถึงทุกวันนี้, เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน ไม่สามารถกระทำได้อย่างดิบดีเท่าไรนัก, มือทั้งสองข้างนี้ก็ยังได้ช่วยให้ฉันลุกขึ้นและช่วยพยุงตัวให้ลงนอน. เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้รู้ว่า ฉันได้ไปไหนมาบ้างและเห็นถึงความหยาบกระด้างของชีวิตฉัน. แต่เป็นที่สำคัญยิ่งกว่าอย่างอื่นใดๆ , มันเป็นมือสองข้างนี่แหละ ที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเอื้อมพระหัตถ์มาสัมผัสจับเมื่อท่านได้ทรงนำฉันไปสู่ดินแดนสุขาวดี.

This is grateful for a healthy body and the ability to reach out and touch the ones I love.

เป็นสิ่งที่ควรรู้สึกขอบคุณ ที่ร่างกายยังสุขภาพดีและสามารถ ที่จะเอื้อมและสัมผัสกับบุคคลที่ฉันให้ความรักอย่างสุดหัวใจในชีวิต.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 13
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:15:22   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Carrots, Eggs, and Coffee Beans! " หัวแครอท, ไข่ไก่ และ เมล็ดกาแฟ

A young woman went to her mother and told her about her life and how things were hard for her. She did not know how she was going to make it and wanted to give up. She was tired of fighting and struggling. It seemed as one problem was solved, a new one arose.

ผู้หญิงสาวคนหนึ่งได้เข้าไปหาแม่ของเธอและเล่าเรื่องชีวิตของเธอให้แม่ฟัง และทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างไรบ้างสำหรับเธอ. เธอไม่ทราบว่าเธอจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติเรื่องเหล่านี้ไปได้หรือไม่ และต้องการที่จะยอมแพ้กับมัน. เธอเหนื่อยเต็มทีกับการต่อสู้และดิ้นรน. ดูเสมือนว่า เมื่อปัญหาหนึ่งได้แก้ไขพ้นไปแล้ว, ปัญหาใหม่อีกเรื่องหนึ่งก็เข้ามาแทนที่.

Her mother took her to the kitchen where she filled three pots with water. She placed carrots in the first, eggs in the second, and ground coffee beans in the third. She let them boil without saying a word. In about 20 minutes, she turned off the burners. She fished out the carrots and placed them in a bowl. She pulled out the eggs and placed them in a second bowl. She ladled the coffee into a third bowl.

แม่ของเธอได้นำตัวเธอเข้ามาในครัว ซึ่งแม่ของเธอได้นำเอาน้ำมาเติมในหม้อเล็กๆ สามหม้อ ที่อยู่บนเตาไฟฟ้า. เธอใส่หัวแครอทลงไปในหม้อใบแรก, ไข่ไก่หลายใบในหม้อใบที่สอง, และเมล็ดกาแฟคั่วในหม้อใบที่สาม. จากนั้น เธอก็เปิดสวิตช์ต้มน้ำทั้งสามเตา โดยปราศจากคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น. ประมาณ 20 นาทีต่อมา, เธอก็ได้ปิดไฟเตาทั้งสาม. เธอได้นำเอาหัวแครอทขึ้นมาจากน้ำร้อนและนำไปใส่ไว้ในชามอ่าง. เธอนำเอาไข่ไก่เหล่านั้นขึ้นมาและใส่ไว้ในชามอ่างใบที่สอง. เธอช้อนตักด้วยช้อนทัพพีกับตัวกาแฟขึ้นมาในชามอ่างใบที่สาม.

Turning to her daughter, she asked, "Tell me, what do you see?"

เธอหันกลับไปที่ตัวลูกสาว, และถามกับลูกสาวว่า, "บอกแม่หน่อย, ว่าหนูได้เห็นอะไรบ้าง?"

"Carrots, eggs, and coffee," the daughter replied.

"หัวแครอท, ไข่ไก่, และกาแฟค่ะ," ลูกสาวได้ตอบกลับมา

The mother brought her closer and asked her to feel the carrots. The daughter did and noted they were soft. Next, she had her daughter take an egg and break it. After pulling off the shell, she observed the hard-boiled egg. Finally, she had her daughter sip the coffee. The daughter smiled as she tasted its rich aroma.

แม่ของเธอได้นำตัวลูกสาวเข้ามาใกล้ๆ และบอกให้เธอลองสัมผัสกับหัวแครอท. ลูกสาวของเธอก็ได้กระทำตามและสังเกตุรู้ว่าหัวแครอทเหล่านั้นนิ่มมากๆ. จากนั้น, เธอได้นำลูกสาวของเธอให้หยิบไข่ไก่ขึ้นมาใบหนึ่งแล้วตอกมันเสีย. หลังจากที่นำเปลือกออกหมดแล้ว, เธอก็ได้เห็นว่ามันเป็นไข่ต้มธรรมดาใบหนึ่ง. ท้ายที่สุด, เธอบอกให้ลูกสาวของเธอลองจิบกาแฟดู. ลูกสาวก็ยิ้มในขณะที่เธอกำลังสัมผัสกับรสชาติที่กรุ่นหอมละมุนละไม.

The daughter then asked, "What*s the point, mother?"

จากนั้น ลูกสาวได้ถามเธอว่า, "มันมีจุดประสงค์อะไรคะ, แม่?"

Her mother explained that each of these objects had faced the same adversity - boiling water - but each reacted differently. The carrot went in strong, hard and unrelenting, but after being subjected to the boiling water, it softened and became weak.

แม่ของเธอได้อธิบายว่า วัตถุแต่ละชนิดนั้น ได้ประสบกับเคราะห์กรรมอย่างเดียวกัน - คือน้ำร้อน - แต่ทว่า แต่ละอย่างได้กระทำปฎิกิริยาโต้ตอบอย่างต่างกัน. หัวแครอทนั้นเข้าไปตอนแรกอย่างแข็ง, ไม่เปราะบาง และบึกบึน, แต่หลังจากที่ถูกบังคับให้อยู่ในน้ำร้อนแล้ว, ก็ได้เริ่มนุ่มขึ้นและอ่อนตัวลง.

The egg had been fragile, its thin outer shell protecting its liquid interior. After sitting in the boiling water, its inside became hardened.

ไข่ไก่นั้นเป็นสิ่งที่เปราะบาง, มีเพียงเปลือกหุ้มห่อภายนอกซึ่งปกป้องของเหลวที่อยู่ภายใน. หลังจากที่จมอยู่ในน้ำเดือด, สิ่งที่อยู่ภายในก็เริ่มแข็งขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย.

The ground coffee beans were unique. After they were in the boiling water, they changed the water.

เมล็ดกาแฟคั่วเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง. หลังจากที่อยู่ในน้ำเดือด, มันก็เปลี่ยนน้ำเสียเองด้วย.

"Which are you?" she asked her daughter. "When adversity knocks on your door, how do you respond? Are you a carrot, an egg, or a coffee bean."

"สิ่งไหนที่เป็นตัวของหนูล่ะ?" เธอถามลูกสาวของเธอ. "เมื่อเคราะห์กรรมเข้ามาหาอยู่ต่อหน้าหนูน่ะ, หนูตอบโต้กับมันว่าอย่างไร? อันไหนคือตัวหนู -> หัวแครอท, ไข่ไก่, หรือเมล็ดกาแฟล่ะ?"

Think of this: Which am I?

ลองคิดดูตอนนี้: อันไหนคือตัวของฉัน?

Am I the carrot, that seems strong but with pain and adversity I wilt and become soft and lose my strength?

ฉันคือหัวแครอท, ซึ่งดูเสมือนว่าแข็งแรง แต่ความเจ็บปวดและเคราะห์กรรมที่ทำให้ฉันเxxx่ยวเฉาลงมาและเริ่มมีความอ่อนแอลงและสูญสิ้นกำลังของฉันที่มีอยู่หรือเปล่า?

Am I the egg, that starts with a malleable heart, but changes with the heat? Did I have a fluid spirit, but after a death, a breakup, a financial hardship or some other trial, have I become hardened and stiff? Does my outer shell look the same, but on the inside am I bitter and tough with a stiff spirit and hardened heart?

ฉันคือไข่ไก่, ซึ่งเริ่มด้วยหัวใจที่มีความอ่อนโยน, แต่เปลี่ยนไปด้วยความร้อนรนที่อยู่ภายนอกหรือเปล่า? ฉันมีอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย, แต่หลังจากความตาย, การแยกทางกันอยู่, และความทุกข์ยากทางการเงินหรือการทดสอบอื่นๆ บางอย่าง, ฉันก็ได้เริ่มมีความดุดันและหัวรั้นหรือเปล่า? เปลือกที่หุ้มห่อภายนอกของฉันก็ดูเหมือนเก่าไม่เปลี่ยนแปลง, แต่ทว่า ภายในตัวฉันนั้น กลายเป็นผู้ที่ขื่นขมและทนทานด้วยอารมณ์ที่รั้นกระด้างและหัวใจที่ปราศจากความเมตตาปรานีหรือเปล่า?

Or am I like the coffee been? The bean actually changes the hot water, the very circumstance that brings the pain. When the water gets hot, it releases the fragrance and flavor.

หรือทว่าฉันเป็นเสมือนกับเมล็ดกาแฟ? เมล็ดกาแฟนั้น แท้จริงแล้ว ได้เปลี่ยนตัวน้ำร้อน, ซึ่งเป็นกรณีที่นำเอาความเจ็บปวดเข้ามา. เมื่อน้ำเริ่มร้อนขึ้น, มันก็ปล่อยเอากลิ่นที่หอมและรสชาติที่ละมุนละม่อมออกมา.

If you are like the bean, when things are at their worst, you get better and change the situation around you. When the hours are the darkest and trials are their greatest, do you elevate to another level?

ถ้าคุณเป็นเหมือนเมล็ดกาแฟ, เมื่อสิ่งต่างๆ มาถึงคราที่ร้ายแรงอย่างที่สุด, คุณก็เริ่มเข้าใจดีขึ้นและเปลี่ยนสถานการณ์รอบๆ ตัวของคุณ. เมื่อวันเวลาเป็นช่วงที่มืดสนิทที่สุดและความพยายามทดสอบมีให้เห็นอย่างถึงที่สุด, คุณจะยกตัวคุณเองขึ้นไปสูงกว่าอยู่ที่อีกระดับหนึ่งหรือไม่?

This is to remind asking you how do you handle adversity? Are you a carrot, an egg, or a coffee bean?

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจที่จะถามคุณว่าคุณสามารถปฎิบัติกับเคราะห์กรรมของคุณอย่างไร? คุณเป็นหัวแครอท, ไข่ไก่, หรือเมล็ดกาแฟ?



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 14
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:16:39   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Glass Jar" "ขวดโหลแก้ว"

When things in your life seem almost too much to handle, when 24 hours in a day are not enough, remember the glass jar...and the 2 cups of coffee...

เมื่อหลายสิ่งในชีวิตของคุณดูเสมือนว่า มีมากมายเกินกว่าที่สามารถปฎิบัติควบคุมได้, เมื่อเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันยังไม่เป็นการเพียงพอ, โปรดจำเรื่องของขวดโหลแก้วนี้ไว้.... และกาแฟร้อนๆ อีก สองถ้วย....

A professor stood before his philosophy class and had some items in front of him. When the class began, wordlessly, he picked up a very large and empty glass jar and proceeded to fill it with golf balls. He then asked the students if the jar was full. They agreed that it was.

ศาสตราจารย์ผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าชั้นเรียน ในวิชาปรัชญาของเขา และมีวัตถุบางอย่างอยู่เบื้องหน้าของเขา. โดยปราศจากคำพูดใดๆ, เมื่อการสอนได้เริ่มขึ้น, เขาได้หยิบเอาขวดโหลแก้วที่ใหญ่และว่างเปล่าขึ้นมา และดำเนินการด้วยการเติมให้เต็มด้วยลูกกอล์ฟ. หลังจากนั้น, เขาได้ถามนักศึกษาในชั้นว่า ขวดโหลนั้นเต็มหรือยัง. พวกนักศึกษาทุกคนก็ยอมรับว่าเต็มแล้ว.

The professor then picked up a box of pebbles and poured them into the jar. He shook the jar lightly. The pebbles rolled into the open areas between the golf balls. He then asked the students again if the jar was full. They agreed it was.

จากนั้น, ศาสตราจารย์ก็นำเอากล่องซึ่งมีกรวดเม็ดเล็กๆ ขึ้นมา แล้วก็เทลงไปในขวดโหลนั้น. เขาเหย่าขวดโหลอย่างเบาๆ. กรวดเม็ดเล็กๆ ก็กลิ้งเข้าไปในช่องว่างๆ ระหว่างลูกกอล์ฟเหล่านั้น. จากนั้น, เขาก็ถามนักศึกษาอีกครั้งหนึ่งว่า ขวดโหลนั้น เต็มหรือยัง. พวกเขาเหล่านั้นก็ตอบอีกครั้งหนึ่งว่า มันเต็มแล้ว.

The professor next picked up a box of sand and poured it into the jar. Of course, the sand filled up everything else. He asked once more if the jar was full. The students responded with a unanimous "yes."

จากนั้นต่อไป, ศาสตราจารย์ก็หยิบเอากล่องซึ่งบรรจุด้วยทรายละเอียดขึ้นมาและเทมันลงไปในขวดโหล. เป็นอย่างที่แน่นอนที่สุด, ทรายละเอียดนั้น ได้เติมทุกอย่างให้เต็มหมด. เขาถามอีกครั้งหนึ่งว่า ขวดโหลนั้นเต็มหรือยัง. นักศึกษาก็ตอบกล่าวอีกครั้งอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า"เต็มแล้ว."

The professor then produced two cups of coffee from under the table and poured the entire contents into the jar, effectively filling the empty space between the sand. The students laughed.

ต่อมา, ศาสตราจารย์ก็ได้นำเอากาแฟอีกสองถ้วยมาจากใต้โต๊ะ และ เทมันลงไปในขวดโหลนั้น, ทำให้เต็มกับช่องว่างที่มีอยู่ระหว่างทรายละเอียดเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ. นักศึกษาทั้งหมดก็หัวเราะขึ้นมา.

"Now," said the professor, as the laughter subsided, "I want you to recognize that this jar represents your life.

"ในขณะนี้, " ศาสตราจารย์ได้กล่าวขึ้น, เมื่อเสียงหัวเราะได้เริ่มลดลง, "ข้าพเจ้าจะให้พวกคุณตระหนักรู้ว่า ขวดโหลใบนี้ เปรียบเสมือนกับชีวิตของคุณ.

The golf balls are the important things-your spiritual beliefs, family, your children, your health, your friends, and your favorite passions. Things that if everything else was lost and only they remained, your life would still be full.

ลูกกอล์ฟนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับตัวคุณ - ความเชื่อศรัทธาเกี่ยวกับการศาสนาของคุณ, ครอบครัว, ลูกๆ ของคุณ, สุขภาพของคุณ, เพื่อนๆ ของคุณ, และสิ่งต่างๆ ที่คุณชอบอย่างหลงใหล. สิ่งที่ได้กล่าวมาเหล่านี้คือสิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ เมื่อสิ่งอื่นๆ นั้น ได้สูญสิ้นไป, ชีวิตของคุณก็ยังมีความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์อยู่.

The pebbles are the other things that matter like your job, your house, and your car.

กรวดเม็ดเล็กๆ ก็คือสิ่งอื่นๆ ซึ่งมีความสำคัญรองตามมา เป็นต้นว่า การงานอาชีพของคุณ, บ้านของคุณ, และ รถยนต์ส่วนตัวของคุณ.

The sand is everything else-the small stuff. "

ทรายละเอียดนั้น คือทุกๆ สิ่ง ที่มีสาระเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบรรจุอยู่ในชีวิต."

"If you put the sand into the jar first," he continued, "there is no room for the pebbles or the golf balls. The same goes for life. If you spend all your time and energy on the small stuff, you will never have room for the things that are important to you.

"ถ้าคุณนำเอาทรายละเอียดเข้ามาใส่ไว้ในขวดโหลก่อน, " เขาเริ่มกล่าวต่อไป, "ก็ไม่มีช่องว่างสำหรับกรวดเม็ดเล็กๆ หรือ ลูกกอล์ฟ. เรื่องนี้เป็นเหมือนกับชีวิต. ถ้าคุณใช้เวลาและพลังงานของคุณทั้งหมดอยู่กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ, คุณก็จะไม่มีห้องว่างไว้เลย สำหรับสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของคุณ.

Pay attention to the things that are critical to your happiness. Play with your children. Take time to get medical checkups. Take your partner out to dinner. Play another 18. There will always be time to clean the house and fix the disposal."

เอาใจใส่ไว้กับสิ่งซึ่งมีความสำคัญต่อความสุขของคุณ. เล่นกับลูกๆ ของคุณ. ใช้เวลาไปหาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพร่างกาย. นำเอาคนรักของคุณออกไปทานอาหารค่ำด้วยกัน. เล่นกอล์ฟต่ออีก 18 หลุม. ยังมีเวลาเหลืออยู่เสมอต่อการทำความสะอาดบ้านและซ่อมแซมที่เก็บขยะ."

"Take care of the golf balls first, the things that really matter. Set your priorities. The rest is just sand."

"เอาใส่ใจกับลูกกอล์ฟเป็นอย่างแรก, สิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง. กำหนดว่าอะไรที่สำคัญเป็นลำดับก่อนหลัง. ที่เหลืออยู่ก็เป็นเสมือนทรายละเอียดเท่านั้นเอง.

This is to remind saying that no matter how full your life may seem... there*s always room for a couple of cups of coffee with a friend.

เรื่องนี้เป็นการเตือนในที่ว่า ไม่ว่าชีวิตของคุณจะมีรูปแบบที่ดูเสมือนว่ายุ่งเหยิงเต็มที่อย่างไร.... ควรมีเวลาว่างสำหรับกาแฟร้อนๆ สองถ้วยให้กับเพื่อนคนหนึ่งอยู่อย่างเสมอ."



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 15
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:18:06   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Puppy" "ลูกหมาน้อย"

A farmer had some puppies he needed to sell. He painted a sign advertising the pups and set about nailing it to a post on the edge of his yard.

ชาวนาผู้หนึ่ง มีลูกหมาน้อยๆ หลายตัวที่เขาต้องการจะขาย. เขาทำป้ายและโฆษณาเกี่ยวกับเรื่องลูกหมาน้อยเหล่านี้ และเตรียมพร้อมที่จะได้ตอกตะปูขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า ใกล้ๆ กับเขตรั้วของเขา.

As he was driving the last nail into the post, he felt a tug on his overalls. He looked down into the eyes of a little boy.

ในขณะที่เขากำลังตอกตะปูตัวสุดท้ายอยู่บนเสาไฟฟ้านั้น, เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาดึงเสื้อกันเปื้อนของเขา. เขามองลงมาก็ประสบสายตากับเด็กผู้เยาว์คนหนึ่ง.

”Mister," he said, "I want to buy one of your puppies." "Well," said the farmer, as he rubbed the sweat off the back of his neck, "these puppies come from fine parents and cost a good deal of money."

"ท่านครับ, " เขากล่าวขึ้น, "ผมต้องการซื้อลูกหมาน้อยๆ ตัวหนึ่ง ที่ท่านมีไว้ขายหลายตัวนี้." " เอ้อ ดีแล้ว," ชาวนาได้กล่าว, เมื่อเขาได้กำลังเช็ดเหงื่ออยู่ที่ข้างหลังคอของเขา, "ลูกหมาน้อยๆ เหล่านี้ มาจากพ่อแม่พันธุ์ชั้นดีทีเดียวนะ, และต้นทุนในการเลี้ยงดูก็สูงมากด้วยนะ."

The boy dropped his head for a moment. Then reaching deep into his pocket, he pulled out a handful of change and held it up to the farmer" I*ve got thirty-nine cents. Is that enough to take a look?"

เด็กชายน้อยนี้ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ก็เลยก้มคอตกลงไปสักชั่วขณะหนึ่ง. จากนั้น เขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง, ดึงเอาเหรียญเงินเล็กๆ น้อยๆ ออกมา, และยกขึ้นไปให้ชาวนาดู "ผมมีทั้งหมดสามสิบเก้าเซ็นต์. พอหรือไม่ครับที่เพียงจะขอดูก่อน?"

"Sure," said the farmer. And with that he let out a whistle, "Here, Dolly!" he called. Out from the doghouse and down the ramp ran Dolly, followed by four little balls of fur. The little boy pressed his face against the chain link fence. His eyes danced with delight.

"เอาซิ," ชาวนาได้กล่าวขึ้น. และได้ผิวปากออกมาอย่างดัง, "มานี่, ดอลลี่! " เขาเรียก. จากที่พักของหมานั้น, แม่ของลูกหมาน้อยชื่อว่า ดอลลี่ ได้เดินลงมาจากบันใดเล็กๆ , ตามไปด้วยลูกหมาตัวเล็กๆ ซึ่งมีขนปกปุยเหมือนลูกบอล สี่ตัวลงมาจากบันไดเล็กๆ นั้น. เด็กชายน้อยก็ได้นำเอาใบหน้าของเขามาชนจนชิดติดขอบรั้ว. ลูกตาของเขาก็กลอกกลิ้งไปมาด้วยความเบิกบานสำราญใจ.

As the dogs made their way to the fence, the little boy noticed something else stirring inside the doghouse.

เมื่อลูกหมาน้อยๆ เหล่านี้ ได้วิ่งตรงมายังที่รั้วแล้ว, เด็กชายน้อยได้สังเกตุเห็นว่า ยังมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในที่พักของหมานั้น.

Slowly another little ball appeared; this one noticeably smaller. Down the ramp it slid. Then in a somewhat awkward manner the little pup began hobbling toward the others, doing its best to catch up....

ไม่ช้านัก ก็มีเจ้าขนปกปุยเหมือนลูกบอลอีกตัวหนึ่งได้ปรากฎให้เห็นขึ้น; เจ้าตัวนี้ เมื่อสังเกตุดู จะเห็นว่าตัวเล็กกว่าทุกตัวในครอก. เมื่อลงมาจากบันไดเล็กๆ เจ้านี่ก็ล้มหัวทิ่มลงบนพื้นดิน. จากนั้น ก็ดูเหมือนว่ามีอาการที่งุ่มง่าม, แล้วเจ้าหมาตัวน้อยนี้ก็เริ่มเดินกระโผลกกระเผลกไปยังลูกหมาน้อยตัวอื่นๆ, พยายามที่จะทำอย่างดีที่สุดที่จะวิ่งตามพี่ๆ ของเขาให้ทัน….

"I want that one," the little boy said, pointing to the runt. The farmer knelt down at the boy*s side and said, "Son, you don*t want that puppy. He will never be able to run and play with you like these other dogs would."

"ผมต้องการตัวนี้ครับ," เด็กชายน้อยกล่าวขึ้น, โดยการชี้ไปยังเจ้าตัวแคระนั้น. ชาวนาคนนั้น ก็โน้มตัวลงมาคุกเข่าข้างๆ กับเด็กชายน้อยและได้กล่าวว่า, "ลูกเอ๋ย, เธอไม่ควรจะเอาเจ้าลูกหมาตัวน้อยนั้น. ไม่มีวันที่เขาสามารถจะวิ่งและเล่นกับเธอเหมือนลูกหมาตัวอื่นๆ ได้เลย."

With that the little boy stepped back from the fence, reached down, and began rolling up one leg of his trousers. In doing so, he revealed a steel brace running down both sides of his leg attaching itself to a specially made shoe. Looking back up at the farmer, he said, "You see sir, I don*t run too well myself, and he will need someone who understands."

เมื่อเด็กชายน้อยได้ยินชาวนาพูดจบแล้ว, เขาก็ได้ถอยออกไปจากรั้ว, เอื้อมมือลง, และเริ่มพับขากางเกงข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา. ในการกระทำดังนั้น, เขาได้เปิดเผยให้เห็นขาเทียมซึ่งทำด้วยเหล็กทั้งสองข้าง ซึ่งอยู่ติดกับรองเท้าของเขาซึ่งทำโดยเป็นพิเศษ. เขามองไปที่ใบหน้าของชาวนาคนนั้น, และได้กล่าวว่า, "ท่านเห็นแล้วใช่ไหมครับ, ผมเองนั้น ก็ไม่สามารถจะวิ่งได้อย่างดิบดีเท่าไร, และลูกหมาน้อยตัวนั้น ก็ต้องการพึ่งใครคนหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้าใจกับตัวเขาได้."

This is to remind that the world is full of people who need someone who understands...

เรื่องนี้เป็นการเตือนในว่า โลกของเรานี้ เต็มไปด้วยบุคคล ซึ่งต้องการคนบางคนซึ่งสามารถเข้าใจในตัวเขาได้.




 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 16
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:19:20   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"A Six Year Old Fireman." "เยาวชนดับเพลิงหกขวบ"

In Phoenix, Arizona, a 26-year-old mother stared down at her 6 year old son, who was dying of terminal leukemia. Although her heart was filled with sadness, she also had a strong feeling of determination. Like any parent, she wanted her son to grow up and fulfill all his dreams. Now that was no longer possible. The leukemia would see to that.

ในเมืองฟีนิกซ์, มลรัฐอริโซน่า, คุณแม่ซึ่งอายุ 26 ปี ได้จ้องมองดูลูกชายอายุ 6 ขวบของเธอ, ผู้กำลังใกล้ความตายเพราะเป็นโรคลูคีเมีย (โรคชนิดหนึ่งที่มีเม็ดโลหิตขาวผิดปกติ - ผู้แปล). ถึงแม้ว่าหัวใจของเธอจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ, เธอก็ยังมีความรู้สึกแข็งแกร่งอย่างตั้งใจแน่วแน่. เหมือนกับผู้ปกครองทั่วไป, เธอต้องการให้ลูกชายของเธอเติบโตขึ้นและสมประสงค์ทุกอย่างตามที่เขาได้ใฝ่ฝัน. แต่เพราะว่าเวลานี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว. เพราะเห็นได้จากโรคลูคีเมียนั่นเอง.

But she still wanted her son*s dreams to come true. She took her son*s hand and asked, "Billy, did you ever think about what you wanted to be once you grew up? Did you ever dream and wish what you would do with your life?"“Mommy ,I always wanted to be a fireman when I grew up." Mom smiled back and said,

แต่เธอก็ยังต้องการให้ความใฝ่ฝันบางอย่างของลูกชายเธอกลายเป็นความจริงขึ้นมาให้ได้. เธอได้จับมือของลูกชายและถามว่า, "บิลลี่, เธอเคยได้ลองคิดหรือไม่ว่า เธอต้องการทำงานอะไรเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว? เธอเคยได้ใฝ่ฝันและปรารถนาว่าเธอจะทำอะไรเพื่อชีวิตของตนเองหรือเปล่าจ๊ะ? " "แม่ครับ, ผมต้องการจะเป็นพนักงานดับเพลิงเมื่อผมเติบโตขึ้นโดยเสมอเลยครับ." แม่ของเขาก็ยิ้มและได้กล่าวว่า

"Let*s see if we can make your wish come true."

"เดี๋ยวจะลองไปดูว่า เราสามารถทำให้ความใฝ่ฝันของเธอนั้น เป็นความจริงขึ้นมาได้หรือเปล่านะ."

Later that day she went to her local fire department in Phoenix, Arizona,where she met Fireman Bob, who had a heart as big as Phoenix. She explained her son*s final wish and asked if it might be possible to give her six-year-old son a ride around the block on a fire engine.

ต่อมาในวันนั้น เธอได้ไปที่สำนักงานพนักงานดับเพลิงท้องถิ่นของเมืองฟีนิกซ์, มลรัฐอริโซน่า, เธอได้พบกับพนักงานดับเพลิงชื่อ บ๊อบ, ซึ่งมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กว้างใหญ่เทียบเท่ากับขนาดเมืองฟีนิกซ์เลยทีเดียว. เธอได้อธิบายถึงความปรารถนาครั้งสุดท้ายของลูกชายและถ้าว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้ลูกชายอายุหกขวบของเธอขึ้นรถดับเพลิงออกไปประมาณช่วงตึกหนึ่งรอบๆ สำนักงานดับเพลิงนั้น.

Fireman Bob said, "Look, we can do better than that. If you*ll have your son ready at seven o*clock Wednesday morning, we*ll make him an honorary fireman for the whole day. He can come down to the fire station, eat with us, go out on all the fire calls, the whole nine yards! And if you*ll give us ! his sizes, we*ll get a real fire uniform for him, with a real fire hat-not a toy one-with the emblem of the Phoenix Fire Department on it, a yellow slicker like we wear and rubber boots. They*re all manufactured right here in Phoenix, so we can get them fast."

พนักงานดับเพลิงบ๊อบได้กล่าวว่า, "คุณครับ ดูพวกเรานะ, พวกเราสามารถทำให้ดียิ่งกว่านั้นเสียอีก. ถ้าคุณเตรียมตัวให้ลูกชายของคุณพร้อมอยู่ในเวลาเจ็ดโมงเช้าของวันพุธ, เราจะให้เขาเป็นนักดับเพลิงกิตติมศักดิ์ในวันนั้นทั้งวันเลย. เขาสามารถมาที่สำนักงานดับเพลิงนี้, ทานอาหารด้วยกันกับพวกเรา, และออกไปกับพวกเราเมื่อมีการแจ้งเรื่องไฟไหม้เกิดขึ้น, ทำทุกอย่างเหมือนกับพวกเราทั้งหมด! และถ้าคุณให้, ขนาดตัวของเขา, เราจะให้เครื่องแบบพนักงานดับเพลิงของจริงกับเขา, รวมทั้งหมวกที่สวมตอนใช้ดับเพลิงซึ่งเป็นของจริง ไม่ใช่ของเล่นนะ - แล้วยังมีตราสัญญลักษณ์ว่าเป็นสำนักงานดับเพลิงประจำเมืองฟีนิกซ์อยู่บนนั้นด้วย, เป็นสติกเกอร์สีเหลืองซึ่งเหมือนกับที่พวกเรามีประทับตราอยู่บนนั้นและรวมไปถึงรองเท้าบู้ทที่ทำด้วยยาง. สิ่งของเหล่านี้ได้ผลิตอยู่ในเมืองฟีนิกซ์แห่งนี้เอง, ดังนั้น เราสามารถที่จะไปหามันได้อย่างรวดเร็ว."

Three days later Fireman Bob picked up Billy, dressed him in his fire uniform and escorted him from his hospital bed to the waiting hook and ladder truck. Billy got to sit on the back of the truck and help steer it back to the fire station.

หลังจากนั้นสามวันต่อมา พนักงานดับเพลิงบ๊อบได้ไปรับตัวบิลลี่มา, แต่งตัวเขาด้วยเครื่องแบบพนักงานดับเพลิงและเดินคุมข้างเขาจากเตียงในโรงพยาบาล ไปยังรถดับเพลิงที่มีตะขอและบันไดยาวจอดรออยู่. บิลลี่ได้นั่งอยู่ข้างหลังของรถดับเพลิงนั้นและได้ช่วยนำทางกลับมายังสถานีดับเพลิง.

He was in heaven.

เขามีความรู้สึกว่าเหมือนกับอยู่บนสวงสวรรค์.

There were three fire calls in Phoenix that day and Billy got to go out on all three calls. He rode in the different fire engines, the paramedic*s van, and even the fire chief*s car.

วันนั้น มีการแจ้งเรื่องไฟไหม้สามครั้งที่เมืองฟีนิกซ์ และบิลลี่ก็ได้ออกไปช่วยงานทั้งหมดสามหนด้วย. เขาได้นั่งอยู่ในรถดับเพลิงต่างคันกัน, ในรถตู้ของหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน และ แม้กระทั่งในรถตรวจการของหัวหน้าสถานีดับเพลิง.

He was also videotaped for the local news program. Having his dream come true, with all the love and attention that was lavished upon him, so deeply touched Billy that he lived three months longer than any doctor thought possible.

เรื่องของเขาได้ถูกบันทึกวิดีโอเทปเพื่อการรายงานข่าว จากสถานีโทรทัศน์ภายในท้องถิ่น. เมื่อความฝันของเขาได้กลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว, ด้วยความรักและความสนใจห่วงใยที่มีให้กับเขาทั้งหมดอย่างเกินพอ, ได้สัมผัสต่อตัวบิลลี่อย่างสุดซึ้ง ซึ่งทำให้เขามีชีวิตยืนยาวขึ้นมาอีกสามเดือน เกินกกว่าที่พวกแพทย์ทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้.

One night all of his vital signs began to drop dramatically and the head nurse, who believed in the hospice concept that no one should die alone, began to call the family members to the hospital.

คืนหนึ่ง อาการที่แสดงบ่งให้เห็นเกี่ยวกับชีวิตทั้งหมดของเขา ได้เริ่มลดลงมาอย่างกระทันหัน และหัวหน้าพยาบาล, ผู้ซึ่งมีความเชื่อต่อแนวความคิดในสถานรักษานั้นว่า ไม่ควรมีใครที่จะเสียชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว, ได้โทรศัพท์เรียกสมาชิกของครอบครัวมาที่โรงพยาบาลแห่งนั้น.

Then she remembered the day Billy had spent as a fireman, so she called the Fire Chief and asked if it would be possible to send a fireman in uniform to the hospital to be with Billy as he made his transition. The chief replied, "We can do better than that. We*ll be there in five minutes. Will you please do me a favor?

จากนั้น เธอจำได้ถึงวันที่บิลลี่ได้ใช้ชีวิตเป็นพนักงานดับเพลิง, ดังนั้น เธอได้โทรศัพท์เรียกหัวหน้าพนักงานดับเพลิงและถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่จะส่งพนักงานดับเพลิงคนหนึ่งให้อยู่ในเครื่องแบบมายังที่โรงพยาบาล ในขณะที่บิลลี่กำลังจะสิ้นชีวิต. หัวหน้าพนักงานดับเพลิงได้กล่าวว่า, "เราสามารถทำได้ดีกว่านั้นเสียอีก. เราจะไปที่นั่นภายในห้านาที. ขอให้คุณกรุณาช่วยเหลือผมอย่างหนึ่งได้ไหม?

When you hear the sirens screaming and see the lights flashing, will you announce over the PA system that there is not a fire? It*s just the fire department coming to see one of its finest members one more time. And will you open the window to his room?”

เมื่อคุณได้ยินเสียงหวอดังลั่นและได้เห็นไฟต่างๆ กระพริบอยู่, ขอให้คุณประกาศในระบบเครื่องขยายเสียงในโรงพยาบาลว่า เสียงหวอที่ได้ยินนั่น ไม่ใช่เรื่องไฟไหม้ ได้หรือเปล่าครับ? เพียงแต่บอกให้ทราบโดยทั่วไปว่า สำนักงานดับเพลิงได้มาเยี่ยมสมาชิกชั้นเลิศผู้หนึ่ง อีกครั้งหนึ่ง. และคุณสามารถเปิดหน้าต่างห้องของเขาทิ้งไว้ได้หรือเปล่าครับ?"

About five minutes later a hook and ladder truck arrived at the hospital and extended its ladder up to Billy*s third floor open window 16 firefighters climbed up the ladder into Billy*s room. With his mother*s permission, they hugged him and held him and told him how much they loved him. With his dying breath, Billy looked up at the fire chief and said, "Chief, am I really a fireman now?" "Billy, you are, and the Head Chief, is holding your hand," the chief said.

ประมาณห้านาทีต่อมา, รถดับเพลิงก็ได้มาถึงที่โรงพยาบาลและยื่นบันไดขึ้นไปยังห้องของบิลลี่ ซึ่งอยู่ชั้นสาม และมีหน้าต่างเปิดอยู่ พนักงานดับเพลิง 16 คนได้ปีนขึ้นไปบนบันไดและเข้ามาในห้องของบิลลี่. เมื่อแม่ของเขาได้อนุญาติแล้ว, พนักงานดับเพลิงได้สวมกอดบิลลี่และอุ้มเขาและกล่าวกับเขาว่าพวกเขานั้น รักบิลลี่มากขนาดไหน. ด้วยลมหายใจที่แผ่วเบาต่อความตายที่กำลังมาเยือน, บิลลี่ได้เงยหน้ามองหัวหน้าพนักงานดับเพลิงและได้กล่าวว่า, "หัวหน้าครับ, ผมได้เป็นพนักงานดับเพลิงแล้วจริงๆ หรือ ในตอนนี้น่ะ?" "ใช่แล้ว, บิลลี่, เธอเป็นพนักงานดับเพลิงจริงๆ, และหัวหน้าของสำนักงานดับเพลิง, ก็กำลังกุมมือของเธออยู่นี่แหละ," หัวหน้าสำนักงานได้กล่าวตอบ.

With those words, Billy smiled and said, "I know, He*s been holding my hand all day, and the angels have been singing." He closed his eyes one last time.

ด้วยคำพูดเหล่านี้, บิลลี่ได้ยิ้มออกมาและกล่าวว่า, "ผมรู้ครับ, พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ได้ทรงกุมมือของผมมาตลอดทั้งวันแล้ว, และผมก็ยังได้ยินฑูตสวรรค์หลายองค์ร้องเพลงอย่างไพเราะอยู่ด้วย." เขากล่าวอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะหลับตาลงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต.

This is to remind that we never know just when our "special gifts" might help make someone*s dream come true. Have a magical day.

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจว่า พวกเราจะไม่เคยรู้ได้เลย เพียงว่า "พรสวรรค์อย่างพิเศษ" ที่พวกเรามีอยู่นั้น อาจจะสามารถช่วยให้ความฝันของบุคคลผู้หนึ่ง กลับกลายเป็นความจริงไปได้. ขอให้วันนี้ เป็นวันที่มีคุณได้ประสบความมหัศจรรย์ในชีวิตของคุณ.

*****************
(เรื่องที่แปลมานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะครับ)
ทบพร


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 17
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:20:58   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Handling Stress" "ควบคุมความเครียด"

A lecturer, when explaining stress management to an audience, raised a glass of water and asked, "how heavy is this glass of water?" Answers called out ranged from 20g to 500g. The lecturer replied, "The absolute weight doesn*t matter. It depends on how long you try to hold it."

นักบรรยายท่านหนึ่ง, ในขณะที่กำลังอธิบายถึงเรื่องการบริหารความเครียดให้กับผู้ฟังกลุ่มหนึ่งอยู่, ได้ยกแก้วน้ำแก้วหนึ่งขึ้นมาและถามว่า, "คุณลองคิดดูซิว่า แก้วน้ำแก้วนี้น่ะ มันหนักเท่าไร?" คำตอบจากหลายคนได้บอกออกมาตั้งแต่ 20 กรัม ไปจนถึง 500 กรัม. นักบรรยายท่านนั้นก็ได้ตอบว่า, "ไม่ต้องไปพะวงถึงน้ำหนักอย่างแท้จริงนั้นเลย. เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเวลานานเท่าไร ซึ่งคุณพยายามจะถือมันอยู่."

"If I hold it for a minute, that*s not a problem. If I hold it for an hour, I*ll have an ache in my right arm. If I hold it for a day, you*ll have to call an ambulance. "In each case, it*s the same weight, but the longer I hold it, the heavier it becomes."

"ถ้าผมถือมันอยู่เพียงแค่นาทีหนึ่ง, มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย. ถ้าผมถือมันอยู่เป็นเวลาชั่วโมงหนึ่ง, ผมก็คงปวดเมื่อยอยู่ที่แขนข้างขวาของผม. ถ้าผมถือมันอยู่เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม, ผมก็คงจะต้องเรียกรถพยาบาลมาแน่ ๆ." "ในแต่ละกรณี, เป็นเรื่องของน้ำหนักอย่างเดียวกัน, แต่ถ้าผมพยายามที่จะถือมันให้อยู่ยาวนานมากขึ้นเท่าไร, มันก็เสมือนว่าจะมีน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้น."

He continued, "And that*s the way it is with stress management. If we carry our burdens all the time, sooner or later, as the burden becomes increasingly heavy, we won*t be able to carry on." "As with the glass of water, you have to put it down for a while and rest before holding it again. When we*re refreshed, we can carry on with the burden."

เขายังได้กล่าวต่อไป, "และนี่ก็คือวิธีเดียวกันของเรื่องการบริหารความเครียด. ถ้าเราแบกภาระอยู่ตลอดเวลา, ไม่ช้าหรือเร็ว, เมื่อภาระเหล่านั้น เริ่มมีความหนักขึ้นทุกทีๆ, เราก็ไม่สามารถจะดำเนินการอะไรต่อไปได้." "เหมือนกับแก้วน้ำแก้วนี้, คุณก็จะต้องวางมันลงมาเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งและพักเอาแรงไว้ ก่อนที่จะยกมันขึ้นมาใหม่. เมื่อเราได้รับความกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่, เราก็สามารถดำเนินการต่อไปกับภาระเหล่านั้นได้."

"So, before you return home tonight, put the burden of work down. Don*t carry it home. You can pick it up tomorrow. Whatever burdens you*re carrying now, let them down for a moment if you can." "Relax; pick them up later after you*ve rested. Life is short. Enjoy it!

"ดังนั้น, ก่อนที่เราจะกลับบ้านในคืนนี้, เอาภาระต่างๆ ของงานที่มีอยู่ที่ที่ทำงานให้ออกมาเสีย. อย่านำมันกลับไปที่บ้าน. คุณสามารถทำให้เรียบร้อยต่อไปได้ในวันรุ่งขึ้น. ไม่ว่าจะเป็นภาระอะไรก็ตามที่คุณยังถือหรือแบกอยู่ในตอนนี้, นำมันทิ้งไว้ลงมาสักชั่วขณะหนึ่ง ถ้าคุณสามารถทำได้." "อย่าคิดเครียดอะไรมากนัก; หยิบยกมันขึ้นมาใหม่ได้หลังจากที่คุณได้พักผ่อนแล้ว. ชีวิตของเรามันแสนสั้นนัก. ดังนั้น ควรที่จะมีความสุขอยู่กับมันให้ได้! "

And then he shared some ways of dealing with the burdens of life:

และหลังจากนั้น เขาก็ยังได้แบ่งสรรถึงวิธีการบางอย่าง ที่ช่วยต่อการเผชิญกับภาระต่างๆ ในชีวิต:

1. Accept that some days you*re the pigeon, and some days you*re the statue.

1. ยอมรับว่า บางวัน คุณก็คือตัวนกพิราบ ซึ่งมีอิสระเสรีไปไหนมาไหนได้, และ บางวัน คุณก็เป็นเพียงแค่รูปปั้น ซึ่งควรจะอยู่กับที่เฉยๆ

2. Always keep your words soft and sweet, just in case you have to eat them.

2. ควรเก็บคำพูดของคุณให้ดูอ่อนหวานอยู่เสมอ, เผื่อว่าคุณจะต้องได้รับคำพูดเหล่านั้น กลืนกลับมายังที่ตัวของคุณเอง.

3. Always read stuff that will make you look good if you die in the middle of it.

3. ควรจะอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้คุณดูว่าเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี ถ้าเผื่อว่า คุณเกิดไปเสียชีวิตในตอนกลางคัน.

4. Drive carefully. It*s not only cars that can be recalled by their maker.

4. พยายามขับรถด้วยความระมัดระวัง. มันไม่ใช่รถยนต์คันเดียวที่จะถูกเรียกคืนโดยบริษัทผู้ผลิด.

5. If you can*t be kind, at least have the decency to be vague.

5. ถ้าคุณไม่สามารถให้ความเมตตากรุณาได้, อย่างน้อยที่สุด ก็ควรจะมีความสุภาพที่ดูให้เห็นแบบคลุมเครือ.

6. If you lend someone $20 and never see that person again, it was probably worth it.

6. ถ้าคุณให้บุคคลผู้หนึ่งยืมเงิน $20 เหรียญแล้วก็ไม่พบบุคคลผู้นั้นอีกเลย, ก็ให้คิดเสียว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง.

7. Never buy a car you can*t push.

7. ไม่ควรที่จะซื้อรถยนต์คันใดเลย ที่คุณไม่สามารถที่จะเข็นมันได้.

8. Never put both feet in your mouth at the same time, because then you won*t have a leg to stand on.

8. อย่าไปพูดเรื่องที่ไม่ควรจะพูดในเวลาเดียวกัน, เพราะคุณจะไม่มีฐานที่จะยืนหยัดอยู่ได้.

9. Nobody cares if you can*t dance well. Just get up and dance.

9. ไม่มีใครเขาสนใจคุณหรอก ถ้าคุณไม่สามารถที่จะเต้นรำได้เป็นอย่างดี. ควรจะลุกขึ้นแล้วก็ออกไปเต้นรำเสียก็เท่านั้น.

10. Since it*s the early worm that gets eaten by the bird, sleep late.

10. เพราะว่าพวกหนอนที่ออกมาเลื้อยคลานให้เห็นในตอนเช้าๆ ได้ถูกเป็นอาหารให้กับนกเสมอ, ดังนั้น ควรที่จะนอนให้ดึกเสียหน่อย.

11. The second mouse gets the cheese.

11. หนูตัวที่สองจะได้กินเนยแข็งที่อยู่บนกับดัก.

12. When everything*s coming your way, you*re in the wrong lane.

12. ถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ได้พุ่งตรงมายังวิถีทางข้างหน้าของคุณ, คุณได้อยู่ในเลนที่ผิดเสียแล้ว.

13. Birthdays are good for you. The more you have, the longer you live.

13. วันเกิดเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณ. ยิ่งคุณได้มีมากขึ้นเท่าไร, หมายถึงว่าคุณก็จะมีอายุยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น.

14. You may be only one person in the world, but you may also be the world to one person.

14. คุณอาจจะเป็นเพียงแค่บุคคลคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้, แต่คุณอาจจะเป็นโลกที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเดียวสำหรับคนๆ หนึ่ง .

15. Some mistakes are too much fun to only make once.

15. ความผิดพลาดบางอย่าง เป็นเรื่องที่สนุกสนานเกินกว่าที่จะกระทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น.

16. We could learn a lot from crayons. Some are sharp, some are pretty and some are dull. Some have weird names, and all are different colors, but they all have to live in the same box.

16. พวกเราควรจะได้เรียนรู้เป็นอย่างมากจากดินสอสี. บางแท่งอาจจะคม, บางแท่งอาจจะดูสวยงามและบางแท่งก็ดูทื่อๆ. บางแท่งก็มีชื่อแปลกๆ, และทุกแท่งนั้น ก็มีสีสรรค์ต่างๆ กัน, แต่ทว่า ดินสอสีทุกแท่งนั้นก็ยังสามารถอยู่รวมกันอย่างเป็นปรกติได้ในกล่องเดียวกัน.

This is to remind that a truly happy person is one who can enjoy the scenery on a detour.

เรื่องนี้ เป็นการเตือนใจว่า บุคคลที่มีความสุขอย่างแท้จริง คือผู้ที่มีความเพลิดเพลินอยู่กับทิวทัศน์ต่างๆ เมื่อคุณเดินทางอ้อมไปอย่างช้าๆ สบายๆ



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 18
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:23:23   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Rose-colored glasses". "การมองโลกในแง่ดีอย่างมีความหวังสูง"
The more faith you have, the more you believe,
The more goals you set, the more you*ll achieve.
Remember no matter how futile things seem,
With faith, there is no Impossible Dream!
- Alice Joyce Davidson

ยิ่งความศรัทธาของคุณมีมากขึ้นเท่าไร, ความเชื่อของคุณก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น,
ยิ่งจุดประสงค์ที่คุณได้ตั้งไว้มีมากขึ้นเท่าไร, คุณก็จะประสบผลสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น.
จำไว้ว่า ไม่ว่าจะดูเสมือนว่าไร้ผลอย่างไร,
ด้วยความศรัทธา, ไม่มีความใฝ่ฝันอะไรที่จะไม่สามารถกลายเป็นความจริงได้!
- อลิซ จ๊อยส์ เดวิดสัน

Tuck this story into your memory. A gal who is remembered around the world for her mountainous hope was described as "being excessively cheerful and unduly optimistic." She was said to have looked at an impossible situation through rose-colored glasses.
เก็บเอาเรื่องนี้เข้าไปไว้ในความทรงจำของคุณ. ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทั่วโลกได้ระลึกได้ ในเรื่องของความหวังอันใหญ่โตมโหฬารของเธอ ได้ถูกกล่าวไว้ว่า "เป็นเรื่องการปลุกกำลังใจให้มีความสุขอย่างมากมายจนเกินความจำเป็นและมองโลกในแง่ดีด้วยความหวังอย่างเต็มเกิน." เธอได้ถูกกล่าวว่า ได้มองเห็น ถึงสถานการณ์ที่หมดหนทางแก้ ด้วยการมองโลกในแง่ดีอย่างมีความหวังที่สูงส่ง.
Five days into a trip across the Atlantic on the legendary Titanic, Margaret Tobin Brown found herself bobbing around in a lifeboat in the freezing cold with fourteen other women and a prophet-of-doom officer. The officer insisted they*d never escape the undertow when the ship went down.
การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคห้าวัน บนเรือโดยสาร ไททานิก ซึ่งได้ถูกจารึกชื่อไว้, มาร์กาเร็ท โทบิน บราวน์ ได้พบตัวเองนอนม้วนอยู่ในเรือชูชีพที่เย็นเยือกแข็ง พร้อมๆ กับผู้หญิงอีกสิบสี่คนและเจ้าหน้าที่ลูกเรือซึ่งคิดแต่ว่าเรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา. เจ้าหน้าที่ผู้นั้น ได้ยืนกรานว่า พวกเธอเหล่านั้น ไม่สามารถหลีกหนีพ้นจากกระแสใต้น้ำเมื่อเรือกำลังอับปางลงได้.
Margaret refused to give in to negative thinking. If this man wasn*t going to save this lifeboat, she would. She insisted they keep warm by fast-paced rowing during those daunting hours before they were rescued, and lifted their hopes with her indomitable spirit. She created survivor lists and radioed them to the families. She even raised money for destitute victims of the sinking, collecting almost $10,000 in pledges. She rightly earned the famous nickname, "The Unsinkable Molly Brown. "
มาร์กาเร็ทปฎิเสธที่จะยินยอมให้ความคิดในแง่ลบนั้น เข้ามาสู่ตัวเธอได้. ถ้าผู้ชายคนนี้ ไม่ยอมที่จะช่วยรักษาเรือชูชีพนี้, เธอก็จะเป็นผู้กระทำการแทน. เธอยืนกรานว่า พวกผู้หญิงทุกคนจะเกิดความอบอุ่นขึ้น โดยการพายเรือนั้นออกไปอย่างอัตราที่เร่งรีบระหว่างชั่วโมงที่แสนกังวลนั้น ก่อนที่พวกเธอจะได้รับการช่วยชีวิต, และได้ทำให้ความหวังทั้งหลายของพวกเธอ เกิดความกระปรี้กระเปร่าขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ของมาร์กาเร็ทนั่นเอง. เธอยังได้สร้างบัญชีรายชื่อของผู้ที่มีชีวิตรอดอยู่และส่งข้อความทางวิทยุโทรเลขให้กับครอบครัวเหล่านั้นทราบถึงสถานการณ์. เธอยังได้รวบรวมเรี่ยไรเงินสำหรับผู้รับเคราะห์ที่ขัดสนเนื่องจากการจมของเรือโดยสาร, ได้เก็บเงินได้เกือบ $10,000 เหรียญสหรัฐต่อคำปฎิญาณที่ให้ไว้. เธอได้รับสมญานามที่มีชื่อเสียงอย่างถูกต้องว่า "มอลลี่ บราวน์ผู้ไม่สามารถถูกดึงให้จมลงได้."
"Your living is determined not so much by what life brings to you as by the attitude you bring to life; not so much by what happens to you as by the way your mind looks at what happens. Circumstances and situations do color life, but you…choose what the color will be".
- John Homer Miller

"การมีชีวิตอยู่ของคุณ ได้ถูกกำหนดว่า ไม่ได้มีมากนักเกี่ยวกับว่า ชีวิตได้ให้อะไรกับคุณ มากกว่าเกี่ยวกับว่า คุณทำอะไรให้กับชีวิต; ไม่ใช่มีมากกว่า ได้เกิดอะไรขึ้นกับคุณ มากกว่า วิธีการที่คุณใช้สติสำรวจดูว่าอะไรได้เกิดขึ้น. สภาวะแวดล้อมและสถานการณ์ ได้สร้างสีสรรค์ต่างๆ ให้กับชีวิต, แต่คุณ..... ก็ต้องเลือกว่า สีอะไรที่ควรจะเป็นของคุณ." - จอห์น โฮเมอร์ มิลเล่อร์
This is to suggest that you write a note on your refrigerator to remind you that all things are possible (with the help of heaven). Take a moment to be thankful for the gift of rose-colored glasses. If you*re uncertain about something and find yourself slipping into negative thinking, make a point to zero in on the positive. If you can*t see through the fog, and your future is fuzzy, it*s a great opportunity to practice being optimistic.
นี่คือ การแนะนำให้ คุณเขียนข้อความชิ้นเล็กๆ ปะอยู่บนตู้เย็น เพื่อที่จะเตือนคุณว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น คือเรื่องที่เป็นไปได้ (ด้วยการช่วยเหลือจากสวงสวรรค์ด้วย). ลองหยุดสักครู่หนึ่ง เพื่อขอบใจถึงความสามารถพิเศษในเรื่องของการมองโลกในแง่ดีอย่างมีความหวังสูง. ถ้าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างและพบตัวคุณเองว่า ได้ไถลเข้าไปสู่ความคิดในแง่ลบแล้ว, พยายามดึงตัวกลับมาให้ที่จุดเลขศูนย์ ซึ่งเป็นตัวกึ่งกลาง ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปในทางบวก. ถ้าคุณไม่สามารถเห็นผ่านสายหมอกที่หนาทึบได้, และอนาคตของคุณก็ยังดูพร่ามัวอยู่, เป็นโอกาสที่ดีของคุณแล้ว ที่จะลองปฎิบัติในเรื่องของการมองโลกในแง่ดีเสียทีหนึ่ง.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 19
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:24:57   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ


"Love, Wealth and Success" "ความรัก, ความมั่งคั่งและความสำเร็จ"

A woman came out of her house and saw 3 old men with long white beards sitting in her front yard. She did not recognize them. She said "I don*t think I know you, but you must be hungry. Please come in and have something to eat."

ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอและได้เห็นผู้เฒ่าสามท่านซึ่งมีเคราสีขาวซึ่งยาวมาก นั่งอยู่ที่บนหน้าสนามนอกบ้านของเธอ. เธอไม่รู้จักพวกเขาสักคนเดียว. เธอได้กล่าวว่า "ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ, แต่คุณคงจะหิวกระหายเป็นอย่างมาก. กรุณาได้โปรดเข้ามาในบ้านนี้และมาทานอาหารด้วยกัน."

"Is the man of the house home?” they asked. "No", she said. "He*s out." "Then we cannot come in", they replied.

"ท่านผู้ชายซึ่งเป็นเจ้าของบ้านอยู่หรือเปล่า? " พวกเขาถามขึ้น."ไม่อยู่จ้ะ", เธอตอบกล่าวกลับไป."เขายังทำงานอยู่นอกบ้าน." "เมื่อเป็นเช่นนั้น, พวกเราก็ยังไม่สามารถเข้ามาข้างในบ้านได้", พวกเขาตอบกลับไป.

In the evening when her husband came home, she told him what had happened. "Go tell them I am home and invite them in!" The woman went out and invited the men in. "We do not go into a House together," they replied. "Why is that?" she wanted to know.

เมื่อสามีของเธอได้กลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ, เธอบอกกับเขาว่าอะไรได้เกิดขึ้น. "ออกไปบอกพวกเขาว่า ฉันได้กลับมาบ้านแล้ว และเชิญพวกเขาเข้ามาข้างในได้เลย! " ภรรยาก็ได้ออกไปข้างนอกและเชื้อเชิญผู้เฒ่าทั้งสามท่านนั้นเข้ามา. "เราไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้โดยพร้อมกัน, " พวกเขากล่าวตอบ."ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?" ภรรยาเจ้าของบ้านต้องการจะทราบ.

One of the old men explained: "His name is Wealth," he said pointing to one of his friends, and said pointing to another one, "He is Success, and I am Love." Then he added, "Now go in and discuss with your husband which one of us you want in your home."

ผู้เฒ่าท่านหนึ่งได้อธิบายขึ้น: "ชื่อของท่านผู้นี้ มีนามว่า ความมั่งคั่ง," เขากล่าวโดยชี้ไปยังเพื่อนคนหนึ่งของเขา, และยังกล่าวต่อไปโดยชี้ไปยังอีกคนหนึ่ง, "ท่านผู้นี้ชื่อว่า ความสำเร็จ, และตัวฉันมีชื่อว่า ความรัก." จากนั้น เขาก็กล่าวเพิ่มขึ้นว่า, "ในขณะนี้ ขอให้คุณภรรยาเข้าไปข้างในบ้านก่อน และปรึกษากับสามีของคุณว่า คนๆ ไหนของเราทั้งสามนั้น ที่พวกคุณต้องการให้เข้าไปในบ้านของคุณ."

The woman went in and told her husband what was said. Her husband was overjoyed. "How nice!!" he said. "Since that is the case, let us invite Wealth. Let him come and fill our home with wealth!" His wife disagreed. "My dear, why don*t we invite Success?"

ภรรยาได้เดินกลับเข้ามาข้างในบ้านและบอกกับสามีของเธอว่าผู้เฒ่าเหล่านั้นได้กล่าวอะไรไว้บ้าง. สามีของเธอมีความรู้สึกปลื้มปิติดีใจเหลือเกิน."ช่างเป็นเรื่องที่แสนดีอะไรอย่างนี้! " เขาได้กล่าวขึ้น."เพราะว่าเป็นกรณีแบบนี้, ก็ขอให้พวกเราเชื้อเชิญความมั่งคั่งดีกว่า. ให้เขาเข้ามาและเติมบ้านของเราให้เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง! " ภรรยาของเขาไม่เห็นด้วย."ที่รักของฉัน, ทำไมเราไม่เชื้อเชิญความสำเร็จเข้ามาล่ะ?"

Their daughter-in-law was listening from the other corner of the house. She jumped in with her own suggestion: "Would it not be better to invite Love? Our home will then be filled with love!"

ลูกสะใภ้ของพวกเขาได้ยินคำสนทนาจากอีกมุมห้องหนึ่งของบ้าน. เธอก็ได้เข้ามาร่วมและเสนอด้วยคำแนะนำของเธอเองว่า: "เป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างอื่นมิใช่หรือถ้าพวกเราได้เชื้อเชิญความรักเข้ามา? เพราะฉะนั้น บ้านของเราก็จะเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น!"

"Let us heed our daughter-in-law*s advice," the husband said to his wife. "Go out and invite Love to be our guest." The woman went out and asked the 3 old men, "Which one of you is Love? Please come in and be our guest." Love got up and started walking toward the house. The other 2 also got up and followed him.

"ขอให้พวกเราเอาใจใส่ฟังคำแนะนำของลูกสะใภ้เราดีกว่า," สามีได้กล่าวกับภรรยาของเขา."เธอจงออกไปข้างนอกและเชื้อเชิญความรักเข้ามา ให้เป็นแขกในบ้านของเรานะ." ภรรยาได้ออกไปข้างนอกและถามกับผู้เฒ่าทั้งสามท่านว่า, "ท่านผู้ใดคือความรัก? กรุณาเข้ามาข้างในและเป็นแขกเชื้อเชิญของพวกเรา." ความรักได้ลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินมุ่งหน้าไปยังตัวบ้าน. ผู้เฒ่าอีกสองท่าน ก็ลุกขึ้นและเดินตามเขาไป.

Surprised, the lady asked Wealth and Success: "I only invited Love, Why are you coming in?" The old men replied together: "If you had invited Wealth or Success, the other two of us would*ve stayed out, but since you invited Love, wherever he goes, we go with him. Wherever there is Love, there is also Wealth and Success!"

ด้วยความประหลาดใจ, ภรรยาได้ถามความมั่งคั่งและความสำเร็จว่า: "ฉันเพียงแต่เชื้อเชิญความรักเท่านั้น, ทำไมคุณถึงตามเข้ามาข้างในล่ะ?" ผู้เฒ่าทั้งสองได้ตอบโดยพร้อมกัน: "ถ้าคุณเพียงแต่เชื้อเชิญความมั่งคั่งหรือความสำเร็จท่านใดท่านหนึ่ง, พวกเราอีกสองท่านก็จะอยู่ข้างนอก, แต่เพราะว่าคุณได้เชื้อเชิญความรัก, ไม่ว่าที่เขาจะย่างไป ณ ที่แห่งไหน, พวกเราจะตามเขาไปโดยตลอด. ตราบเท่าที่ไหนซึ่งยังมีความรักอยู่, ที่นั้นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จตามมาอยู่ด้วยอย่างเสมอ!"

This is to say where there is pain; I wish you peace and mercy. Where there is self-doubting, I wish you a renewed confidence in your ability to work through your troubles. Where there is tiredness, or exhaustion, I wish you understanding, patience, and renewed strength. Where there is fear, I wish you love, and courage.

เรื่องนี้ ขอกล่าวว่า เมื่อมีความเจ็บปวด, ฉันหวังว่าคุณได้พบกับความสงบและความเมตตา; เมื่อไรก็ตามที่มีความสงสัยในตัวเอง, ฉันหวังว่าคุณได้รับความมั่นใจในความสามารถของคุณ ให้เพิ่มขึ้นมาใหม่ ต่อการกระทำให้ผ่านพ้นอุปสรรคที่ยุ่งยากไปได้. ที่ไหนทีมีความเหนื่อยล้า, หรืออ่อนเปลี้ยเพลียใจ, ฉันหวังว่าคุณได้รับ ความเข้าใจ, ความอดทน, และพละกำลังเพิ่มขึ้นมาใหม่. ที่ใดก็ตามที่มีความกลัว, ฉันหวังว่าคุณได้พบกับความรัก, และกำลังใจซึ่งแกร่งกล้า.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 20
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:26:05   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Identical Twins" "ฝาแฝดเหมือน"

This is a story of identical twins. One was a hope-filled optimist. "Everything is coming up roses!" he would say. The other twin was a sad and hopeless pessimist. Their worried parents brought them to the local psychologist who suggested a plan to balance the twins* personalities.

เรื่องนี้เป็นเรื่องของฝาแฝดเหมือน. ฝาแฝดคนหนึ่งเป็นผู้ที่มีความคิดความหวังเต็มไปด้วยแง่ดี."ทุกสิ่งสุกอย่างเหมือนกับกลีบดอกกุหลาบแรกแย้ม! " เขาจะพูดอยู่เช่นนั้น. แฝดอีกคนหนึ่งมีแต่ความเศร้าโศรกและมองโลกในแง่ร้ายด้วยความสิ้นหวัง. ผู้ปกครองของเขาทั้งสองมีความเป็นห่วงมาก จึงได้นำเขาทั้งสองมาพบกับนักจิตวิทยาที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งเป็นผู้แนะนำแผนให้ ปรับบุคลิกลักษณะของฝาแฝดนั้นให้สมดุลย์กัน.

"On their next birthday, put them in separate rooms to open their gifts. Give the pessimist the best toys you can afford, and give the optimist a box of manure." The parents followed these instructions and carefully observed the results.

"ในวันเกิดคราวหน้าของเขาทั้งสอง, นำตัวเขาออกมาให้แยกห้องอยู่เพื่อที่จะเปิดของขวัญของเขา. ให้ของเล่นอย่างดีที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถซื้อได้ให้กับผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย, และให้กล่องซึ่งเต็มไปด้วยปุ๋ยคอกกล่องหนึ่งกับผู้ที่มองโลกในแง่ดี." พ่อแม่ของเขาทั้งสองก็ได้กระทำตามคำแนะนำนั้น และเฝ้าสังเกตุดูอย่างระมัดระวังต่อผลที่ออกมา.

When they peeked in on the pessimist, they heard him audibly complaining, "I don*t like the color of this computer . . I*ll bet this calculator will break . . . I don*t like the game …"

เมื่อพ่อแม่ได้แอบมองมาที่ตัวผู้มองโลกในแง่ร้าย, ก็ได้ยินเขาบ่นอย่างดังว่า, "ฉันไม่ชอบสีสันของคอมพิวเตอร์เครื่องนี้เลย... ฉันพนันได้เลยว่าเครื่องคิดเลขเครื่องนี้จะพังแน่.... ฉันไม่ชอบเกมส์ชิ้นนี้เลย..... "

Tiptoeing across the corridor, the parents peeked in and saw their little optimist gleefully throwing the manure up in the air. He was giggling. "You can*t fool me! Where there*s manure, there*s gotta be a pony!"

ด้วยการเดินเขย่งเท้าข้ามไปบนทางเดิน, พ่อแม่ก็ได้แอบมองและเห็นเจ้าตัวน้อยผู้ซึ่งมองโลกในแง่ดีนั้น ได้โกยโยนปุ๋ยคอกนั้นขึ้นไปบนอากาศอย่างร่าเริง. เขายังได้หัวเราะคิกคัก. "พ่อกับแม่ไม่สามารถจะหลอกฉันได้เลยนะ! มีปุ๋ยคอกอยู่ที่ไหน, ก็ต้องมีเจ้าม้าตัวน้อยออกมาให้ขี่เสียดีๆ!"

This is saying the next time that life hands you manure, remember that you have a choice; You can complain, grumble, find fault or you can "look for the pony" in the situation. Everything happens for a reason and a purpose and it can serve you if you choose to look. It is, after all, just a matter of attitude and perspective!

นี่คือการกล่าวว่า คราวหลังเมื่อชีวิตของคุณ ได้รับความสกปรกเข้ามาเหมือนปุ๋ยคอกนั้น, จำไว้เสมอว่าคุณมีทางเลือก; คุณสามารถบ่น, ค่ำครวญไม่พอใจ, หาคำตำหนิติเตียน หรือ คุณสามารถที่จะ"มองหาเจ้าม้าตัวน้อย" ในสถานการณ์นั้น. ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อเหตุผลอย่างหนึ่ง และสามารถช่วยคุณได้ถ้าคุณเลือกที่จะมองดูมัน. อย่างไรก็ตาม, มันเป็นเพียงเรื่องของทัศนคติและมุมมองของความเห็นเท่านั้นเอง.




 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 21
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:27:15   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Wise Woman*s Stone" "พลอยของหญิงผู้ชาญฉลาด"

A wise woman who was traveling in the mountains found a precious stone in a stream. The next day she met another traveler who was hungry, and the wise woman opened her bag to share her food. The hungry traveler saw the precious stone and asked the woman to give it to him. She did so without hesitation.

หญิงผู้ชาญฉลาดคนหนึ่งผู้ซึ่งเดินทางผ่านหุบเขาซึ่งซับซ้อน ได้พบพลอยก้อนหนึ่งในลำธาร. ในวันรุ่งขึ้น เธอได้พบกับนักเดินทางอีกคนหนึ่งซึ่งมีความหิวกระหาย, หญิงผู้ชาญฉลาดนั้นได้เปิดย่ามของเธอเพื่อที่จะแบ่งปันอาหารให้. นักเดินทางผู้หิวกระหายนั้นได้เห็นก้อนพลอยและถามผู้หญิงว่า จะให้พลอยก้อนนั้นกับเขาได้หรือเปล่า. เธอก็มอบให้โดยปราศจากความอึกอักลังเลใจใดๆ.

The traveler left rejoicing in his good fortune. He knew the stone was worth enough to give him security for a lifetime. But, a few days later, he came back to return the stone to the wise woman.

นักเดินทางผู้นั้น มีความรู้สึกปิติเบิกบานกับโชคลาภที่เขาได้รับ. เขาทราบว่าพลอยก้อนนั้น มีค่าอย่างมากมายมหาศาลที่จะให้ความมั่นคงต่อเขาไปตลอดชั่วชีวิต. แต่, สองสามวันต่อมาหลังจากนั้น, เขาได้กลับมาและคืนก้อนพลอยนั้นให้กับผู้หญิงผู้ชาญฉลาด.

"I*ve been thinking," he said. "I know how valuable this stone is, but I give it back in the hope that you can give me something even more precious. Please give me what you have within you that enabled you to give me this stone."

"ฉันได้กลับไปฉุกคิดอยู่," เขาได้กล่าวขึ้น."ฉันรู้ว่าก้อนพลอยก้อนนี้มีราคามากเท่าไร, แต่ฉันต้องให้มันกลับไปอยู่กับคุณ โดยหวังว่าคุณสามารถให้สิ่งบางอย่างซึ่งมีค่ามากกว่านั้นอีก. โปรดช่วยกรุณามอบสิ่งที่คุณมีอยู่ภายในจิตใจของคุณ ซึ่งสามารถยอมให้คุณ มอบพลอยก้อนนี้ให้กับฉันได้."

This is to remind that sometimes it*s not the wealth you have, but what*s inside you that others need.

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจว่า บางครั้ง มันไม่ใช่ว่าคุณจะร่ำรวยมั่งคั่งแค่ไหน, แต่เป็นสิ่งที่คุณมีอยู่ภายในจิตใจของคุณ ซึ่งผู้อื่นนั้น กำลังต้องการแสวงหาอยู่.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 22
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:28:35   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"If I had my life to live over" written by Erma Bombeck (after she found out she was dying from cancer) "ถ้าฉันได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง" เขียนโดย เอร์มา บอมเบ๊ค (หลังจากที่เธอได้ทราบว่าเธอกำลังจะถึงแก่ความตายจากโรคมะเร็ง)

If I had my life to live over...I would have gone to bed when I was sick instead of pretending the earth would go into a holding pattern if I weren*t there for the day.

ถ้าฉันได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง.... ฉันจะไปนอนพักผ่อนบนเตียงในยามที่ฉันเจ็บป่วย แทนที่จะแกล้งฝืนคิดว่า โลกทั้งโลกจะต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ ถ้าฉันไม่ไปทำงานในวันนั้น.

I would have burned the pink candle sculpted like a rose before it melted in storage.

ฉันจะไปจุดเทียนสีชมพูสดสวยซึ่งได้ถูกแกะสลักอย่างสวยงามเหมือนดอกกุหลาบ ก่อนที่มันจะละลายเละลงไปในห้องเก็บของ.

I would have talked less and listened more.

ฉันจะพูดให้น้อยลงและฟังให้มากขึ้น.

I would have invited friends over to dinner even if the carpet was stained, or the sofa faded.

ฉันจะเชื้อเชิญเพื่อนๆ ของฉันมารับประทานอาหารค่ำด้วยกัน ถึงแม้ว่า พรมบนบ้านนั้นจะมีรอยเปื้อน, หรือโซฟาเป็นสีซีดๆ จางๆ อยู่.

I would have eaten the popcorn in the *good* living room and worried much less about the dirt when someone wanted to light a fire in the fireplace.

ฉันจะกินข้าวโพดคั่วใจห้องรับแขกที่ " แสนดี " และห่วงเรื่องเขม่าที่สกปรกให้น้อยลงมากกว่านั้น เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องการจะจุดไฟในเตาผิง.

I would have shared more of the responsibility carried by my husband.

ฉันจะเพิ่มความรับผิดชอบที่มีร่วมกัน ซึ่งสามีของฉันได้กระทำอยู่.

I would never have insisted the car windows be rolled up on a beautiful summer day because my hair had just been teased and sprayed.

ฉันจะไม่ยืนกรานที่จะเอากระจกหน้าต่างรถยนต์ให้ปิดอยู่เสมอ ในวันของฤดูร้อนที่แสนสวย เพราะว่า ฉันเพิ่งได้ไปหวีผมและเสปรย์มา.

I would have sat on the lawn with my grass stains.

ฉันจะนั่งลงบนสนามหญ้าหน้าบ้านถึงแม้จะมีคราบเปื้อนจากยอดหญ้าอยู่.

I would have cried and laughed less while watching television and more while watching life.

ฉันจะร้องไห้และหัวเราะให้น้อยลง ในขณะที่ฉันกำลังดูทีวี และเพิ่มการกระทำแบบเดียวกันนั้นให้มากขึ้ นเมื่อดูเห็นถึงชีวิตจริงที่ผ่านพ้นไป.

I would never have bought anything just because it was practical, wouldn*t show soil, or was guaranteed to last a lifetime.

ฉันจะไม่ซื้อสิ่งของอะไรเลย เพียงเพราะว่ามันเป็นเพราะตามแบบฉบับ, ไม่ได้แสดงให้เห็นรอยเปื้อน , หรือว่ารับประกันว่าจะคงอยู่เป็นเวลานานแสนนาน.

Instead of wishing away nine months of pregnancy, I*d have cherished every moment and realized that the wonderment growing inside me was the only chance in life to assist God in a miracle.

แทนที่จะปราถนาว่า จะให้การตั้งท้องในเวลาเก้าเดือน ให้มันพ้นๆ ไปอย่างรวดเร็ว, ฉันจะชื่นชมทุกๆ ชั่วขณะและรับรู้ว่า สิ่งที่น่าพิศวงอย่างประหลาดซึ่งกำลังเติบโตอยู่ภายในร่างกายของฉันนั้น เป็นโอกาสอย่างเดียวในชีวิตที่จะช่วยพระผู้เป็นเจ้า ทรงกระทำสิ่งที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ได้.

When my kids kissed me impetuously, I would never have said, "Later. Now go get washed up for dinner." There would have been more "I love you*s." More "I*m sorry*s." But mostly, given another shot at life, I would seize every minute...look at it and really see it .. live it...and never give it back.

เมื่อลูกๆ ของฉันได้จูบฉันอย่างหุนหันพลันแล่น, ฉันจะไม่พูดว่า, "เอาไว้ทีหลัง. ตอนนี้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนที่จะทานอาหารค่ำ." ควรจะมีคำว่า"แม่รักเธอ" หรือ"แม่ขอโทษด้วย" ให้มากกว่า. แต่อย่างสำคัญที่สุด, ถ้าฉันได้รับโอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างนี้อีกหนหนึ่ง, ฉันจะจับยึดมั่นทุกๆ วินาที... มองดูและเห็นตาม.. และเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับมัน และจะไม่มีวันที่จะให้มันกลับคืนออกไปเป็นอันขาด.

Stop sweating the small stuff.

หยุดวิตกกังวลกับเรื่องน้อยนิด.

Don*t worry about who doesn*t like you, who has more, or who*s doing what.

ไม่ห่วงว่า ใครจะมาชอบ, ใครมีมากกว่ากัน, หรือใครกำลังทำอะไร.

Instead, let*s cherish the relationships we have with those who do love us.

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, ควรที่จะชื่นชมกับความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่กับบุคคลผู้ซึ่งให้ความรักกับเรา.

Let*s think about what God has blessed us with. And what we are doing each day to promote ourselves mentally, physically, emotionally.

ลองคิดดูว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบพรอันประเสริฐอะไรกับเราไว้ให้. และสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ในแต่ละวันนี้ เพื่อที่จะส่งเสริมช่วยเหลือทางจิตใจ, ทางร่างกาย, และทางอารมณ์ ให้ดียิ่งขึ้น.

This is to say that I hope you all have a blessed day.

นี่คือการกล่าวให้ทราบว่า ฉันหวังว่า ท่านทั้งหลาย จะได้รับความโชคและความสุขตลอดทั้งวันนี้.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 23
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:30:43   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ


"Learn to Meditate" "เรียนรู้ถึงการทำสมาธิ"

All my life, though I have been attracted to the idea of meditation, I have resisted actually doing it. I was seldom able to sit still long enough. Now that I*ve simplified my life, meditation has become an important part of my daily routine.

ตลอดทั้งชีวิตของฉัน, ถึงแม้ว่าฉันได้เห็นถึงความน่าสนใจกับความคิดในเรื่องของการปฎิบัติการทำสมาธิ, ฉันก็ยังยืนกรานต่อต้านกับการที่จะกระทำมันลงไปอย่างแท้จริง. เป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะนั่งตัวตรงนิ่งๆ อย่างเป็นเวลานานพอสมควร. แต่ในปัจจุบันนี้ ฉันได้ปรับปรุงให้ชีวิตฉันยุ่งยากน้อยลง, การทำสมาธินั้น ได้เริ่มเป็นส่วนที่สำคัญในกิจวัตรประจำวันของฉัน.

Many people have just the opposite experience: once they have learned to meditate, they find they gradually simplify their lives.

ผู้คนหลายคน กลับไปได้ประสบการณ์ที่ตรงข้ามกัน: ครั้งเดียวที่พวกเขาได้เรียนรู้ถึงการทำสมาธิ, พวกเขาได้พบว่า พวกเขาได้เริ่มลดความยุ่งยากในชีวิตของพวกเขาทีละนิดๆ.

This is not to say that learning to meditate is easy, nor are the results necessarily immediate. But both the physical and psychological benefits of a sustained meditation program are well known and well documented. They include a much greater ability to deal with the everyday problems we all face, and a calmness and serenity that result from few other disciplines. Most people also find that meditation produces more energy, more restful sleep, an increased ability to concentrate, and an overall feeling of well-being.

เรื่องนี้ ไม่ได้หมายความว่า การเรียนรู้ถึงการทำสมาธินั้นเป็นเรื่องที่ง่าย, หรือว่า ผลลัพธ์ที่ออกมากจะเกิดขึ้นทันทีทันใดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. แต่ทว่าผลประโยชน์ทางกายและทางจิตใจที่ได้รับทั้งสองเรื่องจากโปรแกรมการปฎิบัติการทำสมาธิที่ยังจรรโลงอยู่อย่างต่อไปนั้น ก็ได้เป็นเรื่องที่รู้เห็นประจักษ์แจ้งและบันทึกไว้เป็นอย่างดีเยี่ยม. เรื่องพวกนี้ รวมไปถึง ความสามารถที่โดดเด่นกว่าในเรื่องของการปฎิบัติต่อปัญหาที่เราทั้งหมด ได้เผชิญหน้ากันอยู่ทุกๆ วัน, และความสงบทางอารมณ์และความเยือกเย็นแน่นิ่งซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากการฝึกฝนสองสามรูปแบบนี้. ผู้คนเกือบทั้งหมดยังได้พบว่า การทำสมาธินั้น ได้ผลิตพละกำลังให้มีมากขึ้นกว่า, ทำให้การนอนหลับพักผ่อนได้ดีกว่า, และเพิ่มความสามารถในการเน้นความสนใจ, และความรู้สึกต่อสวัสดิภาพทั้งหมด.

This is to say that whether you simplify first, then learn to meditate, or start meditating, and then begin to simplify, or even start both processes at the same time, you*ll find meditation an effective way to maintain a simple life...and get fewer wrinkles along the way!

เรื่องนี้หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะลดความยุ่งยากลงมาก่อน, จากนั้นก็เรียนรู้ถึงวิธีการทำสมาธิ, หรือจะเริ่มทำสมาธิก่อน, และหลังจากนั้นก็เริ่มลดความยุ่งยากลงมา, หรือแม้กระทั่งจะเริ่มกระบวนการทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน, คุณก็จะพบว่า การทำสมาธินั้น เป็นหนทางที่ก่อให้เกิดประสิทธิผล ต่อการดูแลชีวิตให้เป็นไปอย่างเรียบง่าย... และคุณก็จะมีรอยย่นน้อยลงในระยะเวลาข้างหน้าต่อๆ ไป!



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 24
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:33:55   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Always the First Time" "มีแต่พียงครั้งแรกโดยเสมอ"

"Make it New"
- Ezra Pound


"ทำให้มันเป็นของใหม่ไปเสีย"
- เอร์ซ่า พาวด์


Over the years I have heard many "experts" discuss elaborate theories about what makes a relationship "good". Then a friend of mine introduced me to a Buddhist lama who hinted that he knew the secret of keeping love alive. "It*s simple", he said. "All you have to do is act as if you have just met this person and are falling in love. When you meet someone you are interested in, everything they do is wonderful. You love looking at them, hearing what they have to say. Even when they play music that you hate, you think, "Well, maybe it isn*t so bad after all." As time goes on, however, you take the person for granted and fight over the "isn*t so bads". The lama said that it was simple, but...he never said it was easy."

ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้ยิน"ผู้เชี่ยวชาญ" หลายท่าน ได้กล่าวถึงทฤษฎีอย่างละเอียดยิบเกี่ยวกับ การกระทำอย่างไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์นั้น "ดีขึ้น." จากนั้น เพื่อนของฉันคนหนึ่งได้แนะนำฉันให้รู้จักกับ พระทิเบตทางศาสนาพุทธองค์หนึ่ง ผู้ซึ่งเกริ่นเป็นนัยๆ ว่า เขาได้ทราบถึงเคล็ดลับ เพื่อจะทำให้ความรักนั้นยืนหยัดคงอยู่ต่อไปได้. "มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก, " พระทิเบตนั้นได้กล่าวขึ้น."สิ่งที่คุณควรจะกระทำทั้งหมด ก็คือกระทำให้ดูเสมือนว่า คุณเพิ่งจะได้พบกับบุคคลผู้นี้และได้เริ่มตกหลุมรัก. เมื่อคุณได้พบกับบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งคุณให้ความสนใจต่อผู้นั้น, ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้กระทำ ก็กลายเป็นเรื่องที่ดีเลิศ. คุณรักที่จะมองตัวเขา, ได้ยินว่าเขาได้พูดอะไรออกมา. ถึงแม้ว่าเขาจะเปิดเพลงหรือเล่นดนตรีที่คุณเกลียด, คุณก็ยังคิดว่า, "เอ้อ, บางทีมันก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรไปโดยทั้งหมด." อย่างไรก็ตาม, เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป, คุณก็ทึกทักเอาเองเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นและก็สู้อยู่กับเรื่องที่ว่า "มันไม่ได้ร้ายกาจนักหนา." พระทิเบตนั้นได้พูดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก, แต่... เขาไม่เคยได้กล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายเลย."

I believe the lama was right. The secret to love (and a sense of joy and gratitude toward all of life) is to see, hear, and feel as if for the First Time. Focus anew on the juiciness of an orange, or the softness of your loved one*s hands. Before you get too used to her kind words, or his musical laughter, that they become invisible.

ฉันเชื่อว่าพระทิเบตองค์นั้นพูดได้อย่างถูกต้อง. เคล็ดลับของความรัก (และความรู้สึกที่เบิกบานและรู้สึกขอบคุณต่อทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต) ก็คือ การได้เห็น, การได้ยิน และ การได้สัมผัส เสมือนว่า เป็น เวลาครั้งแรก. เพ่งความสนใจอีกครั้งหนึ่งไปยังความชุ่มฉ่ำของผลส้ม, หรือความนุ่มนิ่มจากฝ่ามือของคนที่คุณรัก. ก่อนที่คุณจะได้คุ้นเคยมากเกินไปกับคำพูดที่อ่อนหวานของเธอ, หรือการหัวเราะอย่างเสนาะหูของเขา, ซึ่งกำลังเริ่มที่จะจางหายไป.

A friend of mine recently remarked about how easy it is to get blinded to the miracles around us. When they brought their newborn daughter home from the hospital, they couldn*t sleep because they were too busy looking into her peaceful face and crying tears of gratitude. Now, just a few months later, they find themselves taking her presence for granted, already losing that overwhelming sense of appreciation for her being sent to them. They get bored because it is so much the same, day after day. But her spirit, her presence, is no less a miracle today than it was at her birth, or will be forty years from now. When we remember that, we can catch ourselves "falling asleep" to the miracle and our hearts once again fill with joy.

เพื่อนของฉันคนหนึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นเมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับว่า มันเป็นเรื่องง่ายเพียงใด ต่อการไม่เคยล่วงรู้ถึงความอัศจรรย์ใจที่อยู่รอบๆ ตัวของเรา. เมื่อพวกเขาได้นำเด็กผู้หญิงทารกแรกเกิดกลับมาที่บ้านจากโรงพยาบาล, พวกเขาก็ไม่สามารถนอนหลับลงได้เพราะว่า พวกเขายังหมกมุ่นอยู่มากเกินไปในการมองดูใบหน้าอันแสนสงบและน้ำตาจากการร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจของเธอ. ตอนนี้, เพียงแต่สองสามเดือนภายหลัง, พวกเขาก็ได้พบด้วยตนเองว่า เป็นการทึกทักเอาถึงการอยู่ในที่นี้ของเธอ, แล้วกระนั้นก็ยังได้สูญเสียความรู้สึกอย่างล้นเหลือ ที่สวรรค์ได้ส่งตัวเธอมาให้กับพวกเขา. พวกเขาก็เริ่มเบื่อหน่ายเพราะว่า มันเป็นเรื่องที่เหมือนๆ กัน, วันแล้ววันเล่า. แต่จิตวิญญาณของเธอ, การปรากฎตัวของเธอ, ไม่ใช่เป็นเรื่องของความอัศจรรย์ใจที่น้อยกว่าในวันนี้แต่เพียงอย่างใด เมื่อเทียบดูกับเมื่อตอนแรกเกิดของเธอ, หรือจะเทียบกับอีกสี่สิบปีข้างหน้านับจากวันนี้. เมื่อเราจำไว้ว่า, เราสามารถรับรู้ด้วยตัวเองเมื่อเราจับได้ว่า เราได้ "เริ่มเฉื่อยชา" จากความอัศจรรย์ใจแล้ว และหัวใจของเราก็จะเริ่มกระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยความเบิกบานอีกครั้งหนึ่ง.

This is to remind that when we can live our lives as if it is always the first time...the first time we kissed, the first time we gazed upon the face of our beloved, the first time we tasted ice cream, the first time we saw a cardinal...we won*t have to try to experience a sense of gratitude. It will be there, automatically, as a natural response to the beauty and the bounty.

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจให้ทราบว่า เมื่อตัวเราสามารถดำเนินชีวิตของเราให้ดูเสมือนว่ามันเป็นเรื่องครั้งแรกในชีวิตโดยเสมอ....เวลาที่เราได้จูบกันครั้งแรก, เวลาที่ได้เพ่งมองใบหน้าครั้งแรกกับคนที่รัก, เวลาที่เราได้ชิมไอสครีมด้วยกันเป็นครั้งแรก, เวลาที่เราได้เห็นนกสีแดงที่ร้องอย่างไพเราะด้วยกันเป็นครั้งแรก .... เราไม่ต้องพยายามที่จะไปประสบต่อความรู้สึกเหมือนกับว่าต้องไปสำนึกในบุญคุณแต่เพียงอย่างใด. มันจะยังคงอยู่ ณ ที่แห่งนั้น, โดยตัวของมันเอง, เหมือนกับความรู้สึกตอบรับอย่างเป็นไปตามธรรมชาติต่อความสวยสดงดงามและความอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 25
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:37:24   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Best Advice I Ever Received. " "คำแนะนำที่ดีที่สุด ซึ่งฉันได้เคยรับมา"

You*re at the top when you clearly understand that failure is an event, not a person. That yesterday ended last night and today is your brand new day.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณเข้าอย่างอย่างแจ่มแจ้งว่า ความล้มเหลวนั้นเป็นเพียงแค่เหตุการณ์, ไม่ใช่ตัวบุคคล. ว่าวันเมื่อวานนั้น ได้สิ้นสุดลงมาเมื่อคืนนี้แล้ว และวันนี้เป็นวันใหม่เอี่ยมของคุณ.

You*re at the top when you*ve made friends with your past, are focused on the present, and optimistic about the future.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณได้สร้างความเป็นมิตรกับเวลาในอดีตของคุณ, เน้นเพ่งความสนใจไปยังจุดสำคัญกับเวลาในปัจจุบัน, และคาดหวังสิ่งที่ดีกับเวลาในอนาคต.

You*re at the top when you know that success (a win) doesn*t make you and a failure (a loss) doesn*t break you.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณรู้ว่า ความสำเร็จ (ชัยชนะ) ไม่ได้สร้างตัวของคุณขึ้นมา และความล้มเหลว (การพ่ายแพ้) ไม่ได้ทำลายตัวของคุณโดยเช่นกัน.

You*re at the top when you*re filled with faith, hope, and love, and live without anger, greed, guilt, envy or thoughts of revenge. When you*re mature enough to delay gratification and shift your focus from your rights to your responsibilities.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อจิตใจของคุณเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา, และความรัก, และใช้ชีวิตอยู่ โดยปราศจากความโกรธ, ความโลภ, ความรู้สึกผิด, ความอิจฉาริษยา หรือความคิดซึ่งมีแต่เรื่องการแก้แค้น. เมื่อคุณได้กระทำให้เสร็จสมบูรณ์อย่างพอเพียง ที่จะยืดเวลาของความปลื้มปิติยินดีออกไป และเปลี่ยนการเน้นความสำคัญจากเรื่องสิทธิที่มีอยู่ของตัวคุณ มาเป็นเรื่องของความรับผิดชอบของคุณแทน.

You*re at the top when you know that failure to stand for what is morally right is the prelude to being the victim of what is criminally wrong.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณรู้ว่า ความล้มเหลวต่อการยอมรับเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นลางบอกเหตุของการเป็นผู้เคราะห์ร้ายกับสิ่งที่ผิดอย่างสิ้นดี.

You*re at the top when you are secure about who you are so that you*re at peace with God and in fellowship with man.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณมีความยึดมั่นอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับว่าคุณเป็นใคร เพื่อที่คุณจะได้สร้างความสงบสันติกับพระผู้เป็นเจ้าและสร้างสัมพันธภาพกับมนุษยชน.

You*re at the top when you*ve made friends with your adversaries and have gained the love and respect of those who you know best. When you understand that others can give you pleasure but genuine happiness comes when you do things for others.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณได้สร้างมิตรภาพกับผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อคุณ และได้รับความรักและความเคารพนับถือจากบุคคลผู้ที่รู้จักตัวคุณอย่างดีที่สุด. เมื่อคุณได้เข้าใจว่า บุคคลผู้อื่นสามารถให้ความปิติยินดีรื่นเริงกับคุณ แต่ความสุขซึ่งเป็นของแท้นั้น มาจาก เมื่อคุณได้กระทำสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่นๆ.

You*re at the top when you*re pleasant to the grouchy, courteous to the rude, and generous to the needy.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณให้ความสุภาพต่ออารมณ์ที่บูดบึ้ง, ให้ความนอบน้อมต่อความหยาบคาย, และให้ความใจกว้างอย่างมีเมตตาต่อความอัตคัดขัดสน.

You*re at the top when you love the unlovable, give hope to the hopeless, friendship to the friendless and encouragement to the discouraged.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณให้ความรักกับบุคคลที่ไม่สามารถหาความรักได้, ให้ความหวังต่อบุคคลที่สิ้นหวัง, ให้ความเป็นมิตรกับบุคคลที่ไร้มิตร และให้กำลังใจกับบุคคลที่ท้อแท้ใจ.

You*re at the top when you can look back in forgiveness, forward in hope, down in compassion, and up with gratitude.

คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณสามารถมองย้อนกลับไปในอดีตข้างหลังด้วยการให้อภัย, มองไปข้างหน้าด้วยความหวัง, มองลงไปเบื้องล่างด้วยความสงสารเห็นอกเห็นใจ, และมองขึ้นไปเบื้องบนด้วยความกตัญญูรู้สึกขอบคุณ.

This is to say that …You*re at the top when you know that he who would be the greatest among you must become the servant of all.

เรื่องนี้ได้สอนให้รู้ว่า... คุณจะอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เมื่อคุณทราบว่า บุคคลที่จะเป็นผู้ที่ดีเลิศที่สุดในตัวของพวกท่านนั้น ต้องเป็นผู้ที่กระทำการช่วยเหลือปรนนิบัติให้กับบุคคลทั้งหมดนั่นเอง.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 26
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:42:17   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"No Problem" ไม่มีปัญหาแต่เพียงอย่างใด

Don*t worry if you have problems! It*s easy to say until you are in the midst of a really big one. But the only people I am aware of who don*t have troubles are gathered in little neighborhoods. Most communities have at least one. We call them cemeteries.

ไม่ต้องห่วงอะไรเลย เมื่อคุณเผชิญต่อปัญหา! เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการพูด จนกระทั่งตัวเมื่อของคุณเองได้พบอยู่ในท่ามกลางของปัญหาใหญ่นั้นอย่างโดยแท้จริง. แต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่ฉันตระหนักรู้ว่า พวกเขาซึ่งได้อยู่รวมกันในละแวกบ้านเล็กๆ เหล่านั้น ไม่ต้องมาผจญกับปัญหาอะไรเลย. ชุมชนเกือบทั้งหมดก็มีกลุ่มนี้อย่างน้อยที่สุดก็กลุ่มหนึ่ง. พวกเราเรียกกลุ่มชนที่อยู่ในละแวกบ้านนี้ว่า สุสาน.

If you*re breathing, you have difficulties. It*s the way of life. And believe it or not, most of your problems may actually be good for you!

ถ้าคุณยังมีลมหายใจอยู่, คุณก็จะประสบกับความลำบากเสมอ. มันเป็นเรื่องตามปรกติของวิถีชีวิต. และเชื่อหรือไม่ว่า, ปัญหาเกือบทั้งหมดของคุณนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวคุณเองก็ได้!

Maybe you have seen the Great Barrier Reef, stretching some 1,800 miles from New Guinea to Australia. Tour guides regularly take visitors to view the reef. On one tour, the guide was asked an interesting question. "I notice that the lagoon side of the reef looks pale and lifeless, while the ocean side is vibrant and colorful," a traveler observed. "Why is this?"

บางทีคุณอาจจะได้เคยเห็นแนวปะการังมหึมาชื่อว่า เกรท แบร์เรีย รีฟ, แผ่ขยายออกเป็นระยะทางประมาณ 1,800 ไมล์ จากนิวกีนีไปจนถึงตัวทวีปออสเตรเลีย. ตามปรกติแล้วมักคุเทศน์ได้นำนักท่องเที่ยวไปชมแนวปะการังนั้น. ในทัวร์หนึ่ง, มักคุเทศน์ได้ถามด้วยคำถามที่น่าทึ่งใจเรื่องหนึ่ง. "ฉันสังเกตุเห็นว่า ฝั่งทะเลสาบบนหินปะการังที่หันหน้าเข้าชายหาดนั้น ดูเหมือนจะซีดเซียวและปราศจากชีวิต, ในขณะที่ฝั่งที่หันออกไปทางมหาสมุทรนั้น ดูเหมือนว่ามีชีวิตชีวาและมีสีสันต่างๆ อย่างสดสวยงดงาม, " นักเดินทางผู้หนึ่งได้เฝ้าดูและถามขึ้น."ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? "

The guide gave an interesting answer: "The coral around the lagoon side is in still water, with no challenge for its survival. It dies early. The coral on the ocean side is constantly being tested by wind, waves, storms -- surges of power. It has to fight for survival every day of its life. As it is challenged and tested it changes and adapts. It grows healthy. It grows strong. And it reproduces." Then he added this telling note: "That*s the way it is with every living organism."

มักคุเทศน์ได้ให้คำตอบที่น่าทึ่งว่า: "ปะการังที่อยู่ทางฝั่งทะเลสาบนั้นยังคงอยู่ในน้ำที่นิ่ง, ไม่ได้ถูกท้าทายอะไรต่อการอยู่รอด. พวกนี้จะตายตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม. ปะการังที่อยู่ทางฝั่งที่หันออกไปทางมหาสมุทรนั้นได้ถูกทดสอบอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยลม, คลื่น, พายุ... ซึ่งเพิ่มกำลังแรงอย่างโดยฉับพลัน. ปะการังพวกนี้ ต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอดทุกๆ วันในชีวิต. และเมื่อได้ถูกท้าทายและถูกทดสอบ, ปะการังก็ได้เปลี่ยนรูปร่างและเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม. ได้เจริญเติบโตด้วยร่างลำต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์. ได้เจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่ง. และได้มีการแพร่พันธุ์อีกด้วย." จากนั้นเขาก็เพิ่มข้อสังเกตุในเรื่องนี้ต่ออีกว่า: "มันเป็นวิถีทางที่จะต้องเป็นไปกับระบบของสิ่งที่มีชีวิตทุกๆ อย่าง."

That*s how it is with people. Challenged and tested, we come alive! Like coral pounded by the sea, we grow. Physical demands can cause us to grow stronger. Mental and emotional stress can produce tough-mindedness and resiliency. Spiritual testing can produce strength of character and faithfulness.

ดังนั้นก็เป็นเรื่องแบบเดียวกันกับมนุษยชน. ต้องถูกท้าทายและถูกทดสอบ, เพื่อที่พวกเราจะได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่. เหมือนกับตัวปะการังซึ่งถูกถล่มโถมด้วยน้ำทะเล, เราก็ยังเจริญเติบโตต่อไป. ความจำเป็นที่เห็นอยู่ภายนอกนั้น สามารถเป็นเหตุให้พวกเราเจริญเติบโตอย่างแกร่งกล้าขึ้นมาให้มากกว่า. ความเครียดทางสมองและทางอารมณ์สามารถสร้างสติปัญญาและความจิตใจที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ให้บึกบึนแข็งแรงได้. การทดสอบทางความศรัทธากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างความแข็งแกร่งของคุณลักษณะและความจงรักภักดีด้วยความบริสุทธ์ใจได้.

This is to say so you have problems… no problem! Just tell yourself, "There I grow again!”

เรื่องนี้เสนอให้ทราบว่า เมื่อคุณรู้ว่ามีปัญหา.... ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร! เพียงแต่บอกกับตนเองว่า, " ตอนนี้ฉันก็เริ่มเจริญเติบโตต่อไปอีกแล้ว! "



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 27
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:43:39   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Old Age" ผู้สูงอายุ 2.4.09

I have always dreaded old age. I cannot imagine anything worse than being old... How awful it must be to have nothing to do all day long but stare at the walls or watch TV.

ฉันได้คิดอยู่เสมอถึงความร้ายกาจน่ากลัวต่อการเป็นผู้สูงอายุ. ฉันไม่สามารถที่จะจินตนาการถึงเรื่องใดๆ ที่เลวร้ายมากกว่า นอกจาก การแก่ตัวลง... เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนั้น ที่จะไม่มีอะไรจะต้องทำเลยทั้งวัน เพียงแต่เพ่งมองที่ตัวกำแพงหรือไม่ก็ดูแต่เพียงโทรทัศน์.

So last week, when the President suggested we all celebrate Senior Citizen Week by cheering up a senior citizen, I decided to do just that. I would call on my new neighbor, an elderly retired gentleman, recently widowed, and who, I presumed, had moved in with his married daughter because he was too old to take care of himself.

ดังนั้นในสัปดาห์ที่แล้ว, เมื่อท่านประธานาธิบดีได้เสนอแนะว่า พวกเราควรจะเฉลิมฉลองสัปดาห์ของผู้สูงอายุ โดยการทำความรื่นเริงสดชื่นให้กำลังใจกับผู้สูงอายุคนหนึ่ง, ฉันก็ตัดสินใจว่าจะกระทำมันบ้าง. ฉันจะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนบ้านคนใหม่ของฉัน, ที่เป็นสุภาพบุรุษที่สูงวัยกว่าซึ่งได้เกษียณอายุแล้ว, เพิ่งเป็นพ่อม่าย, และเป็นผู้ซึ่ง, ที่ฉันสันนิษฐานว่า, เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่กับลูกสาวของเขา ที่แต่งงานแล้วเพราะว่า เขานั้นมีอายุมากเกินไปกว่าที่จะช่วยเหลือตนเองได้.

I baked a batch of cookies, and, without bothering to call (some old people cannot hear the phone), I went off to brighten this old guy*s day. When I rang the doorbell this "old guy" came to the door dressed in tennis shorts and a polo shirt, looking about as ancient and decrepit as Donny Osmond.

ฉันได้อบคุกกี้มากล่องหนึ่ง, และ, โดยไม่ต้องการที่จะรบกวนเขาด้วยการโทรศัพท์ไปหา (ผู้สูงอายุบางคนไม่สามารถจะได้ยิน เมื่อโทรศัพท์ได้ดังขึ้น), ฉันก็เลยเดินออกไป เพื่อที่จะทำให้วันๆ นี้ เป็นวันที่แจ่มใสสำหรับคนสูงอายุผู้นี้. เมื่อฉันได้ไปกดกริ่งที่หน้าประตูบ้าน ผู้ "สูงอายุ" นี้ก็มาเปิดประตูเอง ด้วยการแต่งตัวโดยสวมใส่กางเกงขาสั้นเพื่อไปเล่นเทนนิสและเสื้อโปโล, ซึ่งทำให้ดูเสมือนว่า เป็นคนแก่และชราภาพ เหมือนกับ นายดอนนี่ ออสมอนด์.

"I*m sorry I can*t invite you in," he said when I introduced myself, "but I*m due at the Racquet Club at two. I*m playing in the semifinals today."

"ผมขอโทษด้วยครับที่ผมไม่สามารถจะเชิญคุณเข้ามาในบ้านได้ในตอนนี้, "เขากล่าวในขณะที่ฉันกำลังแนะนำตัวเองอยู่, "แต่ผมต้องไปถึงสโมสรเทนนิสให้ทันตอนบ่ายสองโมงครับ. ผมกำลังแข่งขันอยู่ในรอบรองชนะเลิศในวันนี้ครับ."

"Oh that*s all right," I said. "I baked you some cookies..."

" โอ้ ไม่เป็นไรเลยค่ะ, " ฉันกล่าวตอบ. " ดิฉันได้อบคุกกี้มาให้....... "

"Great!" he interrupted, snatching the box. "Just what I need for bridge club tomorrow! Thanks so much!" I continued, "...and just thought we*d visit a while. But that*s okay! I*ll just trot across the street and call on Granny Grady."

" ดีจังครับ! " เขาได้กล่าวขัดจังหวะขึ้นมา, โดยคว้ากล่องคุกกี้ออกไป. " เป็นสิ่งที่ผมกำลังต้องการอยู่พอดี เพื่อเอาไปทานที่สโมสรเล่นไพ่บริดจ์พรุ่งนี้ครับ! ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งทีเดียวครับ! " ฉันก็เลยพูดต่อไป, "...ดิฉันเพียงแต่คิดว่าเราอาจจะอยู่คุยด้วยกันได้สักชั่วขณะหนึ่ง. แต่ไม่เป็นไรค่ะ! ฉันก็จะเพียงแต่เดินเหยาะๆ ข้ามถนนและไปเยี่ยมหาคุณย่าเกรดี้แกสักหน่อย."

"Don*t bother," he said. "Gran*s not home; I know. I just called to remind her of our date to go dancing tonight. She may be at the beauty shop. She mentioned at breakfast (at which house??!) that she had an appointment for a tint job."

"อย่าไปลำบากเลยครับ, " เขากล่าวขึ้น. " คุณย่าแกไม่ได้อยู่บ้านตอนนี้; ผมรู้ครับ. ผมเพิ่งจะโทรศัพท์ไปเตือนย้ำแกกับเรื่องการออกเดทกัน เพื่อจะไปเต้นรำด้วยกันในคืนนี้ครับ. เธออาจจะอยู่ที่ร้านเสริมสวยในตอนนี้ก็ได้นะครับ. เห็นเธอได้เอ่ยขึ้นมาเมื่อตอนทานอาหารเช้า (ที่บ้านใครเนี่ย ????!) ว่าเธอมีนัดสำหรับทำการย้อมสีเส้นผมน่ะครับ."

So I went home and called my Mother*s cousin (age 83); she was in the hospital ... working in the gift shop.

ดังนั้น ฉันก็เลยกลับมาที่บ้านและได้โทรศัพท์ไปหาญาติของแม่ฉัน (อายุ 83 ปี); ปรากฎว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล ….. ทำงานอยู่ในร้านขายของชำร่วยที่นั่น.

I called my aunt (age 74)... but she was on vacation in China.

ฉันก็โทรศัพท์ไปหาคุณน้าฉัน (อายุ 74 ปี)... แต่ทว่าเธอกำลังพักร้อนท่องเที่ยวอยู่ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่.

I called my husband*s uncle (age 79). I forgot... he was on his honeymoon.

ฉันก็โทรศัพท์ไปหาคุณอาของสามีฉัน (อายุ 79 ปี). ฉันลืมไปว่า... เขากำลังอยู่ในระหว่างการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์.

So now I dread old age more than ever...I just don*t think I*m up to it.

ดังนั้น ในตอนนี้ ฉันก็ยิ่งเห็นถึงความร้ายการต่อความเป็นผู้สูงอายุ มากกว่าแต่ก่อนเสียอีก.... ฉันไม่คิดว่าฉันจะเผชิญหน้ากับมันได้.

This is to remind that it*s not the years in your life that counts...it*s the life in your years!

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจว่า ไม่ใช่จำนวนปีของคุณในชีวิตที่มีความสำคัญ... แต่เป็นชีวิตที่คุณใช้อยู่ในแต่ละปีของคุณนั่นแหละที่สำคัญยิ่งกว่า!


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 28
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:44:41   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"A Special Grocery List" รายการจ่ายกับข้าวอย่างพิเศษ
Louise Redden, a poorly dressed lady with a look of defeat on her face, walked into a grocery store. She approached the owner of the store in a most humble manner and asked if he would let her charge a few groceries. She softly explained that her husband was very ill and unable to work, they had seven children and they needed food.
หลุยส์ เรดเด้น, เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างโทรมคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อดูจากใบหน้าแล้ว ก็เหมือนกับปราศจากความหวังใดๆ ต่อชีวิต, ได้เดินเข้ามาในร้านขายของเบ็ดเตล็ด. เธอมุ่งตรงเข้ามาหาเจ้าของร้านในลักษณะท่าทางที่เป็นสมถะอย่างมากที่สุด และเธอได้ถามเขาว่า เขาสามารถจะอนุญาติให้เธอ ติดหนี้สำหรับข้าวของในร้านสักสองสามอย่างได้หรือไม่. เธอได้อธิบายอย่างสุภาพว่า สามีของเธอนั้น ขณะนี้ได้เจ็บป่วยเป็นอย่างมากและไม่สามารถที่จะทำงานต่อไปได้, ครอบครัวเธอมีลูกอยู่เจ็ดคนและเขาเหล่านั้นต้องการอาหารเพื่อแก้ความหิวโหย.
John Longhouse, the grocer, scoffed at her and requested that she leave his store at once. Visualizing the family needs, she said: "Please, sir! I will bring you the money just as soon as I can." John told her he could not give her credit, since she did not have a charge account at his store.
จอห์น ลองเฮ้าส์, ผู้เป็นเจ้าของร้าน, ได้พูดเยาะเย้ยกับเธอ และขอร้องให้เธอออกไปจากร้านของเขาโดยทันที. จากการพิจารณาไตร่ตรองถึงความต้องการของครอบครัว, เธอได้กล่าวว่า: "กรุณาเถิด, ท่าน! ฉันจะนำเงินกลับมาจ่ายให้คุณอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ฉันสามารถจะกระทำได้." จอห์นได้กล่าวตอบกับเธอว่า เขาไม่สามารถให้สินเชื่อกับเธอได้, เพราะว่าเธอไม่มีบัญชีสินเชื่อกับร้านของเขา.
Standing beside the counter was a customer who overheard the conversation between the two. The customer walked forward and told the grocer that he would stand good for whatever she needed for her family.
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ กับเค้าท์เตอร์ ก็คือลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญได้ยินคำสนทนาระหว่างบุคคลทั้งสอง. ลูกค้าคนนี้ก็ได้เดินหน้าเข้ามาและได้บอกกับเจ้าของร้านว่า เขาขอยื่นความช่วยเหลือให้อย่างดีกับสิ่งของอะไรก็ตามที่เธอต้องการสำหรับครอบครัวของเธอ.
The grocer said in a very reluctant voice, "Do you have a grocery list?" Louise replied, "Yes sir." "O.K" he said, "Put your grocery list on the scales and whatever your grocery list weighs, I will give you that amount in groceries."
เจ้าของร้านก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังอย่างไม่เต็มใจนักต่อหลุยส์ว่า, "คุณมีรายการจ่ายกับข้าวที่ต้องการหรือเปล่าล่ะ?" หลุยส์ได้ตอบว่า, "มีค่ะ ท่าน." "ตกลง" เขากล่าวขึ้น, "เอารายการของคุณนั้น มาวางไว้บนตราชั่งนี้ และ ไม่ว่าบัญชีรายการกับข้าวสิ่งของจะหนักมากน้อยแค่ไหน, ฉันจะให้ข้าวของจำนวนที่เท่ากับน้ำหนักซึ่งปรากฎให้เห็นมากน้อยแค่นั้น."

Louise, hesitated a moment with a bowed head, then she reached into her purse and took out a piece of paper and scribbled something on it. She then laid the piece of paper on the scale carefully with her head still bowed. The eyes of the grocer and the customer showed amazement when the scales went down and stayed down.
หลุยส์, ยังลังเลอึกอักใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่ศีรษะของเธอได้ก้มลงอยู่, จากนั้น เธอก็ได้เอามือล้วงเข้าไปในยังกระเป๋าถือของเธอและนำเอาแผ่นกระดาษชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมา และได้เขียนตัวหนังสือหวัดๆ นิดหน่อยลงไปบนนั้น. หลังจากนั้น เธอก็ได้นำเอาแผ่นกระดาษชิ้นเล็กๆ นั้น มาวางบนตราชั่งอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ ศีรษะของเธอก็ยังก้มหน้าอยู่. ลูกตาของเจ้าของร้านและลูกค้าได้เบิกโต แสดงถึงความประหลาดใจที่เห็นตราชั่งนั้นได้เริ่มตกลงมา และ ก็ยังตกลงมา เหมือนมีสิ่งของซึ่งมีน้ำหนักอะไรบางอย่างวางถ่วงอยู่ในตราชั่งฝั่งนั้น.
The grocer, staring at the scales, turned slowly to the customer and said begrudgingly, "I can*t believe it." The customer smiled and the grocer started putting the groceries on the other side of the scales. The scale did not balance so he continued to put more and more groceries on them until the scales would hold no more. The grocer stood there in utter disgust.
เจ้าของร้าน, ยังจ้องมองตราชั่งอย่างไม่กระพริบตา, หันหน้ามามองกับลูกค้าอย่างช้าๆ และได้กล่าวอย่างน่าอิจฉาปนกับความฉงนสนเท่ห์ว่า, "ฉันไม่สามารถเชื่อในสายตาของตัวฉันเองเลย." ลูกค้าผู้นั้นก็ยิ้มและเจ้าของร้านก็เริ่มนำเอาสิ่งของข้าวของต่างๆ มาวางไว้บนตราชั่งอีกฝั่งหนึ่ง. ตราชั่งนั้นก็ยังไม่เขยื้อนให้เกิดความสมดุลอยู่อีก ดังนั้น เขาก็ยังนำเอาสิ่งของหลายอย่างจากร้านมาวางถ่วงบนตราชั่งนั้นต่อไป จนกระทั่งไม่มีที่เหลือให้วางได้อีกแล้ว. เจ้าของร้านก็ยังยืนอยู่และเปล่งเสียงให้ทราบด้วยความไม่สบอารมณ์.
Finally, he grabbed the piece of paper from the scales and looked at it with greater amazement. It was not a grocery list, it was a prayer, which said: "Dear Lord, you know my needs and I am leaving this in your hands."
ในท้ายที่สุด, เขาก็คว้ากระดาษชิ้นนั้นออกมาจากตราชั่งและมองดูมันด้วยความสนเท่ห์อย่างน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง. มันไม่ใช่รายการจ่ายกับข้าวแต่เพียงอย่างใด, แต่ว่ามันเป็นเพียงข้อความภาวนาอธิษฐาน, ซึ่งได้เขียนไว้ว่า: "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, ท่านทรงรู้ถึงความต้องการของฉัน และฉันก็ขอมอบชีวิตของฉันไว้ในกระดาษแผ่นนี้ ให้อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน."
The grocer gave her the groceries that he had gathered and stood in stunned silence. Louise thanked him and left the store. The other customer handed a fifty-dollar bill to the grocer and said; "It was worth every penny of it… Only God Knows how much a prayer weighs."
เจ้าของร้านให้ข้าวของทุกอย่างซึ่งเขาได้รวบรวมอยู่บนตราชั่ง เข้ามาไว้กับเธอ และยังคงยืนตะลึงงันอยู่อย่างเงียบๆ. หลุยส์ได้กล่าวขอบคุณกับเขาและเดินออกไปจากร้าน. ลูกค้าคนนั้นก็ได้นำเอาธนบัตรราคา ห้าสิบเหรียญสหรัฐมาให้กับเจ้าของร้าน และได้กล่าวว่า; "มันเป็นเรื่องที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์... พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบว่า การอธิษฐานสวดมนต์ภาวนานั้น มีน้ำหนักอย่างมากมายขนาดไหน."
This is to say to be careful what you pray for…you might just get it!
เรื่องนี้เป็นการกล่าวว่า ขอให้ท่านควรระมัดระวัง ต่อการสวดมนต์ขอพรอธิษฐานต่างๆ ของท่านเอาไว้... เพราะว่า ท่านอาจจะได้รับสิ่งเหล่านั้น กลับมาเป็นจริงตามที่ท่านได้ขอไว้ก็ได้!


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 29
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:46:01   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Flashlight in Your Own Back Yard". แสงไฟฉายจากข้างหลังบ้านของเราเอง

"Inside yourself or outside, you never have to change what you see, only the way you see it".
- Thaddeus Golas


"จากภายในหรือภายนอกตัวคุณเอง, คุณไม่ต้องเปลี่ยนสิ่งที่คุณได้มองเห็นเลย, เพียงแต่มองเห็นมันด้วยอีกวิถีทางหนึ่งเท่านั้นเอง."

-แทดเดียส โกลาส


I went to see my father in the hospital about a week before he died. He had suffered for years with heart problems and was hooked up to constant oxygen and failing fast. Every breath was a labored struggle and his 6 foot 2 frame had withered down to 130 pounds because eating was so difficult. I asked him whether the quality of his life was worth all the effort. "I still enjoy being alive", he responded. "Sometimes it*s easier to breathe and then I really enjoy just quietly taking a breath. I still enjoy doing crossword puzzles in the newspaper and watching the ball games on TV. My lilfe is good!" Even though he was a respected Medical Specialist, who was widowed from the love of his life, away from the work he was passionate about, and had survived the war in Siberia, he had not one word to say about all that he had lost..all that he would never do again.

ฉันได้ไปเยี่ยมคุณพ่อของฉันที่โรงพยาบาล ประมาณอาทิตย์หนึ่งก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรม. ท่านเป็นทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานในเรื่องปัญหาทางโรคหัวใจ และได้ถูกติดอยู่กับถังออกซิเจนและอาการของท่านก็ได้ล้มเหลวลงอย่างรวดเร็ว. ท่านได้หายใจทุกๆ เฮือก ด้วยความดิ้นรนพยายามอย่างยากลำบาก และ ลำตัวของร่างกายที่สูง 6 ฟุต 2 นิ้ว (188 เซ็นติเมตร)ได้แห้งเxxx่ยว น้ำหนักลดลงมาเหลืออยู่เพียง 130 ปอนด์ (59 กิโลกรัม) เพราะว่า ท่านมีความทุกข์ยากต่อการรับประทานอาหาร. ฉันถามมาท่านว่า คุณภาพของชีวิตท่านนั้นมันเป็นเรื่องที่คุ้มค่าต่อความพยายามทั้งหมดของเขาหรือไม่. "ฉันมีความยินดี ที่ยังคงมีชีวิตรอดอยู่ได้" , ท่านได้ตอบกลับมา. " บางครั้ง มันก็ยังหายใจได้ง่ายกว่า และจากนั้น ฉันก็ยังมีความยินดีอย่างแท้จริงเพียงที่จะ หายใจเองอยู่อย่างเงียบๆ. ฉันก็ยังเพลิดเพลินต่อการเล่นปริศนาอักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์และดูเกมส์กีฬาต่างๆ ในโทรทัศน์. ชีวิตฉันนั้น เป็นเรื่องที่ยังดีอยู่! " ถึงแม้ว่า ท่านจะเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์, เป็นพ่อม่ายจากการเสียชีวิตของคนที่เขารักอย่างมากที่สุด, และต้องออกมาจากการงานซึ่งเขารักเป็นชีวิตจิตใจ, และได้รอดชีวิตจากสงครามในไซบีเรีย, ท่านก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงคำหนึ่งคำใดในเรื่องทั้งหมดที่ท่านได้สูญเสียไป... ทั้งหมดที่ท่านได้กล่าวนั้นก็คือ ท่านจะไม่กระทำมันอีกเป็นอันขาด.

One of the greatest gifts he gave me was the ability to see difficult situations from a new perspective. "Gratitude is like a flashlight. If you go out in your back yard at night and turn on a flashlight, you suddenly can see what*s there. It was always there, but you couldn*t see it in the dark.

ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งพ่อได้มอบให้กับฉัน คือความสามารถที่จะเห็นสถานการณ์อันยากลำบาก จากแง่มุมทัศนคติอย่างใหม่. "ความกตัญญูรู้สึกบุญคุณ มันก็เหมือนกับแสงไฟฉาย. เมื่อเราได้เดินออกไปข้างหลังบ้านในตอนกลางคืนและเปิดไฟฉาย, ในทันทีทันใดนั้น เราก็สามารถเห็นว่าอะไรอยู่ตรงไหน. สิ่งของเหล่านั้น ก็จะยังคงอยู่ที่นั่นโดยเสมอ, แต่เราไม่สามารถจะเห็นมันได้ในที่มืดสนิทเท่านั้นเอง.

Exactly! Gratitude lights up what is already there. You don*t necessarily have anything more or different, but suddenly you can actually see what it is. And because you can see, you no longer take it for granted. You*re just standing in your yard, but suddenly you realize, Oh, there*s the first flower of spring struggling to emerge from the snow; Oh, there*s a deer emerging from the scrub brush; Oh, there*s the measuring cup you*ve been looking for that your daughter was using to make mud pies. It*s just your ordinary old back yard, but suddenly you are filled with happiness, thankfulness, and joy.

ใช่จริงๆ ด้วย! ความกตัญญูรู้คุณ ส่องแสงสว่างให้เห็นว่า สิ่งใดบ้างได้อยู่ที่นั่นแล้ว. ไม่จำเป็นเลยที่คุณจะมีเรื่องใดๆ ที่มากกว่าหรือแตกต่างกว่า, แต่ในทันทีทันใดนั้นเอง คุณก็สามารถเห็นได้อย่างถ่องแท้ว่ามันคืออะไรกัน. และเพราะว่าคุณสามารถเห็นได้, คุณก็เลิกการทึกทักหรือคาดคะเนเดาเอา. คุณเพียงแต่ยืนอยู่ที่หลังบ้านของคุณเอง, แต่ในทันทีทันใดนั้น คุณก็ได้ตระหนักรู้ว่า, อ้อ, นั่นก็คือดอกไม้แรกแย้มของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งกำลังต่อสู้ดิ้นรนให้โผล่ขึ้นมาจากปุยหิมะ; อ้อ, นั่นก็คือ กวางตัวหนึ่งซึ่งโผล่ออกมาให้เห็นจากพุ่มไม้เล็กๆ เตี้ยๆ; อ้อ, นั่นก็คือถ้วยตวงที่ คุณได้พยายามค้นหาอยู่ตั้งนาน เพื่อที่ลูกสาวของคุณจะได้ใช้ในการทำขนมพายสีน้ำตาล. มันเป็นเพียงข้างหลังบ้านเก่าๆ ธรรมดาของคุณนั่นเอง, แต่ในทันทีทันใดนั้น จิตใจคุณก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข, ความขอบคุณ, และความร่าเริงปิติยินดี.

That*s what my father did. Shining the light of gratitude on his life, he saw what was there that was good.

นั่นแหละ เป็นสิ่งที่คุณพ่อของฉันได้กระทำ. ส่องแสงของความกตัญญูรู้สึกขอบคุณ ให้สว่างไสวไปทั่วทั้งชีวิตของท่าน, ท่านก็ได้เห็นว่า อะไรที่อยู่ที่นั่น ที่ยังเป็นสิ่งดีงาม.

The great thing about the flashlight of gratitude is that you can use it day or night, no matter where you are or what your circumstances. It works whether we are young or old, fat or thin, rich or poor, sick or well. All we need to do is turn it on.

สิ่งที่ดีเยี่ยมในเรื่องแสงไฟฉายของความกตัญญูรู้คุณ คือว่า ตัวเรานั้น สามารถนำเอาไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือเวลากลางคืน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือว่าอยู่ในสถานการณ์ใดๆ. มันสามารถใช้ได้ ไม่ว่าเราจะมีอายุน้อยหรือแก่ชราภาพ, อ้วนหรือผอม, ร่ำรวยหรือยากจน, อ่อนแอเจ็บป่วยอยู่หรือยังมีสุขภาพที่ดี. สิ่งที่เราต้องการกระทำทั้งหมดก็คือเพียงแต่ เปิดให้มันสว่างไสวขึ้นเท่านั้นเอง.

What it takes to turn it on varies from person to person. There was a renowned surgeon at a week-long workshop who, when asked what surprised or inspired him that week, said, "Nothing." He was invested in being cynical. But something disturbed him; he knew he had "flunked" the test the workshop leader presented - and he was the kind of guy who always ended up at the top of the class. So he began to look around for things to report to the leader. By week*s end, he was genuinely engaged in the excitement and wonder of life again. Even the other workshop participants noticed the difference.

การที่จะทำอย่างไร ถึงจะเปิดไฟฉายให้สว่างขึ้นได้นั้น แตกต่างอยู่กับแต่ตัวบุคคล. มีนายแพทย์ผ่าตัดผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ที่ได้เข้ามาร่วมประชุมปฎิบัติงานทั้งตลอดสัปดาห์ ซึ่งเป็นผู้ที่, เมื่อถูกถามขึ้นว่า มีอะไรบ้างที่ทำความประหลาดใจและทำความดลบันดาลใจให้กับเขาได้ในสัปดาห์นั้น, ได้กล่าวขึ้นว่า, " ไม่มีอะไรเลยครับ." เขาได้ถูกตั้งฉายาว่าเป็นผู้เยาะเย้ยถากถาง. แต่มีบางสิ่งบางอย่างได้รบกวนจิตใจเขา; เขาทราบดี เพราะว่าเขา "สอบไม่ผ่าน" การทดสอบ จากการประชุมปฎิบัติงานซึ่งผู้นำของกลุ่มได้แสดงให้เห็น --- และเขาก็คือบุคคลประเภทหนึ่งซึ่ง ในตอนสุดท้ายแล้ว จะอยู่ในบรรดาคนเก่งสุดยอดของห้องเรียนโดยเสมอ. ดังนั้น เขาก็เริ่มมองรอบๆ ตัวของเขา ต่อเรื่องหลายๆ อย่างๆ ที่จะต้องไปรายงานต่อผู้นำของกลุ่ม. เมื่อปลายสัปดาห์ได้มาถึง, และเขาก็ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ในความตื่นเต้นและความพิศวงของชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง. แม้กระทั่งผู้ร่วมงานการประชุมปฎิบัติงานท่านอื่นๆ ก็ยังได้สังเกตุเห็นความแตกต่างของเขา.

This is to remind that a little "light" goes a long way.

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจให้ทราบว่า "แสงสว่าง" เพียงเล็กน้อย ก็สามารถส่องไปได้ เป็นระยะยาวนานแสนไกล.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 30
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:47:53   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Gratitude Draws People to Us. "ความกตัญญูรู้คุณ ดึงดูดผู้คนมาหาเรา

"Sometimes I go about with pity for myself and all the great white winds are carrying me across the sky". - Ojibway Saying

"บางครั้ง ฉันได้เริ่มทำความเวทนาให้กับตัวเอง และหวังว่าลมพายุที่แรงกล้า จะพัดพา ส่งฉันข้ามฟากฟ้า ออกไปให้ไกลได้". - เป็นสุภาษิตของบุคคลในเผ่าโอจิบเว่ (อินเดียนแดง)

I have a friend who can*t seem to find one good thing about her life. She complains constantly about her job, her co-workers, and her relationships with men. She puts herself down a good bit, too. It does no good whatsoever for me to point out all the good things that I see in her life. It just starts another round of "Poor Me." After I spend an afternoon with her, I feel cranky, depressed, and frankly, bored to the point that I try to avoid getting together with her.

ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ดูเสมือนว่าไม่สามารถพบสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวเธอได้เลย แม้แต่อย่างเดียว. เธอได้บ่นอยู่เสมอเกี่ยวกับการงานของเธอ, เพื่อนร่วมงานของเธอ, และความสัมพันธ์ของเธอกับผู้ชายต่างๆ หลายคน. เรื่องเหล่านี้ ก็ทำให้อารมณ์ของเธอ ตกอยู่ในความเศร้าอย่างพอสมควรทีเดียว. ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวฉันเลย ที่จะชี้ให้เห็นถึงเรื่องดีๆ ที่ฉันได้เห็นในชีวิตของเธอ. มันเป็นเพียงแต่เริ่มการสนทนาอีกรอบหนึ่งในเรื่อง "ฉันคือผู้ที่น่าสังเวชอะไรเช่นนี้." หลังจากที่ใช้เวลาของตอนกลางวันในวันหนึ่งอยู่กับเธอ, ฉันมีความรู้สึกประหลาดฉุนเฉียว, หดหู่เศร้าใจ, และเมื่อพูดตามตรงแล้ว, ก็มีความระอาที่ชี้ให้ทราบว่า ฉันพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนด้วยกับเธอ.

The opposite is true about my friend Randi. She wasn*t born into a wealthy family. She has raised a son by herself, put herself through college, and has taken care of aged and ill relatives. But she is cheerful and upbeat most of the time, and I love being around her, because when we*re together, life seems easy and joyful.

เรื่องตรงกันข้ามนั้น เป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวกับเพื่อนของฉันซึ่งชื่อว่า แรนดี้. เธอไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่ง. เธอได้เลี้ยงดูลูกชายคนเดียวโดยตนเอง, และต่อสู้ด้วยตนเองจนผ่านการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย, และเธอก็ได้เลี้ยงดูรักษาญาติพี่น้องที่สูงอายุและที่เจ็บป่วยของเธออยู่. แต่ทว่า เธอมีความสดชื่นร่าเริงและมองโลกในแง่ดีในตลอดเวลาเกือบทั้งหมด, และฉันก็รักที่จะอยู่ใกล้ๆ กับเธอ, เพราะว่า เมื่อเราไปไหนมาไหนด้วยกัน, ชีวิตนั้นดูเหมือนว่า เป็นแบบเรียบง่ายและเต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบาน.

Recently, I made the observation that she had a great career and seemed to be appreciated by her boss and company. She replied, "Oh, yes! I absolutely love my job and I*m lucky to have it. Every morning when I drive to work, I grab the steering wheel and thank God for my job. For the job that paid for this nice car that I wouldn*t have otherwise, for the nice people I work with in a beautiful office and for a boss that treats me and everyone else well. I*m absolutely grateful for what I have and make a point to give thanks on my way to work. It grounds me and starts off my day on a positive note that carries me along on wings!"

ไม่นานมานี้, ฉันได้สังเกตุเห็นว่า เธอมีอาชีพการงานที่ดีและดูเสมือนว่าเธอได้รับความยกย่องและเห็นคุณค่าจากเจ้านายและบริษัทของเธอ. เธอได้กล่าวตอบว่า, " อ้อ, ใช่แล้ว! ฉันรักหน้าที่การงานของฉันอย่างไม่มีเงื่อนไขและฉันก็โชคดีอย่างมากที่ยังมีมันอยู่. ทุกๆ ตอนเช้า เมื่อฉันขับรถมาทำงาน, ฉันจะยึดจับพวงมาลัยรถและขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อการงานของฉัน. เพื่ออาชีพการงานซึ่งทำให้ฉันมีเงินมาซื้อรถที่ดีคันนี้ได้ ซึ่งถ้าไม่อย่างนั้น ก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย, เพื่อผู้ร่วมงานที่ดี ซึ่งฉันได้มีโอกาสทำงานร่วมกันในสำนักงานที่งดงามยอดเยี่ยมแห่งนี้ และ เพื่อเจ้านายของฉัน ซึ่งปฎิบัติต่อฉันและทุกๆ คน ได้เป็นอย่างดีด้วย. ฉันมีความสำนึกในบุญคุณอย่างไม่มีข้อจำกัด ต่อสิ่งที่ฉันมีอยู่ และได้กระทำ บ่งชี้ให้เห็นเพื่อจะให้การขอบคุณต่อเรื่องเหล่านี้ ในขณะที่ฉันกำลังเดินทางไปทำงาน. มันสร้างรากฐานให้กับฉันและทำให้ฉันเริ่มวันใหม่นั้น ด้วยเรื่องต่างๆ ในแง่ดี ซึ่งให้กำลังใจมีความสุขต่อตัวฉันตลอด เหมือนติดปีกบินเลย!"

I am convinced that it is Randi*s sense of gratitude that gives her such an upbeat attitude. It*s also why, I believe, she has more friends than anyone else I know. For when we are grateful, we exude happiness and that makes us magnets that attract other people toward us. They want to be around that exuberant energy.

ฉันได้เชื่อมั่นว่า เป็นความรู้สึกต่อความกตัญญูรู้คุณของแรนดี้นั่นเอง ที่ได้ให้ทัศนคตินิสัยที่มองโลกในแง่ดีอย่างนั้น. ยังเป็นเรื่องด้วยที่ว่าทำไม, ฉันเชื่ออย่างนี้, แรนดี้ถึงมีเพื่อนมากกว่าทุกๆ คนที่ฉันได้รู้จักมา. เพราะว่าเมื่อเรามีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ, เราให้ความสุขนั้นได้ไหลซึมออกมา และทำให้ตัวเรานั้น เป็นเสมือนกับแม่เหล็กซึ่งดึงดูดความสนใจบุคคลอื่นๆ ให้เขามาหาตัวเรา. พวกเขาต้องการที่จะอยู่รอบๆ กับพลังที่มีชีวิตชีวาร่าเริ่งเบิกบาน.


This is to remind that gratitude not only draws people to us, but it helps us keep those who are in our sphere. When we see the glass as half-full, rather than half-empty, we notice what is THERE rather than what is NOT. When we realize what*s there, we get out of our self-absorption and realize that there ARE people around us, many of whom have done wonderful things for us. And when we express our gratitude for their presence in our lives, it*s more likely that those people will want to continue to be around us.

เรื่องนี้เป็นการเตือนให้ทราบว่า ความกตัญญูรู้คุณนั้น ไม่เพียงแต่นำผู้คนเข้ามาหาเราเท่านั้น, แต่ยังได้ช่วยเรารักษาผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของเราด้วย. เมื่อเราเห็นแก้วน้ำ ซึ่งเป็นครึ่งแก้วเต็ม, แทนที่จะเป็นครึ่งแก้วเปล่า, เราจะสังเกตุเห็นได้ว่า สิ่งใดที่ อยู่ที่นั่น แทนที่จะเป็นว่า ไม่ได้อยู่ที่นั่น. เมื่อเราได้ทราบว่าอะไรได้อยู่ที่นั่นแล้ว เราก็ขจัดเอาสิ่งที่เราหมกมุ่นอยู่กับตัวของเราเองออกไปและตระหนักรู้ว่า ยังคงมี บุคคลอีกหลากหลายที่อยู่รอบๆ ตัวเรา, ผู้คนเหล่านี้ได้กระทำสิ่งที่เลิศเลอดีงามหลายอย่างกับเรา. เมื่อเราได้แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณของเราต่อการที่พวกเขาได้เข้ามาอยู่ให้เห็นในชีวิตของพวกเราแล้ว, มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างอย่างมากว่าบุคคลเหล่านั้น ก็ยังคงต้องการที่จะอยู่รอบๆ ตัวเราโดยตลอดไปอีกด้วย.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 31
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:49:19   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Gratitude Opens Us To Moments of Grace" ความกตัญญูรู้คุณเปิดให้เราได้เห็นถึงคุณงามความดี.

An elderly Japanese neighbor of mine once described an experience he had walking alone in his garden. Suddenly "I felt a golden spirit sprang up from the ground...my body and mind turned into light. I was able to understand the whispering of the birds, and was clearly aware of the mind of God...the spirit of loving protection for all beings. Endless tears of joy streamed down my cheeks. Since that time, I have grown to feel that the whole earth is my house..."

เพื่อนบ้านซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นที่สูงอายุคนหนึ่งของฉัน ได้เคยอธิบายไว้ครั้งหนึ่ง ถึงประสบการณ์เมื่อเขาได้เดินอยู่แต่ผู้เดียวในสวนของเขา. ในทันทีทันใดนั้น "ฉันมีความรู้สึกเหมือนกับวิญญาณแห่งความรุ่งเรืองได้พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน... ร่างกายและจิตใจของฉันได้แปรเปลี่ยนรูปไปเป็นแสงสว่าง. ฉันสามารถเข้าใจเสียงกระซิบร้องของนกต่างๆ, และตระหนักรู้เป็นอย่างชัดแจ้งถึงความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า.....ซึ่งเป็นพระวิญญาณของความรักต่อการปกป้องให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล. น้ำตาแห่งความปิติยินดีก็ไหลลงมาอาบหน้าแก้มของฉัน. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา, ฉันก็ได้เริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นว่าโลกทั้งโลกนั้น คือตัวบ้านของฉัน.... "

Have you ever had an experience in which you slip out of ordinary space and time and tap into the flow of the universe, where there is no separation between you and everything else and where everything feels perfectly right just as it is? Some people find such moments of transcendence through meditation, others in nature, still others when making love. As a young child, I often experienced such moments in the early spring trampling alone in the icy stream near my house.

คุณเคยมีประสบการณ์ในเรื่องที่ว่า คุณได้เคลื่อนออกไปจากสถานที่และเวลาตามปรกติ และได้ถูกนำเข้าไปอยู่บนกระแสของความเคลื่อนไหวในจักรวาล, ซึ่งไม่มีการแยกระหว่างตัวคุณกับทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ได้ให้ความรู้สึกที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกับที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่า? ผู้คนบางคนได้พบกับช่วงเวลาที่เหนือธรรมชาตินี้ จากการปฎิบัติทำสมาธิ, ผู้คนอื่นๆ ก็พบในขณะที่อยู่ภายใต้ธรรมชาติ, และบางคน ก็ยังได้พบในขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์. เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่, ฉันได้ประสบกับช่วงเวลาแบบนี้บ่อยครั้ง ในตอนต้นของฤดูใบไม้ผลิ จากการเดินเหยียบย่ำอยู่คนเดียวบนลำธารน้ำซึ่งยังเป็นน้ำแข็งอยู่ใกล้ๆ บ้านของฉัน.

Such moments are rare gifts, in which we open to an expansive, ecstatic state of Big Mind, the place where all is right with us and the world. These moments of grace are so rare and so wonderful that many spiritual seekers spend a lifetime trying to experience them. And the desire to feel such expansiveness is often the impetus for taking mind-altering drugs.

เวลาชั่วครู่เหล่านี้ เป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก, ซึ่งเราได้เปิดสภาพของจิตใจอันยิ่งใหญ่ ให้ขยายกว้างและก่อให้เกิดความปลาบปลื้มอย่างเหลือล้น, เป็นสถานที่ที่สิ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกต้องกับเราและกับทั้งโลก. เวลาชั่วขณะของคุณงามความดีเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักและเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมที่ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณหลายท่าน ได้ใช้เวลาตลอดชีวิตต่อการพยายามที่จะมีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้. และความปรารถนาที่จะรู้สึกถึงความเบิกบานใจแบบนี้ มีบ่อยครั้งที่เป็นแรงกระตุ้นให้ไปใช้ยาเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ.

I*m convinced that you don*t have to meditate for years on a mountaintop or take LSD to experience such transcendence. All you have to do is tap into the fullness of a sense of gratitude, and grace will likely descend.

ฉันเชื่อมั่นว่า คุณไม่ต้องไปทำสมาธิเป็นปีๆ อยู่บนยอดเขาหรือใช้สารเสพติด แอลเอสดี เพื่อที่จะประสบกับความเพ้อฝัน. สื่งทั้งหมดที่คุณควรกระทำก็คือเข้าไปอยู่ในความรู้สึกสำนึกกตัญญูรู้คุณอย่างเต็มเปี่ยม, และคุณงามความดีก็มีแนวโน้มที่จะสืบตามมาในตอนหลัง.

This is to say that we can*t force or demand such magical mystical experiences. But we can offer ourselves up as willing and worthy participants by reveling in the wonders that we are already experiencing. Through gratitude, our souls, in Emily xxxinson*s words, "always stand ajar; ready to welcome the ecstatic experience."

เรื่องนี้กล่าวให้ทราบว่า เราไม่สามารถบังคับหรือเรียกร้องให้เกิดประสบการณ์ที่วิเศษลี้ลับเหล่านี้ได้. แต่เราสามารถอุทิศตัวเราเองให้เป็นผู้มีส่วนเข้าร่วมอย่างเต็มใจและมีคุณค่าโดยการให้ความเพลิดเพลินสำราญกับความประหลาดใจในสิ่งที่เราได้ประสบมาแล้ว. โดยการผ่านความกตัญญูรู้คุณ, จิตวิญญาณของเราก็เสมือนได้, ในคำกล่าวของเอเมอรี่ ดิ๊กคินสันว่า "เปิดประตูให้แง้มไว้อยู่เสมอ; เพื่อจะได้พร้อมต่อการต้อนรับกับประสบการณ์ที่มีความปลาบปลื้มอย่างเหลือล้น."



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 32
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:50:43   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Take My Son" เลือกเอาลูกชายของฉันไปด้วย

A wealthy man and his son loved to collect rare works of art. They had everything in their collection, from Picasso to Raphael. They would often sit together and admire the great works of art.

ชายซึ่งมีฐานะร่ำรวยคนหนึ่งและลูกชายของเขาชื่นชอบต่อการสะสมงานทางศิลปะที่หายาก. เขาทั้งสองมีทุกๆ อย่างจากงานศิลปะที่สะสมไว้, ตั้งแต่ปิคาสโซ่ไปจนถึงราฟาเอล. เขาทั้งสองชอบนั่งด้วยกันบ่อยๆ และชื่นชมกับงานศิลปะชิ้นเลิศทั้งหลายเหล่านี้.

When the Vietnam conflict broke out, the son went to war. He was very courageous and died in battle while rescuing another soldier. The father was notified and grieved deeply for his only son.

เมื่อความขัดแย้งของสงครามเวียดนามได้เกิดขึ้น, ลูกชายก็ได้ออกไปสู่สงคราม. เขามีความกล้าหาญอย่างเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่งและได้เสียชีวิตลงในการปะทะกันในขณะที่กำลังช่วยชีวิตนายทหารอีกคนหนึ่งอยู่. ผู้ที่เป็นพ่อได้รับการแจ้งเรื่องและมีความเศร้าโศกอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อลูกชายซึ่งเขามีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น.

About a month later, just before Christmas, there was a knock at the door. A young man stood at the door with a large package in his hands. He said, "Sir, you don*t know me, but I am the soldier for whom your son gave his life. He saved many lives that day, and he was carrying me to safety when a bullet struck him in the heart and he died instantly. He often talked about you, and your love for art." The young man held out this package. "I know this isn*t much. I*m not really a great artist, but I think your son would have wanted you to have this."

ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา, เพียงก่อนเทศกาลคริสต์มาสจะมาถึง, ก็มีเสียงเคาะอยู่ที่หน้าประตู. ชายหนุ่มผู้หนึ่งได้ยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับกล่องที่ห่ออยู่ชิ้นใหญ่อุ้มอยู่ในมือทั้งสองของเขา. เขาได้กล่าวขึ้นว่า, "ท่านครับ, ท่านไม่รู้จักผม, แต่ผมเป็นนายทหารซึ่งลูกชายของท่านได้สละชีวิตของเขาให้. เขาได้ช่วยชีวิตทหารหลายคนในวันนั้น, และเมื่อเขากำลังแบกตัวผมอยู่เพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยนั้น ลูกปืนลูกหนึ่งได้ยิงเข้ามาทะลุหัวใจของเขาและทำให้เขาได้เสียชีวิตลงโดยทันที. เขาได้พูดถึงท่านอยู่บ่อยครั้ง, และรวมไปถึงความชื่นชอบของทางศิลปะ." ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยื่นมือออกและมอบกล่องที่ห่ออยู่นั้นให้. "ผมทราบว่าสิ่งนี้มันไม่มีมูลค่ามากนัก. ผมไม่ใช่ศิลปินที่เก่งกาจอย่างจริงๆ อะไรนักหนา, แต่ผมคิดว่า ลูกชายของท่านต้องการให้ท่านได้รับสิ่งนี้ครับ."

The father opened the package. It was a portrait of his son, painted by the young man. He stared in awe at the way the soldier had captured the personality of his son in the painting. The father was so drawn to the eyes that his own eyes welled up with tears. He thanked the young man and offered to pay him for the picture. "Oh, no sir, I could never repay what your son did for me. It*s a gift."

ผู้เป็นพ่อได้เปิดกล่องที่ห่อไว้. มันเป็นรูปวาดของลูกชายเขา, ซึ่งวาดแต่งสีโดยชายหนุ่มผู้นี้. เขาจ้องมองอย่างน่าทึ่งต่อวิธีการของนายทหารผู้นี้ ได้จับความในรูปลักษณะสีหน้าความรู้สึกของลูกชายเขา ให้มาอยู่บนภาพวาดภาพนี้. ผู้เป็นพ่อได้ถูกดึงดูดต่อภาพที่เห็นนั้นเป็นอย่างมาก จนถึงกับว่า เบ้าตาของเขานั้นเองได้เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำตา. เขาได้กล่าวขอบคุณชายหนุ่มนั้น และได้เสนอที่จะจ่ายเงินให้เขาสำหรับรูปภาพนี้. " อ้อ, ไม่ได้ครับท่าน, ผมไม่สามารถที่จะตอบแทนสิ่งที่ลูกชายของท่านได้กระทำไว้กับตัวผมได้ครับ. สิ่งนี้ ผมขอมอบให้เป็นของขวัญครับ."

The father hung the portrait over his mantle. Every time visitors came to his home he took them to see the portrait of his son before he showed them any of the other great works he had collected.

ผู้ที่เป็นพ่อได้แขวนรูปภาพนี้ไว้ให้อยู่เหนือหิ้งเตาผิงใหญ่ของเขา. ทุกๆ ครั้งที่มีแขกมาเยี่ยมเยือนที่บ้านเขา เขาได้นำพวกแขกเหล่านั้นมาชมภาพวาดของลูกชายเขา ก่อนที่จะนำพวกเขาเหล่านั้นมาชมงานศิลปะชิ้นเอกอื่นๆ ที่เขาได้สะสมไว้.

The man died a few months later. There was to be a great auction of his paintings. Many influential people gathered, excited over seeing the great paintings and having an opportunity to purchase one for their collection.

ผู้ชายที่เป็นพ่อนั้น ก็ได้เสียชีวิตลงในเวลาสองสามเดือนต่อมาภายหลัง. ได้มีการขายทอดตลาดโดยการประมูลที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากต่อภาพเขียนที่เขาได้สะสมไว้. บุคคลที่มีอำนาจและมีชื่อเสียงหลายคนได้มาชุมนุมร่วมกัน, มีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ชมภาพเขียนชิ้นเอกและมีโอกาสที่จะซื้อภาพเขียนเหล่านั้น เพื่อมาเพิ่มการสะสมเป็นทรัพย์สินเพิ่มเติมของพวกเขาต่อไป.

On the platform sat the painting of the son. The auctioneer pounded his gavel "We will start the bidding with this picture of the son. Who will bid for this picture?"

บนแท่นเวที ก็มีรูปเขียนของลูกชายนั้นตั้งอยู่. ผู้กระทำการขายทอดตลาดได้เคาะค้อนเล็กที่ใช้ในการประมูล. "เราจะเริ่มการประมูลด้วยรูปภาพของลูกชายเจ้าของบ้านก่อน. ใครบ้างที่ต้องการประมูลภาพเขียนชิ้นนี้? "

There was silence. Then a voice in the back of the room shouted, "We want to see the famous paintings. Skip this one."

มีแต่ความเงียบสงัด. หลังจากนั้น ก็มีเสียงๆ หนึ่งมาจากข้างหลังของห้อง โดยการตะโกนขึ้นว่า, "เราต้องการจะเห็นภาพวาดชิ้นเอกซึ่งมีชื่อเสียง. เอาภาพเขียนชิ้นนี้ ข้ามออกไปเสียเหอะ."

But the auctioneer persisted. "Will somebody bid for this painting? Who will start the bidding? $100, $200?"

แต่ผู้กระทำการขายทอดตลาดก็ยังยืนกรานอยู่. "มีใครบ้างไหมที่ต้องการประมูลภาพชิ้นนี้? มีท่านผู้ใดที่จะเริ่มให้ราคาจากการประมูล? $100 เหรียญ, $200 เหรียญ? "

Another voice angrily. "We didn*t come to see this painting. We came to see the Van Goghs, the Rembrandts. Get on with the real bids!" But still the auctioneer continued. "The son! The son! Who*ll take the son?"

มีเสียงอีกเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ. "พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาดูภาพเขียนชิ้นนี้. เรามาเพื่อจะดู แวน โกห์, เรมบร้านท์. เริ่มประมูลด้วยของแท้เสียทีเหอะ! " แต่ผู้กระทำการขายทอดตลาดก็ยังคงพูดอยู่ต่อไป. "ภาพของลูกชาย! ภาพของลูกชาย! มีใครบ้างที่จะเลือกเอาภาพของลูกชายนี้บ้าง? "

Finally, a voice came from the very back of the room. It was the longtime gardener of the man and his son. "I*ll give $10 for the painting." Being a poor man, it was all he could afford.

ในท้ายที่สุด, ก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่ง แผ่วออกมาจากข้างหลังสุดของห้อง. เป็นเสียงของผู้ทำสวน ซึ่งทำงานอยู่กับเจ้าของบ้านและลูกชายของเขาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว. "ผมให้ได้ทั้งหมดแค่ $10 เหรียญสำหรับภาพเขียนชิ้นนี้ครับ." ด้วยความที่เป็นคนยากจน, เป็นสิ่งที่เขาสามารถที่จะสรรหาซื้อได้ทั้งหมดเพียงเท่านี้.

"We have $10, who will bid $20?" "Give it to him for $10. Let*s see the masters." "$10 is the bid, won*t someone bid $20?"

"เรามี $10 เหรียญแล้ว, ใครบ้างที่จะให้ราคาประมูล $20 เหรียญ?" "ให้มันไปกับเขาแค่ $10 เหรียญนั่นแหละ. ให้พวกเราเริ่มมาดูงานชิ้นเอกกันเสียทีนึง." "$10 เหรียญคือราคาประมูล, มีใครบ้างไหมที่จะให้ราคาประมูลเพิ่มเป็น $20 เหรียญบ้าง?"

The crowd was becoming angry. They didn*t want the picture of the son. They wanted the more worthy investments for their collections.

ผู้คนที่ชุมนุมกันอยู่ก็เริ่มมีความโกรธขึ้นมา. พวกเขาไม่ต้องการภาพวาดของตัวลูกชาย. พวกเขาต้องการสิ่งที่มีค่าสูงต่อการลงทุนในการสะสมศิลปะภาพวาดสำหรับพวกเขาเท่านั้น.

The auctioneer pounded the gavel. "Going once, twice, SOLD for $10!" A man sitting on the second row shouted, "Now let*s get on with the collection!" The auctioneer laid down his gavel. "I*m sorry, the auction is over." "What about the paintings?"

ผู้กระทำการขายทอดตลาดได้เคาะค้อนเล็กซึ่งใช้ในการประมูล. "เอาละ จะขายแล้วนะ หนึ่ง, สอง, เอ้า ขายแล้วนะ เป็นราคาทั้งหมด $10 เหรียญ!" ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในแถวที่สอง ได้ตะโกนขึ้นว่า, "เอาละ ตอนนี้ พวกเราก็เริ่มจัดการถึง สิ่งที่พวกเราต้องการสะสมกันเสียทีหนึ่ง! " ผู้กระทำการขายทอดตลาดได้วางค้อนเล็กลง. "ผมเสียใจด้วย, การขายทอดตลาดได้สิ้นสุดลงแล้ว." "แล้วจะทำอย่างไรกับรูปภาพชิ้นเอกเหล่านั้นล่ะ?"

"I am sorry. When I was called to conduct this auction, I was told of a secret stipulation in the will. I was not allowed to reveal that stipulation until this time. Only the painting of the son would be auctioned. Whoever bought that painting would inherit the entire estate, including the paintings. "

"ผมเสียใจด้วย. เมื่อผมได้ถูกเรียกมาจัดการเรื่องการขายทอดตลาดโดยการประมูลนั้น, ผมได้รับคำสั่งให้ทราบถึงเงื่อนไข ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นความลับ ซึ่งเขียนอยู่ในพินัยกรรม. ผมไม่ได้รับอนุญาติที่จะเปิดเผยให้ทราบถึงข้อกำหนดถึงเงื่อนไขเหล่านั้นได้ จนกระทั่งถึงในเวลานี้. รูปเขียนของลูกชายรูปเดียวเท่านั้น ที่จะถูกนำมาขายทอดตลาดในการประมูล. ผู้ใดก็ตามที่ซื้อรูปเขียนชิ้นนั้นจะได้รับมรดกทรัพย์สินที่ดินทั้งหมด, รวมไปถึงทั้งภาพเขียนชิ้นเอกเหล่านั้นด้วย."

The man who took the son gets everything. This is wishing you and your loved ones a Happy Valentines.

บุคคลผู้ที่รับตัวลูกชายไว้ ได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง. เรื่องนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณและบุคคลที่คุณรัก ได้มีความสุขสดชื่นในวันวาเลนไทน์แห่งความรักนี้.




 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 33
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 ก.พ. 2552  เวลา 00:51:22   IP :(70.238.148.138)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"The Tablecloth" ผ้าปูโต๊ะ

The brand new pastor and his wife, newly assigned to their first ministry to reopen a church in suburban Brooklyn, arrived in early October excited about their opportunities. When they saw their church, it was very run down and needed much work. They set a goal to have everything done in time to have their first service on Christmas Eve.

บาทหลวงใหม่เอี่ยมผู้หนึ่งและภรรยาของเขา, ซึ่งเพิ่งได้ถูกแต่งตั้งอย่างสดๆ ร้อนๆ เพื่อกระทำพันธกิจแรกของการเป็นผู้รับใช้ต่อพระผู้เป็นพระเจ้า ได้กระทำการเปิดโบสถ์ใหม่แห่งหนึ่งที่ชานเมืองของเมืองบรุ๊คลิน, ได้เดินทางมาถึงที่นั่นเมื่อต้นเดือนตุลาคม พร้อมกับความตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสที่ดีงามของพวกเขานี้. เมื่อเขาทั้งสองได้เห็นโบสถ์ของเขาแล้ว, ดูเหมือนว่าเป็นโบสถ์ที่ทรุดโทรมมากและต้องการการซ่อมแซมเป็นอย่างยิ่ง. เขาทั้งสองได้ตั้งจุดประสงค์ว่าจะทำทุกอย่างให้สำเร็จเสร็จสิ้นตามเวลา เพื่อจะให้พิธีกรรมทางศาสนาครั้งแรกนั้น ได้กระทำในวันก่อนวันทำพิธีการของวันคริสต์มาส.

They worked hard, repairing pews, plastering walls, painting, etc., and on December 18, were ahead of schedule and just about finished. On December 19 a terrible tempest - a driving rainstorm hit the area and lasted for two days. On the 21st, the pastor went over to the church.

เขาทั้งสองได้ทำงานเป็นอย่างหนัก, ซ่อมแซมม้านั่งยาว, โบกปูนฉาบฝาผนังกำแพง, ทาสีให้ดูใหม่, ฯลฯ และเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม, ก็ดำเนินงานเร็วก่อนถึงเวลาที่กำหนดไว้ และเพียงเกือบจะสำเร็จหมดแล้ว. ในวันที่ 19 ธันวาคม ก็ได้มีพายุลูกเห็บที่สยองขวัญ - ส่งผลให้เกิดน้ำฝนกระหน่ำอย่างรุนแรงในพื้นที่แถบนั้นและกว่าจะสิ้นสุดลง ก็เป็นเวลาสองวัน. ในวันที่ 21, บาทหลวงก็ได้ออกมาดูสภาพของโบสถ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง.

His heart sank when he saw that the roof had leaked, causing a large area of plaster about 20 feet by 8 feet to fall off the front wall of the sanctuary just behind the pulpit. The pastor cleaned up the mess on the floor, and not knowing what else to do but postpone the Christmas Eve service, headed home. On the way, he noticed that a local business was having a flea market-type sale for charity, so he stopped in. One of the items was a beautiful, handmade, ivory-colored, crocheted tablecloth with exquisite work, fine colors, and a Cross embroidered right in the center. It was just the right size to cover up the hole in the front wall. He bought it and headed back to the church.

หัวใจของเขาก็ตกลงไปถึงตาตุ่มทีเดียว เมื่อเขาได้เห็นหลังคาได้รั่วอยู่, ก่อให้ปูนที่ฉาบไว้ ซึ่งมีเนื้อที่ยาวกว้างประมาณ 20 ฟุต คูณ 8 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร คูณ 2.5 เมตร) ได้หล่นลงมาอยู่ที่กำแพงด้านหน้าของที่อยู่รอบบูชาภายในโบสถ์ ซึ่งอยู่หลังแท่นของการเทศนาธรรมาสน์. บาทหลวงได้ทำความสะอาดเก็บกวาดชิ้นส่วนปรักหักพังต่างๆ ที่อยู่บนพื้น, และไม่รู้ว่าจะกระทำอะไรต่อดี นอกจากจะต้องเลื่อนพิธีการทางศาสนาก่อนวันคริสต์มาสออกไปอีก, ก็เลยมุ่งหน้ากลับไปบ้าน. ระหว่างทางนั้น, เขาได้สังเกตุเห็นร้านธุรกิจแห่งหนึ่งในท้องถิ่นนั้น กำลังจัดการขายของเก่าแบบตลาดนัด เพื่อเป็นการกุศล, ดังนั้น เขาก็เลยหยุดแวะดูอยู่. สิ่งของชิ้นหนึ่งเป็นผ้าปูโต๊ะที่สวยมาก, ประดิษฐ์ด้วยมือ, มีสีเป็นงาช้าง, ถักด้วยไหมพรมด้วยฝีมือที่วิจิตรงดงามตระการตา, สีที่ดูสุภาพเรียบร้อย, และมีรูปของไม้กางเขนเย็บปักถักร้อยอยู่ตรงกลางอย่างพอดี. เป็นขนาดที่เหมาะพอดีกันอย่างเหลือเกิน เพื่อจะปกปิดรอยโหว่ในกำแพงด้านหน้า. เขาได้ซื้อมันและนำกลับไปยังตัวโบสถ์.

By this time, it had started to snow. An older woman, running from the opposite direction, was trying to catch the bus. She missed it. The pastor invited her to wait in the warm church for the next bus 45 minutes later. She sat in a pew and paid no attention to the pastor while he got a ladder, hangers, etc., to put up the tablecloth as a wall tapestry. The pastor could hardly believe how beautiful it looked, and it covered up the entire problem area.

ในเวลาขณะนั้น, หิมะก็เริ่มตกลงมา. ผู้หญิงซึ่งมีอายุมากคนหนึ่ง, ได้วิ่งออกมาจากทางทิศทางตรงข้าม, กำลังพยายามที่จะไปให้ทันขึ้นรถโดยสารประจำทาง. แต่เธอไปไม่ทัน จึงได้พลาดไป. บาทหลวงก็เลยเชื้อเชิญให้เธอเข้ามานั่งคอยอยู่ในโบสถ์ ซึ่งอบอุ่นกว่าที่จะยืนรออยู่ข้างนอก เพื่อที่จะไปขึ้นรถโดยสารประจำทางอีกคันหนึ่งซึ่งจะมาในเวลาอีก 45 นาทีภายหลัง. เธอได้นั่งลงอยู่บนม้านั่งยาวและไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับตัวบาทหลวง ผู้ซึ่งในขณะนั้น กำลังยกเอาบันได, ที่แขวน, ฯลฯ ออกมา เพื่อที่จะยกเอาผ้าปูโต๊ะนั้น ขึ้นไปปิดบนกำแพงให้ดูเหมือนกับสิ่งทอหรือม่านลายดอกซึ่งแขวนประดับฝาผนัง.

Then he noticed the woman walking down the center aisle. Her face was as white as a sheet. "Pastor," she asked, "Where did you get that tablecloth?" The pastor explained. The woman asked him to check the lower right corner to see if the initials, EBG were crocheted into it there. They were. These were the initials of the woman, and she had made this tablecloth 35 years before in Austria.

หลังจากนั้น เขาได้สังเกตุเห็นว่า ผู้หญิงคนนั้น ได้เดินมายังตรงกึ่งกลางของทางเดินระหว่างที่นั่ง. ใบหน้าของเธอได้ดูขาวซีดเหมือนกับผ้าปูที่นอน. "ท่านบาทหลวงคะ," เธอได้ถามขึ้น, "ท่านได้ผ้าปูโต๊ะผืนนี้มาจากไหนคะ?" บาทหลวงก็ได้อธิบาย. ผู้หญิงคนนั้นก็ยังได้ถามเขาต่อไป ให้ลองเช็คดูที่มุมขวาด้านล่าง เพื่อทำความแน่ใจว่า ผ้าชิ้นนั้นจะมีตัวอักษรย่อ, อีบีจี ถักด้วยไหมพรมอยู่บนผ้าผืนนั้นหรือเปล่า. ก็ปรากฎว่ามีอยู่จริงๆ. อักษรเหล่านี้ก็คือ อักษรตัวย่อของชื่อต้น ชื่อกลาง และชื่อสกุลของผู้หญิงคนนี้เอง, และเธอได้ทอผ้าปูโต๊ะผืนนี้ 35 ปีก่อนหน้านั้น เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ในประเทศออสเตรีย.

The woman could hardly believe it as the pastor told her how he had just gotten the tablecloth. The woman explained that before the war she and her husband were well-to-do people in Austria. When the Nazis came, she was forced to leave. Her husband was going to follow her the next week. He was captured and sent to prison. She never saw her husband or her home again. The pastor wanted to give her the tablecloth, but she made the pastor keep it for the church. The pastor insisted on driving her home, that was the least he could do. She lived on the other side of Staten Island and had been in Brooklyn for the day for a housecleaning job.

ผู้หญิงคนนี้ ก็แทบไม่เชื่อกับตนเองเมื่อ บาทหลวงได้บอกกับเธอว่า เขาได้ผ้าปูโต๊ะผืนนี้มาอย่างไร. ผู้หญิงคนนี้ ก็ยังได้อธิบายต่อไปว่า ก่อนที่สงครามโลกจะเกิดขึ้นนั้น เธอและสามีของเธอเป็นผู้ที่มีฐานะดีมากครอบครัวหนึ่งในประเทศออสเตรีย. เมื่อพวกนาซีได้เข้ามาในประเทศ, เธอได้ถูกบังคับให้ออกมาจากที่นั่น. สามีของเธอก็กำลังจะตามเธอไปในสัปดาห์ต่อมา. แต่ทว่าเขาได้ถูกจับและได้ถูกส่งไปจำคุก. เธอไม่เคยเห็นหน้าของสามีหรือบ้านของเธออีกเลย. บาทหลวงต้องการให้ผ้าปูโต๊ะผืนนั้นคืนกลับไปกับเธอ, แต่เธอขอร้องให้บาทหลวงเก็บมันไว้ สำหรับไว้ใช้ในโบสถ์. บาทหลวงก็ได้คะยั้นคะยอต้องการขับรถไปส่งเธอที่บ้าน, เพราะว่าอย่างน้อยที่สุด ก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถจะกระทำให้เธอได้. เธออาศัยอยู่อีกฝั่งหนึ่งของ เกาะสเตตั้น และได้มายังเมือง บรุ๊คลินเพียงแค่วันเดียวเพื่อทำงานทำความสะอาดที่บ้านแห่งหนึ่ง.

What a wonderful service they had on Christmas Eve. The church was almost full. The music and the spirit were great. At the end of the service, the pastor and his wife greeted everyone at the door, and many said that they would return. One older man, whom the pastor recognized from the neighborhood, continued to sit in one of the pews and stare... the pastor wondered why he wasn*t leaving.

ช่างเป็นพิธีการทางศาสนาที่งดงามอะไรเช่นนั้นในวันก่อนวันคริสต์มาส. ตัวโบสถ์นั้นก็มีผู้คนเข้ามาอยู่ในพิธีจนเกือบเต็ม. เสียงดนตรีและอารมณ์ความรู้สึกได้มีออกมาอย่างเยี่ยมยอด. เมื่อพิธีการทางศาสนาได้สิ้นสุดลง, ตัวบาทหลวงและภรรยา ก็ได้กล่าวทักทายอำลากับทุกๆ คนที่มา ณ ที่ประตูทางเข้า, และหลายคนได้บอกว่า พวกเขาจะกลับมาร่วมพิธีที่โบสถ์แห่งนี้อีก. ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง, ซึ่งบาทหลวงจำตัวเขาได้เพราะว่ามาจากละแวกบ้านนั้น, ก็ยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวต่อไปและก็เหม่อมอง.... บาทหลวงก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงยังไม่ยอมกลับไปบ้านเสียที.

The man asked him where he got the tablecloth on the front wall, because it was identical to one that his wife had made years ago when they lived in Austria before the war. And how could there be two tablecloths so much alike? He told the pastor how the Nazis came, how he forced his wife to flee for her safety, and how he was supposed to follow her, but was arrested and put in a prison. He never saw his wife or his home again.

ผู้ชายคนนั้นก็ได้ถามบาทหลวงว่า เขาได้ผ้าปูโต๊ะผืนนี้ ที่ขึงอยู่บนกำแพงหน้านั้นจากที่ไหน, เพราะมันเหมือนกันมากกับชิ้นหนึ่งซึ่งภรรยาของเขาได้ถักไว้เมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้ว เมื่อครั้งที่เขาทั้งสองยังอยู่ในประเทศออสเตรียก่อนที่สงครามโลกจะเกิดขึ้น. และเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะมีผ้าปูโต๊ะที่เหมือนกันมากสองผืนอย่างนี้ได้? เขาบอกกับบาทหลวงว่า พวกนาซีเข้ามาในประเทศได้อย่างไร, และเขาได้บังคับให้ภรรยาของเขาหนีออกไปเพื่อความปลอดภัยได้อย่างไร, และ เขาคาดหวังไว้ว่าจะตามไปพบกับเธอได้อย่างไร, แต่ทว่า เขาได้ถูกจับเสียก่อนและได้ถูกส่งเข้าไปอยู่ในคุกแห่งหนึ่ง. เขาก็ไม่เคยได้พบเห็นภรรยาหรือบ้านของเขาเองอีกต่อไป.

This is to say that what followed was the greatest Christmas reunion he could ever imagine.

เรื่องนี้ก็ขอกล่าวให้ทราบว่า เหตุการณ์ที่ตามมาภายหลังนั้น เป็นการกลับคืนพบกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเกินกว่าที่ตัวบาทหลวงเองจะสามารถบรรยายภาพพจน์ออกมาเป็นคำพูดได้.

**************************************************
Happy Valentine*s, everyone! สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ ทุกๆ ท่าน.

ทบพร


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 34
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 17 ก.พ. 2552  เวลา 01:07:53   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Love in the Home" ความรักภายในบ้าน

If I live in a house of spotless beauty with everything in its place, but have not love, I am a housekeeper--not a homemaker.

ถ้าฉันอาศัยอยู่ในบ้านซี่งสวยงามปราศจากจุดด่างและมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้น, แต่ทว่าปราศจากความรัก, ฉันก็เป็นเพียงผู้ดูแลรักษาบ้าน - ไม่ใช่ผู้สร้างความอบอุ่นให้กับบ้าน.

If I have time for waxing, polishing, and decorative achievements, but have not love, my children learn cleanliness--not godliness.

ถ้าฉันมีเวลาต่อการไปลงขี้ผึ้ง, ขัดให้ดูเป็นเงาแววงาม, และแสดงประกาศนียบัตรซึ่งเป็นเกียรติความสำเร็จที่ถูกตกแต่งหรือประดับประดาแล้วอย่างหรูหรา, แต่ทว่าปราศจากความรัก, ลูกๆ ของฉันก็จะเรียนรู้ถึงความสะอาดสะอ้านทางวัตถุ - แต่ไม่ใช่ถึงเรื่องความสะอาดอย่างศรัทธาเลื่อมใสในทางศาสนา.

Love leaves the dust in search of a child*s laugh.

ความรัก ทำให้เราลืมเรื่องฝุ่นละออง เพื่อที่จะแสวงหาว่าการหัวเราะของเด็กน้อยซึ่งกระทำด้วยความสุขใจนั้น มาจากไหน.

Love smiles at the tiny fingerprints on a newly cleaned window.

ความรัก ทำให้เราเกิดรอยยิ้ม เพราะเห็นรอยนิ้วมือจิ๋วๆ (ของเจ้าเด็กน้อย) พิมพ์อยู่บนกระจกหน้าต่างซึ่งเพิ่งถูกทำความสะอาดมาใหม่ๆ.

Love wipes away the tears before it wipes up the spilled milk.

ความรัก ทำให้เราเช็ดคราบน้ำตาของเด็กน้อยออกไป ก่อนที่จะเช็ดรอยเปื้อน ซึ่งเกิดจากน้ำนมที่หกล้นอยู่.

Love picks up the child before it picks up the toys.

ความรัก ทำให้เราอุ้มตัวของเด็กน้อยขึ้นมา ก่อนที่จะหยิบยกของเล่นมาเก็บเข้าที่.

Love is present through the trials.

ความรัก ได้แสดงให้รู้ว่า จะอยู่ช่วยเหลือเด็กน้อยต่อไปโดยเป็นระยะๆ ตามเท่าที่ต้องการ.

Love reprimands, reproves, and is responsive.

ความรัก ก่อให้เกิดการตำหนิ, ดุด่าว่ากล่าว, และแสดงความรู้สึกโต้ตอบอย่างห่วงใยกับเจ้าเด็กน้อยนั้น.

Love crawls with the baby, walks with the toddler, runs with the child, then stands aside to let the youth walk into adulthood.

ความรัก เริ่มคลานออกมาตอนเป็นเด็กทารก, เริ่มเดินออกมาตอนเป็นเด็กวัยหัดเดิน, เริ่มวิ่งออกมาตอนเป็นเด็กผู้เยาว์, หลังจากนั้น ก็ออกมายืนอยู่ข้างๆ เพื่อที่จะให้เด็กวัยรุ่นเดินเข้าไปสู่ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว.

Love is the key that opens a child*s heart.

ความรักเป็นกุญแจอันสำคัญที่จะเปิดหัวใจของเด็กน้อยได้.

Before I became a mother I took glory in my house of perfection. Now I see glory in the perfection of my child.

ก่อนที่ฉันจะมาเป็นแม่, ฉันได้นำความภาคภูมิปิติยินดีมาสู่ในบ้านของฉันเพื่อก่อให้เกิดความสมบูรณ์อย่างที่สุด. แต่ในตอนนี้ ฉันได้เห็นความภาคภูมิปิติยินดีในเรื่องความสมบูรณ์อย่างที่สุดนั้น กับลูกของฉันแทน.

As a mother, there is much I must teach my child, but the greatest of all is love.

โดยเพราะว่าเป็นแม่, ยังมีเรื่องอีกมากมายหลายอย่างที่ฉันต้องสอนลูกของฉัน, แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่สำคัญมากทั้งหมดก็คือ ความรัก.

This is to say that the most important things in life are the "little ones".

เรื่องนี้เป็นการแสดงให้ทราบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดทั้งหมดในชีวิตก็คือ "เจ้าตัวเล็ก" นั่นเอง.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 35
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 18 ก.พ. 2552  เวลา 03:31:50   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Suggestions for Success" ข้อแนะนำสำหรับความสำเร็จ

1) Marry the right person. This one decision will determine 90 of your happiness or misery.

1) แต่งงานสร้างครอบครัวกับบุคคลที่เหมาะสมที่สุด. การตัดสินใจในเรื่องนี้จะกำหนดให้เห็นถึง 90 อย่างของความสุขหรือของความทุกข์ยากแสนเข็ญ.

2) Work at something you enjoy, that*s worthy of your time and talent.

2) ทำงานอยู่กับสิ่งที่คุณสนุกเพลิดเพลิน, เพราะเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับเวลาและพรสวรรค์ของคุณ.

3) Give people more than they expect and do it cheerfully.

3) กระทำการให้กับผู้คนมากกว่าที่พวกเขาได้คาดหวังไว้ และดำเนินการกับมันด้วยความร่าเริงอย่างมีความสุข.

4) Become the most positive and enthusiastic person you know.

4) เริ่มเป็นบุคคลที่มองโลกในแง่บวกและกระตือรือร้นให้มากที่สุด เท่าที่คุณจะรู้ทราบได้.

5) Be forgiving of yourself and others.

5) ให้อภัยกับตนเองและผู้อื่น.

6) Be generous.

6) เป็นบุคคลที่ใจดีมีเมตตา และความเอื้อเฟื้อ.

7) Have a grateful heart.

7) มีหัวใจที่สำนึกในบุญคุณ.

8) Persistence, persistence, persistence.

8) มีความเพียรพยายามไม่ย่นย่อท้อถอยอยู่ตลอดไป.

9) Discipline yourself to save money on even the most modest salary.

9) สร้างระเบียบวินัยให้กับตนเอง ต่อการเก็บหอมรอมริบ ถึงแม้ว่าจะได้รับเงินค่าจ้างอย่างเล็กน้อยที่สุด.

10) Treat everyone you meet like you want to be treated.

10) ปฎิบัติต่อทุกๆ คนที่คุณได้พบ ให้เสมอเหมือนกับที่คุณต้องการได้รับการปฎิบัติแบบนั้น โดยเช่นเดียวกัน.

11) Commit yourself to constant improvement.

11) กำหนดให้ตนเองมีการปรับปรุงแก้ไขอย่างสม่ำเสมอ.

12) Commit yourself to quality.

12) กำหนดให้ตนเองมีต่อคุณภาพลักษณะที่ดีงาม.

13) Understand that happiness is not based on possessions, power, or prestige, but on relationships with people you love and respect.

13) เข้าใจถึงเรื่องความสุขที่ว่า ไม่ได้มาจากพื้นฐานของความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน, ความมีอำนาจ, หรือ ความมีเกียรติยศชื่อเสียง, แต่ทว่า มาจากความสัมพันธ์กับผู้คนที่คุณรักและให้ความเคารพนับถือ.

14) Be loyal.

14) เป็นผู้มีความจงรักภักดี.

15) Be honest.

15) เป็นผู้มีความซื่อสัตย์.

16) Be a self-starter.

16) เป็นผู้มีความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์.

17)Be decisive even if it means you*ll sometimes be wrong.

17) เป็นผู้ตัดสินใจอย่างเฉียบขาด ถึงแม้ว่า บางครั้ง มันจะหมายความว่าคุณได้กระทำมันผิดขึ้นมา.

18) Stop blaming others. Take responsibility for every area of your life.

18) หยุดตำหนิต่อว่าผู้อื่น. นำเอาความรับผิดชอบจากทุกๆ ด้านเข้ามาเป็นประกอบไว้ในชีวิตของคุณ.

19) Be bold and courageous. When you look back on your life, you*ll regret the things you didn*t do more than the ones you did.

19) เป็นผู้ที่มีความกล้าและเก่งกาจ. เมื่อคุณมองหันหลังกลับไปคิดถึงชีวิตของคุณแล้ว, คุณจะเสียดายกับสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ มากกว่าสิ่งที่คุณได้เคยกระทำมา.

20) Take good care of those you love.

20) เอาใจใส่ดูแลอย่างดีกับบุคคลที่คุณรัก.

This is saying last, but not least…Don*t do anything that wouldn*t make your mom proud!

เรื่องเหล่านี้จะขอกล่าวในท้ายที่สุด, แต่ไม่ใช่น้อยที่สุดว่า.... อย่ากระทำสิ่งใดๆ ที่ไม่สามารถทำให้คุณแม่ของคุณได้รับความรู้สึกภาคภูมิใจได้!

******************

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 36
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 19 ก.พ. 2552  เวลา 02:01:11   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Turn Your Hobby into Your Job" เปลี่ยนงานอดิเรกที่คุณชื่นชอบมาเป็นงานที่แท้จริงของคุณดีกว่า

One of the wonderful benefits of simplifying my life is that I have created more time to devote to my hobby, reading. It can work the other way too...making time for your favorite pastime can simplify your life.

ประโยชน์ที่ดียิ่งอย่างหนึ่งของการทำประพฤติตัวง่ายๆ ในชีวิตของฉันก็คือ ฉันได้ทำให้เกิดเวลาว่างเพิ่มขึ้นต่อการอุทิศเวลาเหล่านั้นให้กับงานอดิเรกของฉัน, นั่นก็คือ การอ่านหนังสือ. สามารถทำได้ในวิธีอื่นๆ ด้วย ...การสร้างเวลาให้กับงานอดิเรกที่คุณชื่นชอบสามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้น เป็นอยู่ได้อย่างเรียบง่าย.

A few years ago my friend Sandi, an attorney, took a leave of absence for the entire summer to visit his sister, who lives in Italy. They were in a small village in the mountains with not a whole lot going on. His sister suggested they visit a neighbor*s sculpting studio. Sandi knew nothing at all about sculpture and wasn*t really interested, but because there was nothing else to do, he agreed to go along. He didn*t know it then, but he*d found a hobby that would eventually change his life.

เมื่อหลายปีก่อนนั้น เพื่อนของฉันชื่อว่า แซนดี้, ซึ่งมีอาชีพทนายความ, ได้ขอลาหยุดงานเป็นระยะหนึ่งของช่วงฤดูร้อนทั้งหมด เพื่อจะไปเยี่ยมเยียนพี่สาวของเขา, ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศอิตาลี. ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา โดยปราศจากความวุ่นวายต่างๆ ให้เห็นอยู่รอบๆ. พี่สาวของเขาได้แนะนำให้ พวกเขานั้น ไปเยี่ยมห้องเล็กๆ ของเพื่อนบ้านที่ทำการแกะสลักรูปปั้น. แซนดี้ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแกะสลักรูปปั้นและไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอย่างแท้จริงนัก, แต่เพราะว่า เขาไม่มีอะไรอื่นที่จะต้องทำ, เขาก็เลยตกลงที่จะลองศึกษาเรื่องนี้ดู. ตอนนั้น เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก, แต่ทว่า เขาได้ค้นพบงานอดิเรกที่ในท้ายที่สุด ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาทั้งหมด.

He spent every day for the rest of his vacation in that studio, learning everything he could about sculpting. When he returned home, he enrolled in a sculpture class. He resumed his legal practice during the weekdays, but his weekends and evenings were now devoted to his stone. Gradually, he began to acquire the various tools he needed, and, eventually, he set up a studio in his home. Before long he was selling his work at local art shows. Recently, he resigned from his law practice and is now a full-time sculptor exhibiting his work regularly at galleries around the country.

เขาได้ใช้เวลาทุกๆ วัน ตลอดถึงระยะเวลาพักร้อนของเขาอยู่ในห้องแกะสลักนั้น, เรียนรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เขาสามารถกระทำได้ในเรื่องของการแกะรูปปั้น. เมื่อเขากลับมาที่บ้าน, เขาได้ลงทะเบียนเรียนหนังสือในวิชาศิลปการประติมากรรม. เขากลับไปทำงานทางกฎหมายอย่างเก่าของเขาด้วยในวันธรรมดา, แต่ในวันหยุดสุดสัปดาห์และตอนกลางคืนนั้น ก็ได้เปลี่ยนมาอุทิศกับก้อนหินเหล่านั้น. ไม่นานนั้ก เขาก็สามารถขายงานของเขาในงานนิทรรศการแสดงศิลปะในท้องถิ่น. ไม่นานมานี้นัก, เขาได้ลาออกจากงานปฎิบัติการที่เกี่ยวกับทางกฎหมายและในขณะนี้ ก็ได้อุทิศเวลาอย่างเต็มที่โดยการเป็นช่างประติมากร แสดงถึงผลงานของเขาในนิทัศการแสดงผลงานศิลปะอย่างสม่ำเสมอทั่วประเทศ.

Sandi says his life has never been better, or simpler. Before sculpting, his life was filled with phone calls, appointments, depositions, briefs, court appearances, and the endless number of other things required by the legal profession. Now, his life consists of getting up in the morning, pulling on his jeans, and going into his studio. His gallery manager handles all the mundane details of his business. And, of course, his days are filled with doing something he truly loves.

แซนดี้ได้กล่าวว่า ชีวิตของเขานั้น ไม่เคยดียิ่งไปกว่านี้, หรือดูเรียบง่ายอย่างนี้. ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานแกะสลัก, ชีวิตของเขาก็เต็มไปด้วยเสียงโทรศัพท์ติดต่อตลอด, การนัดหมาย, การให้การของพยาน, การสรุปความ, การปรากฎตัวในศาลยุติธรรม, และหลายสิ่งหลายอย่างโดยนับจำนวนไม่ได้ซึ่ง ถูกบังคับให้กระทำในงานอาชีพทางกฎหมาย. แต่ตอนนี้, ชีวิตของเขาเต็มไปด้วย การตื่นนอนอย่างกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า, สวมใส่กางเกนยีนส์, และเข้าไปทำงานในห้องศิลป์ของเขา. ผู้จัดการห้องแสดงผลงานทางศิลปะของเขาได้จัดการเกี่ยวกับรายละเอียดตามปรกติทุกอย่างในเรื่องของทางธุรกิจ. และตามที่เป็นอย่างแน่นอน, วันเวลาของเขาก็เต็มไปด้วยการทำงานที่เขารักอย่างแท้จริง.

I have another friend who combined his hobby, helicopter flying, with his profession, physical therapy. He set up his new business in a remote resort area where there is a lot of hiking and other physical activities, and consequently, vacationers with physical injuries who need to be flown out to medical facilities. He simplified his life so he could do what he wanted to do, and his life has never been busier or more complicated. But it*s complication he loves, and that makes all the difference in the world.

ฉันได้พบเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งรวมงานอดิเรกของเขา, นั่นก็คือการขับเฮลิคอปเตอร์, รวมกับงานอาชีพของเขา, คือ การบำบัดรักษาทางกำลังกาย. เขาริเริ่มสร้างธุรกิจใหม่ของเขาในพื้นที่สถานตากอากาศที่ห่างไกลซึ่งมีการปีนไต่หน้าผาและกิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายหลายอย่าง, และดังนั้น, เป็นการช่วยผู้มาพักตากอากาศซึ่งมีความบาดเจ็บทางร่างกาย ที่ต้องการจะบินออกไปสู่สถานที่การบำบัดรักษาทางการแพทย์ด้วย. ดังนั้น เขาได้เปลี่ยนความเป็นอยู่ในชีวิตให้ดูเรียบง่าย เพื่อที่เขาสามารถกระทำงานต่างๆ ซึ่งเขาต้องการได้, และชีวิตของเขาก็ได้ปราศจากความยุ่งเหยิงหรือความสับสนวุ่นวาย. แต่เรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งยุ่งยากที่เขารัก, และได้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างในชีวิตทั้งหมดของเขา.

This is to say that if you aren*t already doing what you love, starting with a hobby is one way to get there.

เรื่องนี้เป็นการกล่าวให้ทราบว่า ถ้าคุณยังไม่ได้กระทำงานอะไรก็ตามที่คุณรักเป็นอย่างยิ่งแล้ว, ควรจะเริ่มด้วยงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้คุณมุ่งตรงไปถึงเป้าหมายนั้นได้.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 37
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 20 ก.พ. 2552  เวลา 02:30:40   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"After the Flood"หลังจากน้ำท่วมใหญ่

As rescue teams continue to assess the mind-boggling destruction and death left in the wake of the century*s worst storm, I am naturally pulled towards the ongoing media coverage for the latest updates..."greater devastation than we could have imagined", "record damage", "25 billion in losses", "hundreds dead".

เมื่อคณะกลุ่มทำการช่วยชีวิตได้คงยังกระทำการประเมินถึงผลเสียหายและการเสียชีวิตซึ่งสับสนและยากต่อความเข้าใจ ซึ่งเหลือให้เห็นอยู่หลังจากอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในศตวรรษ, ฉันก็ได้ถูกดึงตัวไปอย่างตามที่คาดไว้ เพื่อไปอยู่ต่อหน้าการรายงานข่าวที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ที่จะได้ทราบถึงข้อมูลใหม่ๆ ทั้งหมด.... "ความเสียหายอย่างรุนแรงซึ่งมากกว่าที่พวกเราสามารถจินตนาการกับมันได้", "ความเสียหายอย่างเป็นประวัติการณ์", "ราคาค่าเสียหายที่สูญเสียไปประมาณ $25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ", "มีผู้เสียชีวิตนับร้อย".

I was spell-bound by a couple*s account of their 150-year-old antique-filled home filling with water as they broke a hole through the roof to evacuate their 87-year-old wheel-chair bound father and hung on to a tree for several hours waiting to be rescued. What is left is a flooded lot and mere remnants of what was a treasured home for more than three generations.

ฉันได้ตรึงติดเหมือนถูกต้องมนต์ไว้ จากการเล่ารายละเอียดของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ต่อเรื่อง บ้านของพวกเขาทั้งสองซึ่งมีอายุ 150 ปี ที่เต็มไปด้วยของเก่าแก่โบราณ ซึ่งตอนนี้ก็ถูกน้ำท่วมอยู่ เมื่อที่พวกหน่วยช่วยชีวิตได้เจาะรูผ่านขึ้นไปบนหลังคาบ้าน เพื่อจะยกย้ายตัวคุณพ่อซึ่งมีอายุ 87ปี ที่กำลังเกาะติดอยู่กับเก้าอี้รถเข็นอย่างเหนียวแน่น ได้รออยู่บนต้นไม้เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว เพื่อที่จะได้รับการช่วยชีวิต. สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ผืนที่ดินซึ่งท่วมไปด้วยน้ำและเศษชิ้นส่วนขาดๆ วิ่นๆ เพียงย่อยๆ ของบ้านที่ได้รับการทะนุถนอมมามากว่าเวลาสามชั่วอายุคน.

As the camera panned across the tear-drenched faces of these brave souls, I was deeply touched by a comment that the wife/mother made. As she pointed to the spots where her favorite quilt once hung, her husband*s comfortable chair that was hand-hewn once stood, and the cast-iron stove where she regularly made huge pots of gumbo soup for the poor and homeless once sat, she reminisced about the beautiful sunrises and sunsets which she would no longer watch from her front porch. And yet the sun had come up that day bringing new hope and promise for renewal as if it was "oblivious" to all that had happened and was happening around it.

เมื่อกล้องโทรทัศน์ได้หันให้เห็นในมุมกว้าง โดยกวาดสายตาไปยังใบหน้าซึ่งชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาของผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญพวกนี้, ฉันมีความรู้สึกสัมผัสอย่างลึกซึ้งทางหัวใจ จากข้อความคิดเห็นของแม่/ภรรยาได้กล่าวไว้. เมื่อเธอได้ชี้ให้เห็นสถานที่ต่างๆ ภายในบ้าน ซึ่งเป็นจุดที่ที่ผืนผ้าถักที่เธอชื่นชอบได้เคยแขวนอยู่ครั้งหนึ่ง, จุดที่เก้าอี้พักผ่อนที่สร้างมาโดยกับมือของสามีเธอ ซึ่งได้เคยวางตั้งอยู่ครั้งหนึ่ง, และจุดที่ครั้งหนึ่ง เตาผิงเหล็กได้ตั้งอยู่ตรงนั้น เพื่อเธอได้ใช้สำหรับการต้มซุปกัมโบ้ในหม้อใหญ่ๆ อย่างโดยสม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้เป็นทานกับคนยากคนจนและคนพเนจรไร้ที่อยู่, เธอได้รำลึกหวนคิดถึงอดีตเกี่ยวกับความงดงามเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกซึ่งเธอไม่สามารถที่จะเห็นได้อีกต่อไปจากระเบียงหน้าบ้านของเธอ. และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตาม พระอาทิตย์ก็ยังได้ขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่งในวันนั้น เพื่อที่จะนำความหวังใหม่และสัญญาต่อการเริ่มต้นใหม่ เสมือนหนึ่งว่า มันเป็นเรื่องที่ "ลืมไปแล้ว" ซึ่งได้เกิดขึ้นมาและกำลังเกิดขึ้นอยู่โดยรอบๆ กับผู้คนทั้งหมด.

This is to remind that just like the cycles of the moon, the now-devastated communities of the South will in time become full and vibrant and shine their light brightly to the rest of the world once again. May all those who were injured have a safe and speedy recovery and may families and communities be reunited very soon.

เรื่องนี้เป็นการเตือนให้ทราบว่า เหมือนกับ วัฎจักรวงโคจรของพระจันทร์, ชุมชนซึ่งได้รับความเสียหายอย่างมากทางภาคใต้ของประเทศในตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็ว ก็จะเริ่มเต็มไปด้วยความครบถ้วนสมบูรณ์และมีชีวิตชีวาและสว่างไสวไปด้วยแสงที่เปี่ยมด้วยความหวังอย่างแรงกล้าให้ทั้งโลกได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง. ขอให้ผู้ที่ประสบความบาดเจ็บสาหัสทั้งหมด ได้รับความปลอดภัยและฟื้นตัวสู่สภาพปรกติโดยอย่างรวดเร็ว และขอให้ครอบครัวและชุมชนทั้งหลายนั้นได้กลับเข้ามารวมตัวกันใหม่ในไม่ช้านี้.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 38
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 21 ก.พ. 2552  เวลา 02:05:09   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

A great piece for all us as we pass the Labor Day Holiday and focus back on the work world from vacation time. เรื่องหนึ่งที่ดีมากๆ สำหรับทุกๆ คน เมื่อเราเพิ่งผ่านพ้นวันหยุดแรงงานแห่งชาติ และเพ่งความสนใจกลับไปหางานการอาชีพหลักหลังจากวันหยุดพักร้อน.

I hired a plumber to help me restore an old farmhouse, and after he had just finished a rough first day on the job: (a flat tire made him lose an hour of work & his electric drill quit) his ancient one ton truck refused to start.

ฉันได้จ้างช่างประปาผู้หนึ่งเพื่อช่วยฉันซ่อมแซมโรงนาเก่า, และหลังจากที่เขาเพิ่งเสร็จสิ้นงานซึ่งยากลำบากในวันแรก: (เพราะว่ายางรถยนต์เขาแบน ทำให้เขาสูญเสียเวลาทำงานไปชั่วโมงหนึ่ง และสว่านไฟฟ้าที่ใช้สำหรับเจาะรูต่างๆ ก็เกิดเสียขึ้นมา) รถบรรทุกเก่าๆ โบราณของเขาก็ปฎิเสธต่อการที่จะติดเครื่องสตร์าทเสียอีกด้วย.

While I drove him home, he sat in stony silence.

ในขณะที่ฉันขับรถไปส่งเขาที่บ้าน, เขาก็นั่งเงียบเฉยแข็งทื่อเหมือนก้อนหิน.

On arriving he invited me in to meet his family. As we walked toward the front door, he paused briefly at a small tree, touching the tips of the branches with both hands.

เมื่อมาถึงบ้านแล้ว เขาได้เชื้อเชิญให้ฉันรู้จักกับครอบครัวของเขา. ในขณะที่เราทั้งสองได้เดินไปยังประตูหน้าบ้าน, เขาก็หยุดชะงักลงอยู่ชั่วขณะ ตรงหน้าต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง, ใช้มือทั้งสองนั้น สัมผัสกับปลายกิ่งก้าน.

When opening the door he underwent an amazing transformation. His tanned face was wreathed in smiles and he hugged his two small children and gave his wife a kiss.

เมื่อประตูได้เปิดออกมา เขาได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างฉงนสนเท่ห์. ใบหน้าที่ตากแดดเป็นสีคล้ำของเขาได้ถูกหุ้มห่อไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและเขาได้โอบกอดลูกเล็กๆ ทั้งสองของเขา และยังได้ให้การจุมพิตกับภรรยาของเขาครั้งหนึ่งด้วย.

Afterward he walked me to the car. We passed the tree and my curiosity got the better of me. I asked him about what I had seen him do earlier. "Oh, that*s my trouble tree," he replied. "I know I can*t help having troubles on the job, but one thing*s for sure, those troubles don*t belong in the house with my wife and the children. So I just hang them up on the tree every night when I come home and ask God to take care of them. Then in the morning I pick them up again. " " Funny thing is," he smiled", when I come out in the morning to pick *em up, there aren*t nearly as many as I remember hanging up the night before."

หลังจากนั้น เขาก็ได้เดินออกมาส่งฉันกลับไปที่รถยนต์. เราได้ผ่านต้นไม้ต้นเก่านั้นและความสงสัยอยากรู้อยากเห็นก็บังเกิดขึ้นกับฉัน มากกว่าที่จะเงียบเฉยได้. ฉันถามเขาเกี่ยวกับว่า ฉันได้เห็นเขาทำอะไรเมื่อตอนที่มาตอนแรก. "อ้อ, นั่นคือต้นไม้แห่งความวุ่นวายของผมครับ, " เขากล่าวตอบ. "ผมรู้ว่าผมไม่สามารถที่จะช่วยได้ ต่อการมีปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นอยู่ในขณะเวลาทำงาน, แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดครับ, ปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ ไม่สมควรที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านกับภรรยาและลูกๆ ของผม. ดังนั้น ผมจึงเพียงที่จะตากแขวนมันไว้ก่อนบนกิ่งก้านของต้นไม้ทุกๆ คืนเมื่อผมกลับมาบ้าน และก็ขอความช่วยเหลือจากท่านพระผู้เป็นเจ้าว่า ให้ทรงช่วยดูแลปัญหาอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ไว้กับท่านก่อน. ดังนั้น เมื่อตอนเช้ามาถึง ผมก็ไปรับมันเก็บกลับเข้ามาอีกเท่านั้นแหละครับ." "แต่สิ่งที่ผมยังขำๆ อยู่นั้นก็คือ," เขากล่าวในขณะที่ยังมีรอยยิ้มอยู่, "เมื่อผมออกมาเพื่อที่จะไปทำงานในตอนเช้า เพื่อจะเก็บมันกลับมานะครับ, มันดูกับว่า ไม่มีหลงเหลืออยู่มากมายเท่าไรนัก เหมือนกับที่ผมจำได้ ในตอนที่แขวนตากมันไว้เมื่อคืนก่อนนั้นน่ะครับ."


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 39
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 21 ก.พ. 2552  เวลา 02:07:20   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"To Realize.. " การตระหนักรู้ถึง...............

To realize the value of a sister ask someone who doesn*t have one.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของพี่สาวหรือน้องสาว ลองถามบางคนผู้ซึ่งไม่มีพี่น้องซึ่งเป็นผู้หญิงดูซิ.

To realize the value of ten years, ask a newly divorced couple.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาสิบปี, ลองไปถามคู่สมรส ซึ่งเพิ่งไปจดทะเบียนหย่าดู.

To realize the value of four years, ask a graduate.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาสี่ปี, ลองไปถามนักศึกษาบัณฑิตดู.

To realize the value of one year, ask a student who has failed a final exam.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาหนึ่งปี, ลองไปถามนักเรียนคนหนึ่งคนใดก็ได้ที่ไม่ผ่านการสอบไล่ขึ้นชั้นดู.

To realize the value of nine months, ask a mother who gave birth to a stillborn.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาเก้าเดือน, ลองไปถามผู้ที่เป็นแม่ซึ่งเด็กทารกของเธอ ได้เสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิดดู.

To realize the value of one month, ask a mother who has given birth to a premature baby.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาหนึ่งเดือน, ลองไปถามผู้ที่เป็นแม่ซึ่งให้กำเนิดเด็กทารกก่อนกำหนดดู.

To realize the value of one week, ask an editor of a weekly newspaper.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์, ลองไปถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์ในรายสัปดาห์ดู.

To realize the value of one minute, ask a person who has missed the train, bus or plane.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาหนึ่งนาที, ลองไปถามบุคคลซึ่งเพิ่งจะพลาดการขึ้นรถไฟ, รถโดยสารประจำทาง หรือ เครื่องบินดู.

To realize the value of one-second, ask a person who has survived an accident.

การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระยะเวลาหนึ่งวินาที, ลองไปถามบุคคลซึ่งรอดชีวิตมาได้จากอุบัติเหตุดู.

Time waits for no one.

เวลาไม่เคยรอให้กับบุคคลใด.

Treasure every moment you have.

ทะนุถนอมคุณค่าทุกขณะที่คุณยังมีลมหายใจอยู่.

You will treasure it even more when you can share it with someone special.

คุณจะยิ่งเห็นคุณค่านั้นมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก เมื่อคุณได้แบ่งสรรร่วมกันกับบุคคลพิเศษของคุณ.

This is to say always value family and friends.

เรื่องนี้คือการกล่าวให้ทราบว่า ควรจะเชิดชูคุณค่าของครอบครัวและเพื่อนๆ ไว้อย่างโดยสม่ำเสมอ.

***************************************
วันนี้แปลให้สองเรื่องเพราะรู้สึกว่า มันจะสั้นไปนิด สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ

ทบพร

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 40
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 24 ก.พ. 2552  เวลา 03:05:56   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Look for the Hidden Blessings of Difficult Situations" มองดูถึงสิ่งที่ดีงามซึ่งซ่อนอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่

Gratitude is an all-out experience. It*s cheating to be grateful only for the good things that happen and to shun the bad. This isn*t to say that we want bad things to happen to us, just that if we can be grateful for the soul-lessons inherent in the difficulties that befall us, then our souls will be able to grow and mature. Otherwise, we never progress, because we fail to use the hardships that dog us to become more loving, more patient, more present, more kind.

ความกตัญญูรู้คุณเป็นประสบการณ์ของความพยายามทั้งหมด. มันเป็นเสมือนกับเรื่องการเสแสร้ง ที่จะต้องสำนึกในบุญคุณ เมื่อสิ่งที่ดีงามได้เกิดขึ้นและหลบเลี่ยงเสียเมื่อมีสิ่งเลวร้าย. นี่ไม่ใช่จะกล่าวว่า เราต้องการให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา, เพียงแต่ว่า ถ้าเรามีความสำนึกในบุญคุณต่อบทเรียนที่กระทบกับทางจิตใจอยู่อย่างเป็นปกติวิสัยเมื่อความยากลำบากได้เกิดขึ้นกับพวกเรา, เมื่อนั้นแล้ว จิตใจความคิดของเราก็สามารถที่จะคงยังเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างเต็มที่. เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว, เราจะไม่มีความเจริญก้าวหน้าเลย, เพราะว่าเราได้เพลี่ยงพล้ำที่จะใช้ความทุกข์ยากซึ่งติดตามเราอยู่ตลอดเวลานั้น ให้เปลี่ยนตัวเรา ให้กลายเป็นผู้ที่มีความรัก, ความอดทน, อยู่ข้างเคียง, และเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณาปรานีได้อย่างมากกว่าแต่ก่อน.

The people whom I admire most in the world say without reservation that the hardest things they had to face, cancer, the death of a child, a bankruptcy, or job loss, had been their greatest teachers and that they were grateful for the lessons. For me it has been dealing with pain.

บุคคลที่ฉันให้ความยกย่องนับถืออย่างมากที่สุดในโลก ได้กล่าวเปิดความในใจเกี่ยวกับ สิ่งที่ยากลำบากที่สุดที่พวกเขาได้เคยเผชิญมา, โรคมะเร็ง, การเสียชีวิตของเด็ก, การล้มละลาย, หรือ การสูญเสียอาชีพทางการงาน, ได้เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาและพวกเขาก็มีความสำนึกในบุญคุณต่อบทเรียนเหล่านั้น. สำหรับตัวฉัน, มันเป็นเรื่องของการเผชิญหน้าอยู่กับความเจ็บปวดตลอดเวลา.

When I was a senior in college I injured my back. It was the first time my body ever betrayed me. Until then, I always considered it just a handy container to take my mind where it wanted to go. But suddenly I couldn*t move, and I had to pay attention to it.

เมื่อฉันอยู่ปีที่สี่ในมหาวิทยาลัย สันหลังของฉันได้รับการบาดเจ็บ. เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ร่างกายของฉันได้ทำให้ฉันผิดหวังเป็นอย่างมาก. จนกระทั่งถึงตอนนั้น, ฉันคิดพิจารณาอยู่เสมอว่ามันเป็นเพียงสิ่งใกล้ตัวชิ้นหนึ่งที่นำความสนใจของฉันออกไปยังที่ที่ต้องการจะไป. แต่ทันทีทันใดนั้น, ฉันก็ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนตัวได้, และฉันก็ต้องให้ความสนใจกับมันมากยิ่งขึ้น.

It*s been twenty years since then, and my back continues to be one of my greatest teachers. I*ve learned a lot about patience (a hard lesson for me) and impermanence (just because it hurts like blazes today doesn*t mean it will hurt tomorrow). I*ve learned the value of physical discipline ("No time to do those boring back exercises?" my body says "I*ll show you!") I*ve learned that I can*t push myself beyond limits that often I still don*t recognize until after I*ve exceeded them. That even doing everything "right" is no guarantee I*ll be free from pain. I*ve learned to let go of my wanting it to be better, and I*ve learned about how much I still exist even if I am able to do absolutely nothing. Now, in theory, I could have learned these things some other way, and perhaps I might have. But the truth of my life is that I have learned them through my pain -- and I am grateful for the lessons, if not for the pain.

เป็นเวลายี่สิบปีมาแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น, และสันหลังของฉันก็ยังคงเป็นครูของชีวิตที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง. ฉันได้เรียนรู้อย่างมากเกี่ยวกับเรื่องความอดกลั้น (เป็นบทเรียนที่ยากมากสำหรับตัวฉัน) และ สิ่งที่ไม่คงทนถาวร (เพียงเพราะว่า มันปวดแสบปวดร้อนเหมือนกับเปลวไฟที่ลุกโพลงในวันนี้ ไม่ได้หมายถึงว่า มันจะเจ็บแสบแบบนี้ในวันรุ่งขึ้น). ฉันได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการฝึกฝนอย่างเป็นระเบียบวินัยต่อร่างกาย ("ไม่มีเวลาที่จะออกกำลังกายอย่างน่าเบื่อหน่ายให้กับสันหลังนี้เชียวหรือ?" ร่างกายฉันก็ตอบว่า "ฉันจะแสดงให้คุณเห็นเอง! ") ฉันได้เรียนรู้ว่า ฉันไม่สามารถที่จะผลักดันตนเองให้เกินกว่าขอบเขตจำกัดของร่างกายได้ ซึ่งบ่อยครั้ง ฉันก็ไม่ได้เฉลียวใจนัก จนกระทั่งฉันได้กระทำมันมากจนเกินไป. ดังนั้น ถึงแม้จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง "ถูกต้อง" ก็ไม่เป็นการยืนยันว่า ตัวฉันเองจะกำจัดความเจ็บปวดนี้. ฉันได้เรียนรู้ ต่อการให้สละเอาความต้องการทั้งหลายออกไปเสีย เพื่อจะทำให้ร่างกายดีขึ้นกว่าเก่า, และฉันก็ได้เรียนรู้ว่า ฉันยังคงมีชีวิตปรากฎตัวให้เห็นอยู่ ถึงแม้ว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว. ในตอนนี้, ตามทางทฤษฎี, ฉันควรที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้จากวิธีการแบบอื่น, และบางทีนั้น ฉันอาจจะได้เรียนรู้มันไปแล้วก็ได้. แต่ความจริงของชีวิตฉันนั้น ก็คือว่า ฉันได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ โดยการผ่านความเจ็บปวดของฉัน --- และฉันก็ได้สำนึกในบุญคุณต่อบทเรียนเหล่านี้, ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นความเจ็บปวด.

This is suggesting that you write down the ten most difficult things that ever happened to you. As you look over the list, can you see the gifts that each of them brought? When you are suffering from some difficulty whose blessing is invisible to you, try saying the following: "I am willing to see the gift in this experience. May the lessons be revealed to me, and may I become stronger and clearer. "

เรื่องนี้เป็นข้อแนะนำให้เห็นว่า คุณควรลองเขียนสิ่งที่ยากลำบากที่สุดสิบอย่างซึ่งเคยเกิดขึ้นกับตัวคุณได้ลงไปบนกระดาษ. เมื่อคุณได้ตรวจตราในรายการเหล่านั้น, คุณสามารถมองเห็นของขวัญซึ่งมีคุณค่าที่แต่ละอย่างได้นำมาให้กับตัวคุณหรือเปล่า? เมื่อคุณมีความทุกข์จากสิ่งที่ยากลำบากบางอย่าง ซึ่งคุณไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ดีงามที่อยู่ในนั้นได้, พยายามพูดแบบนี้ให้กับตัวคุณเอง. "ฉันตั้งใจยินดีที่จะเห็นของขวัญล้ำค่าในประสบการณ์เรื่องนี้. ขอให้บทเรียนเหล่านี้ จงได้เผยออกมาให้ฉันได้ทราบ, และขอให้ฉันมีความแข็งแกร่งและเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเก่าด้วย."

***************************************

อาทิตย์นี้งานเยอะมาก แต่จะพยายามแปลเรื่องสั้นๆ ไว้ให้ครับ จะได้ติดต่อกัน ไม่ขาดมากนัก ขอบคุณครับ

ทบพร

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 41
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 25 ก.พ. 2552  เวลา 01:58:26   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Back to Routine" กลับไปสู่กิจวัตรประจำวัน

Now that summer vacation is over and everything is getting back to "normal", some families are finding it difficult to settle down into a structured schedule. Simple things like doing homework, getting out of the house on time, sticking to a study program and doing regular exercise seem like insurmountable goals.

ตอนนี้ ช่วงเวลาหยุดในฤดูร้อนก็ได้สิ้นสุดลงแล้วและทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังกลับมาเป็นไปสู่ "ปรกติ", ครอบครัวบางครอบครัวก็ยังพบว่าเป็นสิ่งที่ยากพอสมควรต่อการมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตารางเวลาที่กำหนดไว้อย่างเป็นระเบียบ. สิ่งง่ายๆ เป็นต้นว่า การบ้าน, ออกจากบ้านอย่างตรงเวลา, ยึดมั่นอยู่กับโปรแกรมการศึกษาและกระทำการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ดูเหมือนว่าเป็นเป้าหมายที่ยากเกินกว่าที่จะจัดการได้.

Here*s some advise from the experts: One of the greatest mistakes people make is to aim so high, to visualize such a lofty ideal, that they will inevitably be disappointed when their many goals are unfulfilled, and consequently, they give up.

ที่จะกล่าวต่อไปนี้คือคำแนะนำบางอย่างจากผู้เชี่ยวชาญ: ความผิดพลาดอย่างมหันต์เรื่องหนึ่งที่ผู้คนธรรมดาได้กระทำก็คือว่า ตั้งเป้าหมายมันสูงเกินไป, นึกภาพจินตนาการเกี่ยวกับอุดมคติที่หรูหรา, ซึ่งพวกเขาก็จะประสบความผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเป้าหมายหลายข้อนั้น ไม่สามารถกระทำให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างน่าพอใน, และผลสุดท้ายนั้นก็คือว่า, พวกเขาก็ล้มเลิกหยุดทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด.

1. Start small. Choose one goal at a time. The ladder of success requires a person to climb, one rung at a time, one goal at a time.
1. เริ่มที่สิ่งเล็กๆ. เลือกจุดประสงค์เดียวแต่ละครั้ง. บันไดไปสู่ความสำเร็จต้องการให้บุคคลผู้นั้นไต่ขึ้นไป, ทีละขั้นต่อหนึ่งครั้ง, จุดมุ่งหมายข้อเดียวต่อหนึ่งครั้ง.

2. Select your goals wisely. Decide which goals are the most fundamental, the most essential, and focus on them. The less important goals will follow in their wake.

2. เลือกจุดมุ่งหมายอย่างเฉลียวฉลาด. ตัดสินใจว่าจุดมุ่งหมายใดที่เป็นพื้นฐานอย่างมากที่สุด, มีความจำเป็นอย่างมากที่สุด, และเน้นความสนใจไปยังจุดประสงค์นั้นๆ. จุดประสงค์ที่มีความสำคัญน้อยกว่าก็จะตามเข้ามาเองทีหลัง.

3. Choose an area in which you or they are already motivated. This step is especially important in aiding children to achieve their goals. Once a person feels he has achieved success, even with an "easy" goal, his motivation to achieve harder goals will increase.

3. เลือกพื้นที่ซึ่งคุณหรือพวกเขาได้ถูกกระตุ้นสนใจอยู่อย่างเรียบร้อยแล้ว. ขั้นนี้เป็นขั้นที่สำคัญอย่างพิเศษในการช่วยเหลือเด็กๆ เพื่อบรรลุความสำเร็จตามจุดประสงค์ที่พวกเขาได้ตั้งไว้. ทันทีที่บุคคลผู้หนึ่งมีความรู้สึกว่า เขาได้บรรลุถึงความสำเร็จ, ถึงแม้ว่าจะเป็น จุดประสงค์ "ที่ง่ายดาย", แรงจูงใจของเขาเพื่อที่จะบรรลุถึงจุดประสงค์ที่ยากกว่านั้นก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย.

4. Change the mood. Try to foster a positive spirit in the family of focusing on success. An atmosphere of encouragement is much more stimulating than one of criticism.

4. เปลี่ยนอารมณ์. พยายามควบคุมรักษาความรู้สึกในแง่ที่ดีภายในครอบครัวโดยการเน้นความสนใจไปยังความสำเร็จ. บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความปลุกใจสนับสนุนช่วยเหลือจะส่งแรงกระตุ้นให้มากยิ่งกว่าภายในบรรยากาศที่มีแต่ในแง่ของการวิจารณ์.

5. Appreciate the little successes along the way. Praise yourself, and praise your family members.

5. ชื่นชมในความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยๆ โดยเสมอ. ยกย่องตนเอง, และชมเชยสมาชิกในครอบครัวของคุณ.

This is to say that achieving your goal is a process that takes time. Don*t give up if you lose focus temporarily. Get back on the ladder, and you*ll soon notice how your goals have gradually been achieved.

เรื่องนี้ก็เป็นกล่าวให้ทราบว่า การบรรลุถึงจุดประสงค์ของคุณนั้นคือกระบวนการที่จะต้องใช้เวลา. อย่าได้ล้มเลิกถ้าคุณสูญเสียการเน้นความสนใจไปเพียงชั่วครั้งชั่วคราว. กลับเข้ามาไต่บันไดต่อไป, และในไม่ช้า คุณก็จะสังเกตุเห็นได้ว่า จุดมุ่งหมายของคุณนั้นได้เริ่มบรรลุผลให้เห็นอย่างทีละเล็กทีละน้อย.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 42
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 26 ก.พ. 2552  เวลา 05:39:14   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Inquiring Within" สอบถามความในใจ

So many of us are in the habit of looking "Out There" for our answers, invalidating our own inner wisdom by assuming that, in some magical way, others may be wiser than we, even about what is good for us. We become other-directed rather than self-directed. One of the biggest reasons for this behavior is that we are terrified of making mistakes. If we follow someone else*s counsel, then it*s his or her fault if things go wrong. But if we are to take charge of our own lives, we must have the courage to inquire within, find our own answers, and make our own mistakes.

พวกเราหลายคนนั้น มีความเคยชินต่อการมองหาคำตอบของเราเอง "อยู่แต่เพียงภายนอก", ลบล้างสติปัญญาที่มีอยู่ภายในของพวกเราเองโดยการสันนิษฐานว่า, ในวิธีการที่มหัศจรรย์บางอย่าง, คนอื่นนั้น อาจจะมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าตัวของพวกเราเอง, แม้กระทั่งถึงกับว่าสิ่งอะไรที่ดีสำหรับพวกเรา. เราเริ่มเป็นบุคคลที่ให้คนอื่นกำกับการ แทนที่จะกำกับการด้วยตัวของเราเอง. เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของพฤติกรรมนี้ก็คือว่า พวกเราเองนั้นมีความหวาดกลัวต่อการกระทำที่ผิดพลาด. ถ้าเรากระทำตามคำแนะนำของบุคคลอื่น, ที่ตามมานั้น ก็จะเป็น ข้อบกพร่องของเขาหรือของเธอ ถ้ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดผิดพลาดขึ้นมา. แต่ถ้าเราควบคุมดูแลชีวิตของตัวเราเอง, เราต้องมีความกล้าต่อการสอบถามภายในใจ, หาคำตอบสำหรับตัวเราเอง, และกระทำความผิดด้วยตัวของเราเอง.

Some times my friends say, "I don*t know" when I ask what they want or need in order to be able to make changes in their lives. To free them from their own inner pressure to give the perfect answer I ask, "Well, if you were to take a guess, what would it be?" Almost always they have an immediate and right-on "guess". We are our own best experts. We know what we should do. We are only afraid we don*t know or afraid that our knowing will be wrong. It takes courage to listen to ourselves and act on what we hear.

บางครั้ง เพื่อนของฉันได้กล่าวว่า, "ฉันไม่ทราบ" เมื่อฉันถามว่าเขาต้องการหรือควรทำอะไรเพื่อสามารถกระทำการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขา. ปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากความกดดันภายในของพวกเขาเอง เพื่อที่จะให้คำตอบที่สมบูรณ์ต่อคำถามที่ฉันถามไว้, "ดีละ, ถ้าคุณสามารถที่จะเดาได้, สิ่งนั้นมันควรจะเป็นอะไรล่ะ? " พวกเขาก็จะมี "การเดา" ออกมาให้ทราบโดยทันทีและแม่นยำถูกต้องอยู่อย่างเกือบทุกครั้งไป. พวกเรานั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องของตัวเราเอง. พวกเราทราบว่า เราควรจะกระทำอะไร. พวกเราเท่านั้นที่กลัวว่าเราไม่รู้หรือกลัวที่ว่า สิ่งที่เรารู้ทราบนั้น จะผิดไป. ต้องเอาความกล้าออกมาต่อการฟังเสียงตนเองและปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้ยินมาด้วย.

This is to say that we can learn to trust ourselves by inquiring within. To practice doing this, sit quietly, close your eyes, and for a moment focus your attention on your breathing. Gently visualize your inner wisdom as a graceful butterfly. Admire her beauty, and encourage your butterfly to sit on your shoulder and whisper her wisdom in your ear. Be still and listen. We do now what we want and need, and we can have the courage to accept the results and the rewards of inquiring within.

เรื่องนี้ก็จะกล่าวให้ทราบว่า เราสามารถเรียนรู้ให้ความเชื่อมั่นต่อพวกเราเองโดยการสอบถามภายในใจเรา. การปฎิบัติต่อการกระทำอย่างนี้, ควรจะนั่งลงอย่างเงียบสงบ, หลับตาของคุณลง, และเพียงชั่วขณะหนึ่ง เน้นความสนใจไปยังการหายใจของคุณ. พยายามสร้างจินตนาการอย่างอ่อนโยนโดยใช้สติปัญญาภายในของคุณ เหมือนกับผีเสื้อที่กำลังบินอยู่อย่างอ่อนช้อย. ชื่นชมในความงามของตัวผีเสื้อ, และให้กำลังใจกับผีเสื้อของคุณนั้น มานั่งเกาะอยู่บนไหล่และกระซิบบอกความเฉลียวฉลาดของเธอให้ฟังในหูของคุณ. พยายามนิ่งสงบและตั้งใจฟัง. ตอนนี้ เราได้กระทำแล้วในเรื่องที่ว่าเราต้องการและควรทำอะไร, และเราก็สามารถเกิดความกล้าที่จะยอมรับผลและรางวัลตอบแทนของการสอบถามความในใจแล้ว.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 43
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 27 ก.พ. 2552  เวลา 03:42:46   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Kicking the Approval Habit" เลิกนิสัยการขอความเห็นชอบออกไปเสีย

One of the most insidious addictions we struggle with is our craving for approval from others. When our need for validation gets in the way of our being who we truly are, we*re in trouble. Fueled by a belief that we need their approval in order to be ok, we scurry around looking for "self" esteem from suppliers that are outside of ourselves. It doesn*t work.

สิ่งหนึ่งที่เราต้องดิ้นรนติดพันอยู่อย่างมีเงื่อนงำที่สุดก็คือความต้องการของเราที่จะขอความเห็นชอบจากผู้อื่น. เมื่อความต้องการรับรองความถูกต้องของเราเ ได้เข้ามาขัดขวางต่อความเป็นตัวของตัวเราเองนั้น, เราก็จะประสบปัญหาอย่างแน่. ด้วยพลังที่มาจากความเชื่อที่ว่า เราต้องการความเห็นชอบจากผู้อื่นเพื่อจะเป็นที่ถูกต้อง, เราก็จะรีบจ้ำอ้าวไปหา ความนิยมชมชอบเพื่อ " ตัวเราเอง" จากผู้ที่สามารถสรรหาซึ่งอยู่รอบๆ ภายนอกของตัวเราให้ได้. เรื่องนี้ไม่ทางสำเร็จแน่ๆ.

Of course, we all need people to appreciate us, but our primary source of approval needs to come from ourselves. The very best way to kick the approval habit is to support and approve of ourselves. This doesn*t mean that we overlook our shortcomings or pat ourselves on the back for being nasty, but, in my experience, I have seen very few people who err on the side of being too easy on themselves.

เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุดที่ว่า, เราทั้งหมดต้องการให้ผู้คนทั้งหลายชื่นชอบเห็นคุณค่าในตัวเรา, แต่ทว่าต้นกำเนิดเบื้องต้นของเราต่อการขอความเห็นชอบนั้น มาจากตัวของเราเอง. วิธีการที่ดีที่สุดต่อการเลิกนิสัยในเรื่องการขอความเห็นชอบออกไปเสียก็คือ ต้องสนับสนุนและเห็นดีเห็นชอบให้กับตนเองเสียก่อน. เรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะมองข้ามปมด้อยของตัวเราหรือยกย่องสรรเสริญตนเองเนื่องจากกระทำการอย่างน่ารังเกียจ, แต่, ในประสบการณ์ของฉันนั้น, ฉันได้เห็นคนสองสามคนซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดพลาด เนื่องจากให้ความมักง่ายกับตนเองจนเกินไป.

Authentic self-approval naturally leads to increased approval of others. Maya attracts friends like flowers attract bees. She is a heart-lifter; around her everyone feels better about themselves. She always seems to have a sincere word of praise for those around her.

ความเห็นชอบต่อตนเองอย่างแท้จริงตามธรรมชาตินั้น นำไปสู่การเพิ่มความเห็นชอบจากผู้อื่น. มายาได้ดึงดูดความสนใจจากเพื่อนของเธอประหนึ่งดังดอกไม้ซึ่งถูกตอมอยู่ด้วยฝูงผึ้ง. เธอเป็นผู้ก่อให้เกิดความโล่งอกสบายใจ; บุคคลทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอนั้น มีความรู้สึกที่ดีกับตนเองมากกว่าเก่า. ดูเหมือนว่า เธอมีคำพูดต่อการสรรเสริญชมเชยผู้คนรอบข้างเธออย่างจริงใจอยู่เสมอๆ.

But others are not the only recipients of her approval. She is also very self-confident and comfortable about bestowing accolades on herself. It*s not unusual for her, in an unaffected and honest way, to say something like "I am so proud of the way I handled that!" Asked if she had always been so kind to herself, she giggled, "Oh no, I used to be my own worst enemy, but I learned to be my own best friend instead!"

แต่คนอื่นๆ นั้น ไม่เพียงแต่เป็นผู้รับความเห็นชอบจากเธอเท่านั้น. เธอยังเป็นบุคคลที่มีความมั่นใจสูงและอบอุ่นใจ ต่อการให้รางวัลชมเชยกับตนเองอีกด้วย. ไม่เป็นเรื่องที่ผิดปรกติอะไรสำหรับตัวเธอ, ในวิธีการที่ปราศจากมารยาและสุจริตใจ, เมื่อเธอกล่าวบางอย่างเป็นต้นว่า "ฉันมีความภูมิใจอย่างยิ่งต่อวิธีการที่คุณได้จัดการกับมัน! " ถ้าถามว่า ตามปรกติแล้วเธอมีความอ่อนโยนนุ่มนวลต่อตนเองอย่างนี้โดยเสมอหรืออย่างไร, เธอก็หัวเราะคิกคัก, "โอ้ ไม่ใช่หรอก, แต่ก่อนฉันเคยเป็นศัตรูคู่อริที่น่ากลัวที่สุดกับตนเอง, แต่ฉันได้เรียนรู้ให้เปลี่ยนกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแทนเสียเท่านั้นเอง! "

This is to remind that when we learn to accept who we are right now and celebrate who we are becoming, we can kick the approval habit and rely on ourselves for our best approval fixes.

เรื่องนี้เป็นการเตือนใจให้ทราบว่า เมื่อเราได้เรียนรู้เพื่อยอมรับว่า ตัวของเราเป็นใครในขณะนี้และยกย่องว่าตัวเรากำลังจะเป็นใครในเวลาข้างหน้า, เราก็สามารถเลิกนิสัยการขอความเห็นชอบออกไปและพึ่งตัวของเราเอง เพื่อการแก้ปัญหาของการขอความเห็นชอบให้ได้อย่างที่ดีที่สุด.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 44
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 28 ก.พ. 2552  เวลา 01:10:23   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Loving Another*s Inner Child" ให้ความรักกับเด็กน้อยภายในตนเองอีกคนหนึ่ง

There are times when another person*s inner child treats us badly. It*s very tempting to react from our own inner child and either become defensive or feel victimized. Since courage is partly having the willingness to do what we know is right, even though it is difficult, it is courageous to choose to act lovingly when faced with someone*s petulant inner child.

มีหลายครั้งหลายครา เมื่อเด็กน้อยที่อยู่ในตัวเราอีกคนหนึ่งได้ปฎิบัติกับเราอย่างย่ำแย่. มันเป็นเรื่องที่ยั่วใจต่อการเกิดปฎิกิริยาโต้ตอบจากเด็กน้อยในตัวของเราเอง และเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นผู้ปกป้องหรือรู้สึกว่าเป็นผู้รับเคราะห์แทน. เพราะว่าความมีความกล้าหาญเป็นความสมัครใจบางส่วน ที่ต้องการกระทำสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง, ถึงแม้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากก็ตาม, เป็นเพราะความกล้านี่แหละ ที่จะเลือกการกระทำด้วยการแสดงความรักใคร่เมื่อเผชิญกับเด็กน้อยภายในตัวของบุคคลบางคนซึ่งเป็นเจ้าอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย.

Molly*s adult son was going through a period of blaming her for his unhappiness. After their initial conversation concerning his feelings about her failures as a mother, she was a wreck- alternately enraged and grief-stricken. She didn*t sleep all night and the entire roof of her mouth became one big cancer sore. Then she began to comfort and console her inner child, who was so ready to take the blame for her son*s life, by reminding herself of all the good things she had said and done. With continual reassurance that she had done the best she could, she was eventually able to respond appropriately to her son*s inner little boy.

ลูกชายที่โตเป็นหนุ่มของมอลลี่ได้ก้าวไปสู่ ช่วงเวลาที่กระทำการตำหนิเธออยู่เสมอ เนื่องจากความไม่สบายใจของเขา. หลังจากได้มีการสนทนากับบุคคลทั้งสองในตอนแรกเริ่ม เกี่ยวกับความรู้สึกของเขาแล้วว่า ตัวของมอลลี่นั้นได้ประสบความล้มเหลวต่อการเป็นแม่, เธอเป็นผู้ที่โมโหเกรี้ยวกราดสลับกับคิดแต่เรื่องความหายนะ และยังเป็นผู้ที่ติดเกาะอยู่กับความซึมเศร้าตลอดเวลา. เธอไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนและเพดานปากของเธอนั้น ก็เริ่มเจ็บปวดมากขึ้นเนื่องจากเป็นโรคมะเร็งภายในปาก. หลังจากนั้น เธอก็เริ่มปลอบโยนและปลอบให้เด็กน้อยในตัวของเธอสบายใจขึ้น, เพื่อที่ตัวเธอเองนั้นจะพร้อมต่อการรับเรื่องตำหนิที่ ตนเองเป็นผู้ทำให้ชีวิตของลูกชายเธอได้เป็นอย่างนั้น, โดยการเตือนใจเธอเอง เกี่ยวกับสิ่งที่ดีงามทุกอย่างที่เธอได้พูดและได้กระทำมาแล้ว. ด้วยก่อให้เกิดความมั่นใจขึ้นใหม่ที่มีอยู่อย่างต่อไปว่า เธอได้กระทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เธอสามารถทำได้แล้ว, ในท้ายที่สุดเธอก็สามารถที่จะตอบกลับไปอย่างเหมาะสมกับตัวเด็กน้อยซึ่งอยู่ภายในตัวของลูกชายเธอ.

When faced with raw, childish feelings in other feelings in other people we are often tempted to say, "Oh, grow up!" But we need to look behind the outer behavior and know that their inner children are crying out. With that awareness we have a greater capacity to nurture the child inside.

เมื่อเผชิญหน้าอยู่กับความรู้สึกที่หยาบช้า, อ่อนต่อโลกในความรู้สึกต่างๆ ของบุคคลอื่น ๆ เราจะถูกชักจูงยั่วใจให้พูดอยู่บ่อยๆ ว่า, "เอ้า, เมื่อไรจะโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เสียที! " แต่เราต้องการที่จะมองย้อนไปถึงเบื้องหลังของพฤติกรรมที่แสดงปรากฎให้เห็นและรู้ว่า ตัวเด็กน้อยๆ ที่อยู่ภายในเหล่านั้นกำลังร้องเรียกความสนใจอย่างเร่งด่วน. ด้วยการตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้, เราก็จะมีความสามารถที่ดีกว่า ในการอบรมบ่มนิสัยเด็กน้อยๆ ในตัวของเรา.

This is to say that if people do not allow us to nurture them, we can at least feel compassion for their hurting child, rather than intimidated or guilt-ridden by their facades. It is easier to do this if, in our mind*s eye, we see the adult we are dealing with as a two-year old. Imagining an appealing baby in distress will help keep us from feeling intimidated and, therefore, allow us to feel safe enough to love.

เรื่องนี้เป็นการกล่าวให้ทราบว่า ถ้าบุคคลผู้ใดไม่ต้องการให้เราตักเตือนเอาใจใส่กับพวกเขาแล้ว, อย่างน้อยที่สุด เราก็สามารถมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่พวกเขากำลังทำร้ายเด็กน้อยๆ ในตัวของพวกเขาเองอยู่, แทนที่จะรู้สึกว่าถูกข่มขู่หรืออยู่บนความรู้สึกผิดจากสิ่งที่กำลังหลอกพวกเขาอยู่. เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการกระทำถ้า, ในความคิดจากมุมมองที่เราเห็น, เราได้เห็นผู้ใหญ่ซึ่งเรากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น ดูเสมือนประหนึ่งว่าเป็นเด็กอายุสองขวบ. การสร้างจินตนาการให้เห็นว่า เด็กทารกน้อยผู้นี้กำลังร้องอ้อนวอนด้วยความกังวลใจ จะช่วยทำให้เราออกมาจากความรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่และ, ดังนั้นแล้ว, ก็จะยอมให้เรามีความรู้สึกปลอดภัยพอสมควรที่จะแสดงความรักออกไปให้เขาได้เห็นได้.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 45
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 03 มี.ค. 2552  เวลา 04:53:08   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

"Warren Buffet*s advice for 2009" คำแนะนำของวอร์เร็น บัฟเฟท สำหรับปี 2009

We begin this New Year with dampened enthusiasm and dented optimism. Our happiness is diluted and our peace is threatened by the financial illness that has infected our families, organizations and nations. Everyone is desperate to find a remedy that will cure their financial illness and help them recover their financial health. They expect the financial experts to provide them with remedies, forgetting the fact that it is these experts who created this financial mess.

เราเริ่มปีใหม่ปีนี้ ด้วยความกระตือรือร้นที่ถูกลดลงจนหดหู่ใจและมุมมองในแง่ดีที่ถูกกดลงมาจนเป็นรอยบุบเบี้ยว. ความสุขของพวกเราได้ถูกเจือจางลงไปและความสงบจิตสงบใจของพวกเราก็ถูกคุกคามไปด้วยความเจ็บป่วยทางการเงินที่ลามติดมาถึงครอบครัว, องค์กร และประเทศของพวกเรา. ทุกๆ ท่าน รู้สึกหมดหวังต่อการที่จะค้นพบแก้ไขเพื่อที่จะรักษาความเจ็บป่วยทางการเงินและช่วยให้พวกเขาฟื้นสุขภาพทางการเงินเหล่านี้ขึ้นมาได้. พวกเขาก็หวังที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินนั้น ออกมาหาหนทางวิธีแก้ไขให้กับพวกเขา, โดยลืมไปว่า ตามความจริงนั้นก็คือ พวกผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้นั่นแหละ ที่เป็นตัวการก่อให้เกิดปัญหาภาวะยุ่งเหยิงทางการเงินในเรื่องนี้.

Every new year, I adopt a couple of old maxims as my beacons to guide my future. This self-prescribed therapy has ensured that with each passing year, I grow wiser and not older. This year, I invite you to tap into the financial wisdom of our elders along with me, and become financially wiser.

ทุกๆ ปีใหม่, ผมได้นำเอาหลักการปฎิบัติที่เป็นความจริงเก่าๆ สองเรื่อง เข้ามาปรับใช้ เสมือนกับไฟสัญญาณซึ่งส่องแนะแนวให้กับอนาคตของผม. วิธีการบำบัดรักษาให้กับตัวเองที่แนะนำให้นั้น ได้ทำความมั่นในทุกๆ ปีที่ผ่านมา, ผมได้แก่ขึ้นในความฉลาดและไม่ใช่เพราะว่ามีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น. ในปีนี้, ผมขอเชิญให้คุณ ลองไปแตะอยู่กับความเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมทางด้านการเงินของผู้เฒ่าอาวุโสของพวกเราพร้อมๆ กันกับผม, และเพื่อเริ่มให้มีความรู้แจ้งอย่างแจ่มชัดในเรื่องการเงินนี้.

* Hard work: All hard work brings a profit, but mere talk leads only to poverty.

* ขยันหมั่นเพียรในทำงาน: งานหนักทุกอย่างนำผลกำไรเข้ามา, แต่ทว่าถ้าเป็นเพียงคำพูด ก็เป็นหนทางเดียวที่นำไปสู่ความยากจน.เท่านั้น

* Laziness: A sleeping lobster is carried away by the water current.

* ความเกียจคร้าน: กุ้งทะเลตัวใหญ่ที่นอนหลับอยู่ จะถูกพัดพาออกไปที่ไหนๆ ก็ได้โดยกำลังจากกระแสน้ำ.

* Earnings: Never depend on a single source of income. [At least make your Investments get you second earning.]

* เงินที่หามาได้: อย่าได้ไปพึ่งแหล่งที่มาของรายได้แต่เพียงแห่งเดียว. [อย่างน้อยที่สุด ควรจะให้การลงทุนอีกต่างหากของคุณนั้น ให้กลายเป็นแหล่งที่สองของเงินที่หาเข้ามาได้.]

* Spending: If you buy things you don*t need, you*ll soon sell things you need.

* การจับจ่ายใช้สอย: ถ้าคุณไปซื้อสิ่งของที่คุณไม่มีความต้องการ, ในไม่ช้านัก คุณก็จะต้องขายสิ่งของที่คุณมีความต้องการออกไป.

* Savings: Don*t save what is left after spending; Spend what is left after saving.

* การเก็บหอมรอมริบ: อย่าไปคิดเก็บหอมรอมริบอะไรจากเงินที่เหลือหลังจากการจับจ่ายใช้สอย; ควรจะจับจ่ายใช้สอยจากเงินที่เหลือหลังจากที่ได้กระทำการเก็บหอมรอมริบไปแล้ว.

* Borrowings: The borrower becomes the lender*s slave.

* การกู้ยืม: ผู้ที่กระทำการกู้ยืมก็เริ่มกลายเป็นทาสของผู้ที่ให้ยืมนั่นเอง.

* Accounting: It*s no use carrying an umbrella, if your shoes are leaking.

* การบัญชี: มันเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ต่อการจะถือร่ม, ถ้ารองเท้าของคุณนั้น เต็มไปด้วยรอยรั่วโหว่อยู่ ยังไม่สามารถกั้นน้ำได้.

* Auditing: Beware of little expenses; A small leak can sink a large ship.

* การตรวจสอบบัญชี: ควรระวังถึงเรื่องรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ. รอยรั่วเล็กๆ รูเดียว ก็สามารถทำให้เรือลำใหญ่อัปปางจมลงได้.

* Risk-taking: Never test the depth of the river with both feet. [Have an alternate plan ready]

* การเสี่ยงโชค: ไม่ควรกระทำการทดสอบความลึกของแม่น้ำ ด้วยการใช้ขาทั้งสองข้างเลย. [ควรจะมีแผนสำรองให้พร้อมสรรพอยู่อย่างเรียบร้อยแล้ว]

* Investment: Don*t put all your eggs in one basket.

* การลงทุน: อย่าได้นำเอาไข่ไก่ทั้งหมด มาใส่ไว้อยู่ในตะกร้าใบเดียวกัน.

I*m certain that those who have already been practicing these principles remain financially healthy. I*m equally confident that those who resolve to start practicing these principles will quickly regain their financial health.

ผมมีความแน่ใจว่า ท่านผู้ที่ได้ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้มาอย่างดีพร้อมแล้ว ก็จะมีสุขภาพทางการเงินคงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง. ผมมีความมั่นใจอย่างเท่าเทียมกันว่า บุคคลผู้ใดที่แก้ปัญหาโดยการเริ่มปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ ก็จะได้สุขภาพทางการเงินที่ดีกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว.

With Best Regards,

ด้วยความเคารพอย่างที่สุด,

Warren Buffet

วอร์เร็น บัฟเฟท



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 46
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 03 มี.ค. 2552  เวลา 10:31:16   IP :(203.158.211.80)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
comment 46...

คำแนะนำของวอร์เร็น บัฟเฟท สำหรับปี 2009

เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในยุคของวิกฤติเศรษฐกิจ

ขอบคุณมากค่ะลุงอ้าย


 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 47
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 03 มี.ค. 2552  เวลา 13:22:40   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
วันละครั้งฯ

หายไปสองครั้ง สองเรื่อง ในสองวัน
ลงแดงสองวัน

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 48
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 04 มี.ค. 2552  เวลา 01:57:53   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Pickup in the Rain รับขึ้นรถภายใต้สายฝน

One night, at 11:30 PM, an older African American woman was standing on the side of an Alabama highway trying to endure a lashing rain storm. Her car had broken down and she desperately needed a ride. Soaking wet, she decided to flag down the next car. A young white man stopped to help her - generally unheard of in those conflict-filled 1960s. The man took her to safety, helped her get assistance and put her into a taxi cab. She seemed to be in a big hurry! She wrote down his address, thanked him and drove away.

ในคืนหนึ่ง, ประมาณ 23:30 น., ผู้หญิงชราผิวดำคนหนึ่งได้ยืนอยู่บนขอบถนน ของทางด่วนในมลรัฐอลาบาม่า พยายามที่จะอดทนอยู่กับพายุฝนฟ้าคะนองที่ตกลงมาเป็นสายอย่างต่อเนื่อง. รถยนต์ของเธอได้เสียลงและเธอต้องการที่จะหารถเพื่อเดินทางไปให้ถึงจุดหมายอย่างเต็มที่. ชุ่มไปด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอน, เธอตัดสินใจที่จะให้สัญญาณโบกรถคันที่ผ่านต่อมา. ผู้ชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งได้หยุดรถ เพื่อที่จะช่วยเหลือเธอ – ซึ่งถ้าเป็นเรื่องตามปรกติแล้วนั้น ไม่เคยได้ยินกันในสมัยที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในปีทศวรรษ 1960 อยู่. ผู้ชายคนนี้ก็ได้นำเธอไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างสวัสดิภาพ, ช่วยให้เธอได้รับการดูแลและเรียกแท๊กซี่มาให้เธอด้วย. เธอดูเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในความรีบเร่งเป็นอย่างยิ่ง! เธอได้เขียนที่อยู่ของชายหนุ่มนี้ลงไปในกระดาษ, และกล่าวขอบคุณเขา และจากนั้นก็ออกไปจากสถานที่แห่งนั้น.

Seven days went by and a knock came on the man*s door. To his surprise, a giant console color TV was delivered to his home. A special note was attached. It read: "Thank you so much for assisting me on the highway the other night. The rain drenched not only my clothes but my spirits. Then you came along. Because of you, I was able to make it to my dying husband*s bedside just before he passed away. God bless you for helping me and unselfishly serving others."

เวลาผ่านไปเจ็ดวันและก็มีเสียงเคาะเรียกที่หน้าประตูบ้านของชายหนุ่มผู้นั้น. เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก, โทรทัศน์สีเครื่องใหญ่เครื่องหนึ่งได้ถูกนำมาส่งไว้ที่บ้านของเขา. มีบันทึกข้อความอย่างพิเศษแนบติดกลับมาด้วย. เขียนไว้ว่า "ขอขอบพระคุณคุณเป็นอย่างมากที่ได้ช่วยเหลือฉันบนทางด่วนเมื่อหลายคืนที่แล้ว. สายฝนนั้น ไม่ได้เพียงทำให้เสื้อผ้าของฉันเปียกชุ่มเท่านั้น แต่ยังได้ทำให้กระทบไปถึงความรู้สึกในอารมณ์ของฉันด้วย. หลังจากนั้น คุณก็มาแก้ไขเรื่องเหล่านี้ให้ดีขึ้น. เพราะว่าคุณนั่นแหละ, ฉันถึงได้สามารถมาถึงขอบเตียงของสามีของฉัน ผู้ซึ่งกำลังป่วยหนัก ก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิตลงพอดี. พระผู้เป็นเจ้าท่านได้ทรงประทานพรให้กับคุณ เพื่อที่ช่วยเหลือฉันและปรนนิบัติผู้อื่นด้วยความเมตตาจิตปราศจากความเห็นแก่ตัว."

Lessons: บทเรียนที่ได้รับจากเรื่องนี้:

* Offer help to anyone who needs it

* เสนอให้ความช่วยเหลือต่อบุคคลใดๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องการอยู่

* Thank others for helping you.

* ขอบคุณท่านเหล่านั้น สำหรับการที่ช่วยเหลือคุณไว้

* If you help someone, someone will help you.

* ถ้าคุณได้ช่วยเหลือบุคคลใดๆ ก็ตาม, คุณก็จะได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆ ด้วย.

If everyone does just these, the whole world will live in happiness.

ถ้าทุกๆ คนเพียงแต่กระทำเรื่องเหล่านี้, โลกทั้งโลกก็จะอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขอย่างโดยสันติ.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 49
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 04 มี.ค. 2552  เวลา 02:01:57   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
ความเห็นที่ 47 และ 48

สวัสดีอำแดงอ้อย และ ท่าน PK (บางยี่ขัน)

ขอบคุณครับสำหรับ comments จะพยายามแปลวันละเรื่อง ยกเว้น เสาร์ อาทิตย์ นะครับ ขอให้มีวันหยุดบ้าง เพื่อที่จะรวบรวมเรื่องต่างๆ ที่ค้างอยู่ในอีเมล์น่ะครับ

ท่าน PK [บางยี่ขัน] เวลาผมแปล ส่วนใหญ่จะอยู๋ที่ที่ทำงาน ก็คงเป็นราวๆ วันอังคารเช้า ถึง วันเสาร์เช้า ในเวลาที่เมืองไทยครับ ถึงจะได้โพสต์อ่านกัน

ตอนนี้งานยุ่งมากๆ แต่ก็จะพยายามแปลให้ได้วันละหนครับ ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามครับ

ทบพร

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 50
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

 tamrak
 Posted : 05 มี.ค. 2552  เวลา 01:08:48   IP :(65.197.19.244)
คลิ๊กที่ภาพ

A Million Dollar Lesson บทเรียนอันหาค่ามิได้

by : Petey Parker โดย พีที่ พาร์คเกอร์


A cab driver taught me a million dollar lesson in customer satisfaction and expectation. Motivational speakers charge thousands of dollars to impart his kind of training to corporate executives and staff. It cost me a $12 taxi ride.

ผู้ขับรถแท๊กซี่คนหนึ่ง ได้สอนให้ฉันทราบถึงบทเรียนอันล้ำค่ำในเรื่องความพึงพอใจและความคาดหวังของลูกค้า. ผู้แสดงปราฐกถาในหัวข้อเรื่องการจูงใจนั้น ได้เก็บเงินหลายพันเหรียญสหรัฐเพื่อการนำความรู้เหล่านี้ไปให้ใช้ในการฝึกสอนต่อผู้บริหารระดับสูงและผู้ทำงานภายในบริษัท. แต่ฉันเสียมันไปเพียงแค่ 12 เหรียญสหรัฐเท่านั้นในการนั่งรถแท๊กซี่ครั้งเดียว.

I had flown into Dallas for the sole purpose of calling on a client. Time was of the essence and my plan included a quick turnaround trip from and back to the airport. A spotless cab pulled up.

ฉันได้บินมาลงที่เมืองดัลลัสเพื่อจุดประสงค์เรื่องเดียวในการแวะเยี่ยมหาลูกค้าคนหนึ่ง. เวลาเป็นสาระที่สำคัญมากและแผนการของฉันก็คือเพียงเพื่อจะไปพบกันสักชั่วประเดี๋ยวเดียวแล้วก็กลับมาที่สนามบินอีก. แท๊กซี่ใหม่เอี่ยมปราศจากรอยขีดข่วนคันหนึ่งก็ได้เข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าฉัน.

The driver rushed to open the passenger door for me and made sure I was comfortably seated before he closed the door. As he got in the driver*s seat, he mentioned that the neatly folded Wall Street Journal next to me for my use. He then showed me several tapes and asked me what type of music I would enjoy.

ผู้ขับรถเปิดประตูผู้โดยสารให้กับฉันโดยอย่างรีบด่วนและตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฉันได้นั่งอย่างสะดวกสบาย ก่อนที่เขาจะปิดประตูรถ. เมื่อเขาไปนั่งอยู่ที่นั่งของคนขับแล้ว, เขาก็เอ่ยขึ้นว่าหนังสือพิมพ์ วอลล์ สตรีท เจอร์นัลที่พับอยู่อย่างเรียบร้อยใกล้เบาะนั่งของฉันนั้น เป็นของฉันถ้าฉันอยากจะอ่านมัน. หลังจากนั้น, เขาก็ได้แสดงให้เห็นเทปหลายตลับและถามฉันว่า ดนตรีประเภทไหนที่ฉันชื่นชอบอยู่.

Well! I looked around for a "Candid Camera!" Wouldn*t you? I could not believe the service I was receiving! I took the opportunity to say, "Obviously you take great pride in your work. You must have a story to tell."

ดีจังเลย! ฉันมองดูรอบๆ ข้างเผื่อว่าจะมี "กล้องถ่ายภาพตอนเผลอ" ซ่อนไว้อยู่หรือเปล่า. คุณจะทำอย่างนี้หรือเปล่าถ้าหากว่าเป็นคุณน่ะ? ฉันไม่สามารถที่จะเชื่อได้เลยต่อบริการที่ฉันกำลังได้รับอยู่! ฉันก็เลยใช้โอกาสนั้นกล่าวขึ้นว่า, "เห็นอย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่า คุณมีความภาคภูมิใจอย่างมากต่องานอาชีพของคุณ. คุณต้องมีเรื่องที่จะเล่าให้ฉันฟังแน่ๆ."

"You bet," he replied, "I used to be in Corporate America. But I got tired of thinking my best would never be good enough. I decided to find my niche in life where I could feel proud of being the best I could be.

"คุณพูดถูกต้องทีเดียว," เขาได้กล่าวขึ้น, "ผมเคยทำงานอยู่ในบรรษัทแบบอเมริกานี่แหละ. แต่ผมเริ่มเบื่อหน่ายต่อความคิดที่ว่า การทำงานที่ผมทำไว้อย่างดีเลิศที่สุดนั้น มันก็ไม่เคยดีเพียงพอเท่าไรเลย. ผมก็เลยตัดสินใจที่จะค้นหาอาชีพที่เหมาะสมที่สุดในชีวิตของผม ซึ่งผมสามารถมีความภาคภูมิใจว่า สามารถกระทำได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมสามารถที่จะกระทำได้.

I knew I would never be a rocket scientist, but I love driving cars, being of service and feeling like I have done a full day*s work and done it well. I evaluate my personal assets and... wham! I became a cab driver.

ผมทราบว่า ผมนั้น ไม่สามารถจะเป็นวิศวกรหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ชาญฉลาดแบบสร้างจรวดได้, แต่ทว่าผมนั้น รักการขับรถ, โดยเฉพาะเรื่องการให้บริการและให้ความรู้สึกที่ว่า ผมได้กระทำมันอยู่ได้ตลอดทั้งวันและกระทำได้อย่างชนิดที่ดีด้วย. ผมประเมินคุณค่าทุกอย่างของตนเองและ...... ในที่สุดแล้ว! ผมก็ได้เริ่มกลายเป็นผู้ขับรถแท๊กซี่.

One thing I know for sure, to be good in my business I could simply just meet the expectations of my passengers. But, to be GREAT in my business, I have to EXCEED the customer*s expectations! I like both the sound and the return of being *great* better than just getting by on *average*"

สิ่งหนี่งที่ผมทราบอย่างแน่นอน, ในการที่จะเป็นเรื่องดีในธุรกิจของผมนั้น ผมก็เพียงแต่ทำให้พบกับการคาดหมายอย่างง่ายๆ ของผู้โดยสารของผมทุกคน. แต่ทว่า, การที่จะเป็นสิ่งที่ ดีอย่างเลิศเลอ ในธุรกิจของผมนั้น, ผมจะต้องทำให้ เกินกว่า ความคาดหมายของลูกค้าทุกๆ คน! ผมชอบที่จะได้ยินและได้รับคำกล่าวตอบกลับมาว่า *ยอดเยี่ยม* มากกว่าเพียงแต่ได้รับคำตอบที่เป็นเพียงที่ว่า *ดีใช้ได้*"

Did I tip him big time? You bet! Corporate America*s loss is the traveling folk*s friend!

ฉันให้ทิปก้อนใหญ่กับเขาหรือเปล่า? คุณก็เชื่อได้เลย! การสูญเสียของบรรษัทอเมริกานั้น ได้ก่อให้เกิดเพื่อนในแวดวงของผู้ร่วมเดินทาง!


Lessons: บทเรียนที่ได้รับมา:

* Go an Extra Mile when providing any Service to others.

* ทำให้ดีเลิศเกินค่าเมื่อให้บริการต่อทุกๆ บุคคล.

* There is no good or bad job. You can make any job good.

* ไม่มีงานอะไรที่ดีหรือเลว. คุณสามารถกระทำให้งานทุกชิ้นเป็นงานที่ดีได้.

* Good service always brings good return.

* บริการที่ดีนั้น นำเอาผลตอบแทนที่ดีกลับมาให้อยู่อย่างเสมอๆ.


 
 Comment : 51
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 05 มี.ค. 2552  เวลา 08:12:43   IP :(125.25.115.57)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
สวัสดีค่ะท่าน Tamrak :
เรื่องจาก Comment : A Million Dollar Lesson บทเรียนอันหาค่ามิได้
ชอบมาก ๆ เลยค่ะเรื่องนี้.... แต่จริง ๆ แล้วทุก ๆ เรื่องที่ได้อ่านมาทั้งหมดนั้น มีประโยชน์ มีข้อคิดดี ดีที่บางครั้งคนเราก็มองข้ามโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะนกขมิ้นเอง ก็มองข้ามไปซะบ่อย เช่นกัน ขอบคุณ และขอเป็นกำลังใจให้กับการร่วมสร้างสิ่งที่ ดี ดี มีประโยชน์กับสังคม....ยินดี และขอบคุณค่ะ

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 52
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 05 มี.ค. 2552  เวลา 09:45:16   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
ท่าน PK [บางยี่ขัน] เวลาผมแปล ส่วนใหญ่จะอยู๋ที่ที่ทำงาน ก็คงเป็นราวๆ วันอังคารเช้า ถึง วันเสาร์เช้า ในเวลาที่เมืองไทยครับ ถึงจะได้โพสต์อ่านกัน

ตอบ ท่านทบพร
น่าเห็นอกเห็นใจ ไม่มีเวลา ยังเจียดเวลาอันมาค่า นั่งแปลให้เพื่อน ๆ อ่าน อย่างนี้ ต้องยกนิ้วให้ " บุคคลแห่งการเสียสละ "
แฟ้มบุคคล " ขอปรบมือให้ "


ท่านทบพร
" วังบูรพาฯ " เป็นบ้านแห่งแรก (โก๋หลังวัง) เคยดูหรือเปล่า
" บางยี่ขัน " เป็นบ้านแห่งที่ สอง (เลิกดื่มสุรา แอลกอฮอล์ทุกประเภท มากว่า 15 ปี)
" บางบัวทอง " เป็นบ้านแห่งที่ สาม
" บ้านฉาง ระยอง " เป็นบ้านแห่งที่ สี่
" .................. " แห่งหนึ่งแห่งใด ในกรุงเทพฯ เป็นบ้านแห่งสุดท้ายในการดำรงชีวิต....

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 53
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 06 มี.ค. 2552  เวลา 02:09:47   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

DREAMS ความใฝ่ฝัน

A wonderful motivational story for any age….. เรื่องดลบันดาลใจที่อ่านได้ทุกผู้ทุกวัย

The first day of school our professor introduced himself and challenged us to get to know someone we didn*t already know. I stood up to look around when a gentle hand touched my shoulder.

วันแรกของภาคการศึกษา, ศาสตราจารย์ผู้สอนในห้องเรียนของพวกเราได้แนะนำตัวของเขาเองและได้เรียกร้องให้พวกเราไปทักทายกับบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งในชั้นเรียน ซึ่งเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหน้านั้น. ฉันยืนขึ้นและมองไปรอบๆ เมื่อมีมือข้างหนึ่งมาสัมผัสกับหัวไหล่ของฉันอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา.

I turned around to find a wrinkled, little old lady beaming up at me with a smile that that lit up her entire being.

ฉันมองหันหลังกลับไป ก็พบกับผู้หญิงชราร่างเล็กๆ ซึ่งมีรอยเxxx่ยวย่นบนใบหน้าคนหนึ่ง ส่งรอยยิ้มอย่างมีไมตรีจิต มองตรงมายังที่ตัวฉันซึ่งดูเสมือนว่าจะจุดประกายของเธอให้สว่างไสวอยู่ทั้งตัว.

She said, "Hi, handsome. My name is Rose. I*m eighty-seven years old. Can I give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you may!" and she gave me a giant squeeze.

เธอได้กล่าวขึ้นว่า, "สวัสดีจ้ะ, คุณหนุ่มรูปหล่อ. ฉันมีชื่อว่า โรสนะ. ฉันมีอายุ แปดสิบเจ็ดปี. ฉันขอกอดคุณทีนึงได้หรือเปล่าล่ะ?" ฉันหัวเราะและกล่าวตอบด้วยความกระปรี้กระเปร่าว่า, "เอาเลยตามสบายเลยนะครับ!" และเธอก็กอดบีบตัวฉันด้วยความรักอย่างอบอุ่นหนึ่งครั้ง.

"Why are you in college at such a young, innocent age?" I asked.

"ทำไมคุณยายถึงได้มาเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ทั้งๆ ที่อายุที่ยังเยาว์, ไร้เดียงสาอยู่อย่างนี้ล่ะครับ? "ฉันได้ถามขึ้นมา.

She jokingly replied, "I*m here to meet a rich husband, get married, have a couple of children, and then retire and travel."

เธอตอบกลับมาอย่างตลกๆ ว่า, "ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะหาสามีที่ร่ำรวยสักคนหนึ่ง, ไปแต่งงาน, มีลูกด้วยกันอีกสักสองคน, และ หลังจากนั้นแล้ว ก็เกษียณอายุ และก็เริ่มเดินทางเที่ยวไปในโลกกว้างน่ะซิ."

"No seriously," I asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this challenge at her age.

"แหม ไม่ใช่นะครับ ถามจริงๆ เหอะ ว่าเป็นเพราะอะไรครับ?" ฉันได้ถามขึ้น. ฉันมีความอยากรู้อยากเห็นว่าอะไรที่ได้กระตุ้นให้เธอมากระทำการท้าทายในชีวิตเมื่อเธอมีอายุถึงปูนนี้แล้ว.

"I always dreamed of having a college education and now I*m getting one!" she told me.

"ฉันมีความใฝ่ฝันอยู่เสมอ ในเรื่องที่ได้จบการศึกษาจากระดับมหาวิทยาลัยและในตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้รับมันจริงๆ แล้ว! " เธอได้กล่าวขึ้นกับฉัน.

After class we walked to the student union building and share a chocolate milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience with me.

หลังจากที่ชั้นเรียนได้เลิกแล้ว, เราก็ได้เดินมาด้วยกันที่ตึกของสมาคมนักเรียนและก็ทานช้อคโกแล้ทมิ้ลเชค (เครื่องดื่มปั่นด้วยนมกับไอศครีมช้อคโกแล้ท) จากแก้วเดียวกัน. เราเริ่มมีความสัมพันธ์อย่างฉันเพื่อนมิตรโดยทันที. ทุกๆ วัน ในระยะเวลาสามเดือนต่อมา เราก็ออกไปจากห้องเรียนด้วยกันและก็คุยแบบไม่หยุดเลยทีเดียว. ฉันมีความตะลึงใจอยู่เสมอเมื่อฟังเรื่องราวของ "เครื่องจักรของกาลเวลา" ชิ้นนี้ ซึ่งได้แบ่งปันเล่าเรื่องที่ประดับสติปัญญาความเฉลียวฉลาดและประสบการณ์ของเธอให้กับตัวของฉัน.

Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the attention bestowed upon her from the other students. She was living it up.

จนตลอดหลักสูตรทั้งปีนั้น, โรสก็ได้เริ่มเป็นสัญญลักษณ์ของวิทยาเขตแห่งนี้และเธอสามารถให้ความเป็นมิตรภาพกับใครต่อใครได้โดยอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเธอจะย่างไปที่แห่งไหน. เธอชื่นชอบกับการแต่งตัวให้ดูดีสุภาพและเพลิดเพลินสนุกสนานกับความสนใจที่มอบให้กับเธอโดยนักศึกษาอื่นๆ. เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นอย่างมีความสุขทีเดียว.

At the end of the semester we invited Rose to speak at our football banquet. I*ll never forget what she taught us. She was introduced and stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she dropped her three by five cards on the floor. Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and simply said, "I*m sorry I*m so jittery. I gave up beer for Lent and this whiskey is killing me! I*ll never get my speech back in order so let me just tell you what I know."

หลังจากที่ภาคการศึกษาได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกเราได้เชื้อเชิญให้โรส ไปกล่าวคำปราฐกถาที่งานเลี้ยงหลังจากการแข่งขันฟุตบอล. ฉันไม่เคยลืมเลยว่าเธอได้สอนอะไรให้กับพวกเราบ้าง. เธอได้ถูกแนะนำตัวและก้าวขึ้นสู่แท่นการพูด. จากนั้น เธอก็ได้เริ่มกล่าวคำสุนทรพจน์ที่เธอได้ตระเตรียมมาก่อนหน้านั้นแล้ว, แต่ทว่า เธอได้ทำการ์ดเล็กๆ แบบกว้าง สามนิ้ว ยาวห้านิ้วนั้น หล่นลงไปบนพื้นเวที. ด้วยความผิดหวังและรู้สึกขวยเขินกระดากอายนิดหน่อย เธอก็เลยเอนตัวเข้ามาที่ไมโครโฟนและกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า, "ฉันขอโทษด้วย ที่ฉันนั้นมีความว้าวุ่นใจอยู่มากทีเดียวในตอนนี้. ฉันหยุดดื่มเบียร์ตอนฤดูถือบวชทางศาสนาและเจ้าเหล้าวิสกี้นั้น มันก็กำลังจะฆ่าฉันอยู่ในตอนนี้! ฉันคงไม่สามารถเอาสุนทรพจน์ของฉันกลับมาตามที่ได้จัดไว้มาพูดอย่างแน่นอน ดังนั้น ก็ขอให้ฉันบอกกับพวกคุณว่าฉันได้รู้เรื่องอะไรมาบ้างก็แล้วกัน."

As we laughed she cleared her throat and began: "We do not stop playing because we are old; we grow old because we stop playing. There are only four secrets to staying young, being happy, and achieving success. " "You have to laugh and find humor every day. You*ve got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have so many people walking around who are dead and don*t even know it!"

หลังจากที่พวกเราได้หัวเราะกันแล้ว เธอก็ได้กระแอมไอในลำคอและเริ่มกล่าวขึ้นว่า: "พวกเราไม่สามารถที่จะเลิกกระทำการต่างๆ ได้เพราะว่าเรานั้นมีอายุแก่มากขึ้น; พวกเราเติบโตแก่ขึ้นเพราะว่าเรานั้นได้หยุดกระทำการต่างๆ. มีความลับอยู่เพียงสี่อย่างเท่านั้น ที่จะคงความเป็นหนุ่มสาวให้มีอยู่เสมอ, ทำใจให้เป็นสุข, และกระทำทุกอย่างที่ทำให้บรรลุประสบความสำเร็จ." "คุณควรที่จะต้องหัวเราะและหาเรื่องขบขันมาไว้ในชีวิตทุกๆ วัน. แล้วคุณก็จะต้องมีความใฝ่ฝันอยู่ด้วย. เมื่อไรก็ตาม ที่คุณได้ล้มเลิกความใฝ่ฝันของคุณ, คุณก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว. พวกเราจะเห็นว่ามีบุคคลหลากหลาย ที่เดินอยู่รอบข้างนั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ตายไปแล้วและถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขาเองก็ยังไม่ได้ตระหนักรู้ด้วยเลยเสียอีก! "

"There is a huge difference between growing older and growing up. If you are nineteen years old and lie in bed for one full year and don*t do one productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven years old and stay in bed for a year and never do anything I will turn eighty-eight. Anybody can grow older. That doesn*t take any talent or ability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in change."

"มีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงทีเดียวระหว่างการแก่ตัวมีอายุมากขึ้นกับการเจริญเติบโตขึ้น. ถ้าคุณมีอายุ สิบเก้าปีและยังนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม และ ไม่ได้กระทำอะไรที่ก่อให้เกิดผลขึ้นมาเลยสักอย่างเดียว, คุณก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีอายุยี่สิบปี. ถ้าฉันมีอายุแปดสิบเจ็ดปีและนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหนึ่งปีและไม่เคยได้กระทำอะไรขึ้นมาเลย ฉันก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีอายุแปดสิบแปดปี. ใครๆ ก็ตามก็สามารถแก่ตัวขึ้นมาได้. เรื่องนั้นไม่ต้องใช้พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอันใด. มโนคติเรื่องนี้ก็คือ เจริญเติบโตขึ้นมา เพื่อที่แสวงหาโอกาสต่างๆ อย่างโดยเสมอ แทนที่จะอยู่อย่างเฉยๆ ."

"Have no regrets. The elderly usually don*t have regrets for what we did, but rather for things we did not do. The only people who fear death are those with regrets."

"ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจอะไรอยู่ในตอนนี้. บุคคลที่ชราภาพนั้น ตามปรกติแล้ว จะไม่เศร้าโศกเสียใจกับสิ่งที่พวกเราได้กระทำลงไป, แต่กลับไปเสียใจกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเราไม่ได้มีโอกาสที่จะกระทำมันไว้. บุคคลที่มีแต่ความกลัวในเรื่องของความตายเท่านั้น คือพวกที่จะต้องเศร้าโศกเสียใจ."

She concluded her speech by courageously singing The Rose. She challenged each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives. At the years end Rose finished the college degree she had begun all those years ago.

เธอสรุปสุนทรพจน์ของเธอ ด้วยการร้องเพลงอย่างกล้าแกร่งจากเพลงชื่อว่า "ดอกกุหลาบ". เธอท้าทายพวกเราแต่ละคนให้เรียนรู้ศึกษาถึงบทกวีจากเพลงนี้และใช้ชีวิตอยู่ตามแบบฉบับนั้นให้เป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเรา. เมื่อปีการศึกษาได้สิ้นสุดลง, โรสก็สามารถเรียนจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่เธอได้เริ่มกระทำมาเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น.

One week after graduation Rose died peacefully in her sleep.

สัปดาห์หนึ่งหลังจากการสำเร็จการศึกษา โรสได้ถึงแก่กรรมอย่างโดยสงบในขณะที่เธอนอนหลับอยู่.

Over two thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful woman who taught by example that it*s never too late to be all you can possibly be.

มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจำนวนมากกว่าสองพันคน ได้ไปเข้าร่วมในพิธีฝังศพของเธอเพื่อที่จะสรรเสริญถึงผู้หญิงที่เก่งกล้าอย่างน่าพิศวงผู้นี้ ซึ่งเป็นผู้ได้สอนให้เห็นถึงตัวอย่างที่ว่า ไม่เคยมีเรื่องอะไร ที่สายจนเกินไปสำหรับการที่คุณทั้งหลายทุกคน สามารถที่จะต้องการกระทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปได้ตามที่ใฝ่ฝันไว้.

Lessons: บทเรียนที่ได้รับมา:

1. You are never too old to learn.

1. ไม่มีวันที่คุณนั้น จะมีอายุมากจนเกินไปต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ.

2. Laugh and find humor everyday.

2. หัวเราะและพยายามหาเรื่องขำขันให้ได้ ทุกๆ วัน.

3. Don*t let change overwhelm you, let change help you find opportunities you may have never seen!

3. อย่าให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทำให้คุณถึงกับเกิดความกลุ้มอกกลุ้มใจ, ให้การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ช่วยเปิดโอกาสให้คุณมองเห็นมุมอื่นๆ ซึ่งคุณไม่สามารถที่จะเห็นได้เลย!

Advice ข้อแนะนำ

Do you have a dream, a wish? Then turn it into a goal today - break it down, take one step, then another and accomplish your dream. -- Catherine Pulsifer

คุณมีความใฝ่ฝัน, หรือความปรารถนาหรือเปล่า? ถ้ามี ก็เปลี่ยนมันให้เป็นจุดประสงค์เสียเลยตั้งแต่ในวันนี้ – ทำให้เป็นข้อย่อยๆ เล็กๆ, เริ่มโดยก้าวแรกก่อน, จากนั้น ก็เดินสู่ก้าวต่อไปและทำให้ความใฝ่ฝันของคุณนั้น บรรลุความสำเร็จให้จงได้. --- แคทเธอรีน พูลสิเฟอร์

*******************************

ขอคุณพระจงช่วยให้ท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ มีความสุขสดชื่นในวันสุดสัปดาห์ครับ

ทบพร

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 54
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 07 มี.ค. 2552  เวลา 01:21:26   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

A Miracle เรื่องปาฎิหาริย์

Like any good mother, when Karen found out that another baby was on the way, she did what she could to help her 3-year-old son, Michael, prepare for a new sibling. They found out that the new baby was going to be a girl, and day after day, night after night, Michael sang to his sister in Mommy*s tummy. The pregnancy progressed normally for Karen, an active member of the Panther Creek United Methodist Church in Morristown, Tennessee. Then the labor pains came. Every five minutes ... every minute. But complications arose during delivery. Hours of labor. Would a C-section be required?

เหมือนกันกับแม่ที่ดีโดยทั่วๆ ไป, เมื่อแคเรนเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์กับเด็กทารก ซึ่งกำลังจะคลอดในไม่ช้านี้อยู่, เธอก็กระทำงานต่างๆ เท่าที่เธอสามารถช่วยเหลือดูแลลูกชายอายุสามขวบชื่อว่า ไมเคิลได้, ในการเตรียมการเพื่อจะให้เขาได้พบกับน้องคนใหม่ของเขา. พวกเขาเหล่านั้นก็ยังได้ทราบว่า เด็กทารกที่กำลังอยู่ในครรภ์นี้เป็นเพศหญิง, และวันแล้ววันเล่า, คืนแล้วคืนเล่า, ไมเคิลก็จะร้องเพลงให้กับน้องสาวของเขาฟังอยู่บนหน้าท้องของแม่เขา. การตั้งครรภ์นี้ก็ได้เริ่มพัฒนาเติบโตขึ้นอย่างเป็นปรกติสำหรับแคเรน, ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกการปฎิบัติการของโบสถ์สหเมทโทดิส ชื่อแพนเทอร์ ครีก ในเมืองมอริสทาวน์, มลรัฐเทนเนสซี่. หลังจากนั้น การเจ็บท้องในครรภ์ก็เริ่มเกิดขึ้น. ทุกๆ ห้านาที.. ทุกๆ นาที. แต่ทว่าเรื่องยุ่งยากนั้น ได้เกิดขึ้นมาตอนขณะกระทำการคลอดลูก. หลายชั่วโมงของการเจ็บครรภ์ได้ผ่านไป. อาจจะต้องใช้วิธีการผ่าท้องตอนคลอดลูก (Caesarian section) หรือเปล่า?

Finally, Michael*s little sister was born. But she was in serious condition. With sirens howling in the night, the ambulance rushed the infant to the neonatal intensive care unit at St. Mary*s Hospital, Knoxville, Tennessee. The days inched by. The little girl became worse. The pediatric specialist told the parents to prepared for the worst.

ในที่สุด, น้องสาวตัวน้อยนิดของไมเคิลก็ได้คลอดออกมา. แต่ทว่าเธอได้อยู่ในสุขภาพสภาวะที่ย่ำแย่สาหัส. ด้วยเสียงรถหวอกระหึ่มอยู่ตลอดทั้งคืน, รถพยาบาลก็ได้รีบนำเอาทารกน้อยนี้เข้าไปสู่ห้องฉุกเฉินเพื่อกระทำการรักษาเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดที่โรงพยาบาล เซ็นต์ แมรี่, ในเมืองน๊อกซ์วิลล์, มลรัฐเทนเนสซี่. หลายวันได้ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า. เด็กหญิงตัวน้อยนิดนี้ก็เริ่มมีอาการแย่ลงทุกวัน. แพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับกุมารเวชศาสตร์นั้น ได้บอกกับพ่อแม่ของเด็กว่า ให้เตรียมใจพร้อมที่จะรับกับข่าวร้ายที่สุดซึ่งยังไม่เกิดขึ้น.

Karen and her husband contacted a local cemetery about a burial plot. They originally fixed up a special room in their home for the new baby - now they planned a funeral.

แคเรนและสามีของเธอก็ได้ติดต่อกับสุสานในท้องถิ่นเกี่ยวกับที่ดินเล็กๆ ที่จะมีต่อการฝังศพ. โดยแรกเริ่มนั้น เขาทั้งสองได้ซ่อมแซมห้องพิเศษห้องหนึ่งในบ้านของเขา เพื่อที่จะไว้ต้อนรับให้สำหรับเด็กน้อยคนใหม่ – แต่ในขณะนี้ พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนแผนไปเป็นงานศพแทน.

Michael kept begging his parents to let him see his sister, "I want to sing to her," he said. Week two in intensive care. It looked as if a funeral would come before the week was over. Michael kept nagging about singing to his sister, but kids are not allowed in Intensive Care. Karen made up her mind. She decided to take Michael whether they like it or not. If he didn*t see his sister now, he may never see her alive. She dressed him in an oversized scrub suit and marched him into ICU. He looked like a walking laundry basket, but the head nurse recognized him as a child and bellowed, "Get that kid out of here now! No children are allowed. The mother in Karen rose up strong, and the usually mild-mannered lady glared steel-eyed into the head nurse*s face, her lips a firm line. "He is not leaving until he sings to his sister!"

ไมเคิลก็ยังคงขอร้องต่อพ่อแม่ของเขาอยู่เรื่อยไป เพื่อที่จะให้ได้พบกับน้องสาวของเขา, "ผมต้องการที่จะร้องเพลงให้เธอฟัง, " เขาได้กล่าวขึ้น. สัปดาห์ที่สองในห้องผู้ป่วยหนัก. ดูเสมือนหนึ่งว่า พิธีการฝังศพจะคงเกิดขึ้นมาก่อนที่สัปดาห์จะสิ้นสุดลง. ไมเคิลก็ยังคงยืนกรานโดยการรบกวนถึงเรื่องที่ตนเองต้องการที่จะร้องเพลงให้น้องสาวของเขาฟัง, แต่ทว่า เด็กๆ นั้น จะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในห้องผู้ป่วยหนักได้เป็นอันขาด. แคเรนก็ได้ตัดสินใจของเธอลงเรียบร้อยแล้ว. เธอตัดสินใจว่าจะเอาตัวไมเคิลเข้าไปหาน้องสาวเขา ไม่ว่าทางโรงพยาบาลจะชอบหรือไม่ก็ตาม. ถ้าเขาไม่เห็นน้องสาวของเขาในตอนนี้, เขาก็อาจจะไม่สามารถเห็นเธอ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ได้อีกเลย. แคเรนก็ได้แต่งตัวให้กับไมเคิลให้อยู่ในสูทใหญ่เกินตัวที่ซักสะอาดแล้วและก็นำเขาก้าวเดินเข้าไปในห้องของผู้ป่วยหนักโดยตรง. เขาดูเหมือนกับว่าเป็นตะกร้าเคลื่อนที่ซึ่งใช้ใส่เสื้อผ้าที่จะต้องซัก, แต่ทว่า หัวหน้าหอผู้ป่วยนั้น จำเขาได้ว่าเป็นเด็กและตวาดเสียงอย่างดัง, "เอาเด็กคนนี้ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้! เด็กๆ ไม่ได้รับอนุญาติที่จะเข้ามาในห้องนี้! " สัญญาติญาณความเป็นแม่ของแคเรนก็ยืนหยัดอยู่อย่างแข็งแกร่ง, และ ผู้หญิงซึ่งตามปรกติแล้วมีบุคลิกภาพอ่อนโยน ได้กำลังจ้องตาเขม็งเหมือนเหล็กกล้าไปยังใบหน้าของหัวหน้าหอผู้ป่วย, ริมฝีปากของเธอก็เม้มด้วยความมั่นใจ. "เขาจะไม่ออกไปไหนจนกว่าเขาจะได้ร้องเพลงให้กับน้องสาวของเขาฟัง! "

Karen towed Michael to his sister*s bedside. He gazed at the tiny infant losing the battle to live. And he began to sing. In the pure hearted voice of a 3-year-old, Michael sang: "You are my sunshine, my only sunshine, you make me happy when skies are gray --- " Instantly the baby girl responded. The pulse rate became calm and steady. "Keep on singing, Michael." "You never know, dear, how much I love you, Please don*t take my sunshine away---" Her strained breathing became smoother.

แคเรนได้จูงมือไมเคิลมายังขอบเตียงของน้องสาวของเขา. เขาจ้องมองเด็กทารกตัวน้อยนิดนี้กำลังพ่ายแพ้ต่อสงครามซึ่งกำลังคร่าชีวิตของเธอ. และเขาก็เริ่มร้องเพลงขึ้นมา. ในน้ำเสียงจากหัวใจที่บริสุทธิ์ของเด็กอายุ 3 ขวบ, ไมเคิลก็ได้ร้องเพลงขึ้นว่า: "เธอคือแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างของฉัน, เป็นแสงสว่างให้ความอบอุ่นแสงอย่างเดียวเท่านั้นกับฉัน, เธอทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นสบายใจเมื่อท้องฟ้านั้นยังเป็นสีเทาหม่นอยู่... " ทันทีทันใดนั้น เด็กทารกหญิงก็ได้ตอบรับแสดงความรู้สึกให้ทราบ. อัตราการเต้นของชีพจรได้เริ่มสงบลงและเรี่มคงที่. "ร้องเพลงต่อไปอย่าหยุดนะ, ไมเคิล." "คุณไม่เคยรู้เลย, ที่รัก, ว่าฉันรักเธอมากเท่าไร, ช่วยโปรดกรุณาอย่าได้เอาแสงสว่างไสวของฉันออกไป----" การหายใจที่ดูเหมือนฝืดๆ ฟาดๆ ก็เริ่มแผ่วเบาขึ้นเป็นไปอย่างปรกติ.

"Keep on singing, Michael." "The other night, dear, as I lay sleeping, I dreamed I held you in my arms..." Michael*s little sister relaxed as healing rest seemed to sweep over her. "Keep on singing, Michael." Tears conquered the face of the bossy head nurse. "You are my sunshine, my only sunshine. Please don*t, take my sunshine away."

"ร้องเพลงต่อไปอย่าหยุดนะ, ไมเคิล." "คืนวันก่อน, ที่รัก, เมื่อฉันล้มตัวนอนอยู่, ฉันได้ฝันว่าฉันได้โอบตัวเธออยู่ในวงแขนของฉัน... " น้องสาวตัวน้อยนิดของไมเคิลก็เริ่มผ่อนคลาย และ เมื่อการพักผ่อนเพื่อการรักษานั้น ดูเสมือนว่าจะมีผลครอบงำไปทั่วร่างกายของเธอ. "ร้องเพลงต่อไปอย่าหยุดนะ, ไมเคิล." น้ำตาแห่งความปิติก็ได้ไหลอาบใบหน้าของหัวหน้าหอผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้เจ้ากี้เจ้าการ. "เธอคือแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างของฉัน, เป็นแสงสว่างให้ความอบอุ่นแสงอย่างเดียวเท่านั้นกับฉัน. ช่วยโปรดกรุณาอย่าได้เอาแสงสว่างไสวของฉันออกไป."

The next day--the very next day--the little girl was well enough to go home! Woman*s Day magazine called it "The Miracle of a Brother*s Song." The medical staff just called it a miracle. Karen called it a miracle of God*s love.

วันรุ่งขึ้น – และในวันรุ่งขึ้นนั้นแหละ --- เด็กหญิงน้อยผู้นี้ก็มีสุขภาพที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะกลับไปบ้านของเธอได้! หนังสือนิตยสาร "วูเม้นส์ เดย์" ได้ตั้งชื่อเหตุการณ์ในเรื่องนี้ว่า "ปาฎิหาริย์จากเสียงเพลงของพี่." เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็เพียงแต่เรียกว่า ปาฎิหาริย์เฉยๆ. แต่แคเรนได้เรียกมันว่า ปาฎิหาริย์จากความรักของพระผู้เป็นเจ้า.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 55
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 07 มี.ค. 2552  เวลา 08:30:09   IP :(125.24.145.115)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
comment 55..

เป็นเรื่องของ "ปาฏิหาริย์" ที่อ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งจังค่ะลุงอ้าย

     สำหรับบางคนอาจเคยได้สัมผัสกับ "ปาฏิหาริย์" มาอย่างน้อย 1 ครั้ง ในขณะที่บางคนไม่เคยรู้จักกับ "ปาฎิหาริย์" เลยในชีวิต

 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 56
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 10 มี.ค. 2552  เวลา 01:22:24   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

1000 Marbles ลูกแก้ว 1000 ลูก

One of my favorite inspirational motivational story. เป็นเรื่องแรงบันดาลใจและกระตุ้นจิตใจที่ชื่นชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งของฉัน.

The older I get, the more I enjoy Saturday mornings. Perhaps it*s the quiet solitude that comes with being the first to rise, of maybe it*s the unbounded joy of not having to be at work. Either way, the first few hours of a Saturday morning are most enjoyable.

เมื่อฉันมีอายุมากขึ้นเท่าไร, ฉันก็ชื่นชอบกับวันเสาร์ตอนเช้ามากขึ้นเท่านั้น. บางที เพราะว่ามันเงียบสงัดดูโดดเดี่ยวซึ่งอาจเป็นเพราะว่าฉันได้ตื่นนอนเป็นคนแรก, หรือเพราะว่า อาจเป็นความปิติยินดีอย่างไร้ขอบเขตที่ไม่ต้องไปอยู่ที่ที่ทำงาน. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม, สองสามชั่วโมงแรกของวันเสาร์ยามเช้าตรู่นั้นเป็นเวลาที่ฉันมีความพึงพอใจอย่างมากที่สุด.

A few weeks ago, I was shuffling toward the kitchen, with a steaming cup of coffee in one hand and the morning paper in the other. What began as a typical Saturday morning turned into one of those lessons that life seems to hand you from time to time.

เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว, ฉันได้เดินไปๆ มาๆ ลากส้นเท้าอย่างช้าๆ เข้าไปในครัว, พร้อมกับถ้วยซึ่งมีกาแฟร้อนหอมกรุ่นในมือข้างหนึ่งและหนังสือพิมพ์อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง. ได้เริ่มวันนั้นขึ้นมา เหมือนกับเป็นเพียงแค่เช้าตรู่ธรรมดาของวันเสาร์วันหนึ่ง แต่มันได้แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นบทเรียนบทหนึ่งซึ่งชีวิตดูเหมือนว่าส่งมาให้กับตัวของเราเป็นครั้งคราว.

Let me tell you about it. I turned the volume up on my radio in order to listen to a Saturday morning talk show. I heard an older sounding chap with a golden voice. You know the kind, he sounded like he should be in the broadcasting business himself.

ขอให้ฉันบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิดหน่อย. ฉันเปิดเสียงวิทยุของฉันให้ดังขึ้นเพื่อที่จะได้ฟังเรื่องราวทางท้อคโชว์ที่คุยกันในวันเสาร์ตอนเช้าตรู่. ฉันได้ยินผู้ชายสูงอายุท่านหนึ่งซึ่งมีเสียงที่นุ่มนวลชื่นใจเหลือเกิน. คุณก็คงทราบถึงบุคคลประเภทนี้, เสียงของเขาฟังแล้ว ก็ดูเสมือนว่า เขาควรจะไปทำธุรกิจเป็นผู้ส่งการกระจายเสียงออกอากาศด้วยตัวของเขาเอง.

He was talking about "a thousand marbles" to someone named "Tom". I was intrigued and sat down to listen to what he had to say. "Well, Tom, it sure sounds like you*re busy with your job. I*m sure they pay you well but it*s a shame you have to be away from home and your family so much. Hard to believe a young fellow should have to work sixty or seventy hours a week to make ends meet. Too bad you missed your daughter*s dance recital. " He continued, "Let me tell you something Tom, something that has helped me keep a good perspective on my own priorities." And that*s when he began to explain his theory of a "thousand marbles."

เขากำลังพูดถึงเรื่อง "ลูกแก้วพันลูก" ให้กับบุคคลผู้หนึ่งชื่อว่านาย "ทอม" ได้ฟัง. เรื่องที่เขาพูดนั้น ก่อให้เกิดความสนใจขึ้นมากับฉันเป็นอันมาก และฉันก็เลยนั่งลงเพื่อที่จะฟังว่า เขาจะพูดอะไรต่อไปอีกบ้าง. "ดีแล้วละ, ทอม, จริงๆ แล้วนะ มันฟังดูก็เหมือนว่า คุณน่ะมีความยุ่งอยู่มากกับชีวิตการงานของคุณ. ฉันมั่นใจอย่างมากว่า บริษัทคุณนั้น เขาได้จ่ายเงินให้คุณเป็นอย่างดีเลยทีเดียว แต่ทว่า มันเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับตัวคุณ ที่จะต้องเดินทางออกไปจากบ้านและจากครอบครัวบ่อยครั้งหลายครา. เป็นเรื่องที่ยากต่อการที่จะเชื่อว่า คนหนุ่มแน่นอย่างคุณจะต้องทำงานหกสิบหรือเจ็ดสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อที่จะมีรายได้เพียงพอในการจุนเจือครอบครัวได้. มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากทีเดียว ที่คุณพลาดงานแสดงระบำของลูกสาวของคุณ." เขากล่าวต่อไป, "ขอให้ฉันบอกอะไรกับคุณสักอย่างหนึ่งนะทอม, บางสิ่งบางอย่างนั้น ได้ช่วยให้ฉันเก็บเรื่องทัศนคติที่ดีไว้ เพื่อที่ว่าฉันจะได้ทราบว่าอะไรเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อนหลังกับตัวของฉันเอง. " และจากนั้น ก็คือเมื่อเขาเริ่มอธิบายถึงทฤษฎีของเขาในเรื่อง "ลูกแก้วพันลูก".

"You see, I sat down one day and did a little arithmetic. The average person lives about seventy-five years. I know, some live more and some live less, but on average, folks live about seventy-five years." "Now then, I multiplied 75 times 52 and I came up with 3900 which is the number of Saturdays that the average person has in their entire lifetime."

"คุณคงเห็นนะ, ฉันได้นั่งคิดและก็คำนวณบวกลบคูณหารตัวเลขง่ายๆ ในวันหนึ่ง. บุคคลทั่วไปโดยเฉลี่ยแล้วนั้น สามารถมีชีวิตอยู่ได้ราวๆ เจ็ดสิบห้าปี. ฉันรู้นะ, บางคนก็มีอายุมากกว่านี้และบางคนก็มีอายุน้อยกว่านี้, แต่ในถัวเฉลี่ยแล้ว, คนธรรมดานั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ราวๆ เจ็ดสิบห้าปี." "ขณะนี้, ฉันก็คูณ 75 กับ 52 และฉันก็ได้ผลลัพธ์ 3,900 ซึ่งเป็นจำนวนวันเสาร์ทั้งหมดที่บุคคลโดยเฉลี่ยนั้น จะมีอยู่ในชั่วชีวิตของพวกเขา."

"Now stick with me Tom, I*m getting to the important part. " "It took me until I was fifty-five years old to think about all this in any detail", he went on, "and by that time I had lived through over twenty-eight hundred Saturdays." "I got to thinking that if I lived to be seventy-five, I only had about a thousand of them left to enjoy. " "So I went to a toy store and bought every single marble they had. I ended up having to visit three toy stores to round-up 1000 marbles." "I took them home and put them inside of a large, clear plastic container right here in my workshop next to the radio. Every Saturday since then, I have taken one marble out and thrown it away. "

"ตอนนี้ขอให้คุณตั้งใจติดตามฟังฉันอยู่ก่อนนะทอม, ฉันกำลังเข้าไปสู่ส่วนที่สำคัญในเรื่องนี้." "มันใช้เวลาของฉันไป จนกระทั่งตัวฉันอายุห้าสิบห้าปี เพื่อจะได้กรุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้กลายเป็นรายละเอียดที่โจ่งแจ้งได้ทั้งหมด", เขาก็ยังพูดอยู่ต่อไป, "และในเวลานั้น ฉันก็ได้มีชีวิตอยู่ผ่านไปมากกว่า สองพันแปดร้อยวันเสาร์แล้ว." "ฉันก็ฉุกคิดดูว่า ถ้าฉันสามารถมีอายุอยู่ยืนยาวได้ถึงเจ็ดสิบห้าปี, ฉันก็คงมีราวๆ หนึ่งพันวันเสาร์เหลืออยู่ เพื่อที่จะสร้างความเพลิดเพลินให้กับชีวิตได้." "ดังนั้น ฉันก็ออกไปที่ร้านขายของเด็กเล่นและซื้อลูกแก้วทุกลูกที่ในร้านเขามีขายอยู่. ไปๆ มาๆ ฉันก็ต้องไปหาซื้ออยู่ที่ร้านขายของเด็กเล่นถึงสามแห่ง กว่าที่จะได้ลูกแก้วมาทั้งหมด 1,000 ลูก." "ฉันก็ได้นำลูกแก้วเหล่านั้นกลับเข้ามาที่บ้านและเทใส่มันลงไปในขวดโหลใบใหญ่, ที่ทำด้วยพลาสติคใส ซึ่งวางอยู่ตรงนี้ ในห้องทำงานของฉัน ติดกับวิทยุนี่แหละ. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆ วันเสาร์, ฉันจะหยิบลูกแก้วขึ้นมาลูกหนึ่งและก็ขว้างมันทิ้งไป."

"I found that by watching the marbles diminish, I focused more on the really important things in life. There is nothing like watching your time here on this earth run out to help get your priorities straight. " "Now let me tell you one last thing before I sign-off with you and take my lovely wife out for breakfast. This morning, I took the very last marble out of the container. I figure if I make it until next Saturday then God has blessed me with a little extra time to be with my loved ones...... ""It was nice to talk to you Tom, I hope you spend more time with your loved ones, and I hope to meet you again someday. Have a good morning!"

"ฉันได้พบว่า ด้วยการเฝ้ามองลูกแก้วเหล่านั้น ได้เริ่มมีปริมาณลดน้อยลงไป, ฉันก็เริ่มให้ความสนใจมากขึ้นกับสิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต. ไม่มีอะไรที่แย่เหมือนกับว่า คุณได้เฝ้าดูเวลาของคุณที่ยังมีเหลืออยู่ในโลกนี้หมดลงไป เพื่อที่จะช่วยให้คุณจัดการให้เรียบร้อยว่า อะไรบ้างที่มีความสำคัญก่อนหลังในชีวิต." "ตอนนี้ ขอให้ฉันบอกกับคุณฟังเป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนที่ฉันจะหยุดคุยกับคุณและนำเอาภรรยาผู้น่ารักในชีวิตของฉันออกไปทานอาหารเช้าด้วยกัน. เมื่อตอนเช้าวันนี้, ฉันได้หยิบลูกแก้วลูกสุดท้ายออกมาจากขวดโหลนั้น. ฉันก็คิดคำนวณดูแล้วว่า ถ้าฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนกระทั่งถึงวันเสาร์หน้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านพระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเมตตาอำนวยอวยพรให้กับฉัน ด้วยการยืดต่อเวลาออกไปให้เป็นพิเศษอีกสักหน่อยหนึ่ง เพื่อที่ฉันจะได้มีชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ฉันให้ความรัก...... " "เป็นเรื่องทีดีจริงๆ ที่ได้พูดคุยกับคุณนะ ทอม, ฉันหวังว่าคุณคงจะได้ใช้เวลากับบุคคลที่คุณให้ความรักทุกคน, และฉันก็ยังหวังอีกด้วยว่าฉันคงจะได้พบกับคุณอีกในเวลาข้างหน้า. ขอให้คุณมีความสุขสันต์ในยามเช้าตรู่นี้! "

You could have heard a pin drop when he finished. Even the show*s moderator didn*t have anything to say for a few moments. I guess he gave us all a lot to think about. I had planned to do some work that morning, then go to the gym. Instead, I went upstairs and woke my wife up with a kiss. "C*mon honey, I*m taking you and the kids to breakfast." "What brought this on?" she asked with a smile. "Oh, nothing special," I said. " It has just been a long time since we spent a Saturday together with the kids. Hey, can we stop at a toy store while we*re out? I need to buy some marbles."

คุณสามารถได้ยินเสียงเข็มหมุดตกลงไปบนพื้นทีเดียวเมื่อเขาพูดเสร็จ. แม้กระทั่งผู้ดำเนินรายการของสถานีนั้น ก็ยังไม่มีอะไรจะพูดออกมาเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง. ฉันคิดว่า เขาให้อะไรหลายอย่างกับพวกเราทั้งหมดเข้ามาขบคิด. ในตอนแรก ฉันก็มีแผนการที่จะกระทำงานบางอย่างในตอนเช้าวันนั้น, จากนั้นก็ไปออกกำลังกายที่โรงยิม. แทนที่จะทำอย่างนั้น, ฉันก็ได้เดินขึ้นไปข้างบนและปลุกภรรยาของฉันด้วยการจูบอย่างแผ่วเบา. "มานี่เถิด ที่รัก, ฉันอยากจะให้เธอและลูกๆ ออกไปทานอาหารเช้าข้างนอกด้วยกัน." "มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นถึงอยากจะทำอย่างนี้หรือคะ?" เธอได้ถามในขณะที่ส่งยิ้มให้. "อ้อ, ไม่มีอะไรเป็นพิเศษมากนักหรอก," "ฉันได้กล่าวตอบไป. "มันเป็นเวลานานมาแล้วนะ ที่เราทั้งสองได้มีเวลาอยู่พร้อมกันกับลูกๆ ในวันเสาร์นี่แหละ. เอ้อนี่, เราสามารถหยุดซื้อของที่ร้านขายของเด็กเล่นสักแห่งหนึ่งได้ไหม ในขณะที่เราออกไปข้างนอกแล้วน่ะ? ฉันอยากจะซื้อลูกแก้วไว้สักจำนวนหนึ่ง."

How many marbles do you have left?

คุณมีลูกแก้วเหลืออยู่เท่าไรล่ะ ในตอนนี้น่ะ?


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 57
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 11 มี.ค. 2552  เวลา 00:50:43   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Old Fisherman ชาวประมงผู้เฒ่า

Our house was directly across the street from the clinic entrance of John Hopkins Hospital in Baltimore. We lived downstairs and rented the upstairs rooms to out patients at the clinic.

บ้านของเรานั้นอยู่บนถนนฝั่งตรงกันข้ามกับทางเข้าโดยตรงสู่คลีนิคของโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกิ้นส์ในเมืองบัลติมอร์. พวกเราอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างและให้ห้องต่างๆ ที่อยู่ชั้นบนนั้น กลายเป็นห้องเช่าสำหรับผู้ป่วยนอกที่มาบำบัดรักษายังที่คลีนิคแห่งนั้น.

One summer evening as I was fixing supper, there was a knock at the door. I opened it to see a truly awful looking man. Why, he*s hardly taller than my eight-year-old, I thought as I stared at the stooped, shriveled body. But the appalling thing was his face--lopsided from swelling, red and raw. Yet his voice was pleasant as he said, "Good evening. I*ve come to see if you*ve a room for just one night.

ในค่ำวันหนึ่งของฤดูร้อน ในขณะที่ฉันกำลังเตรียมอาหารค่ำอยู่, ก็ได้มีเสียงเคาะอยู่ที่หน้าประตูบ้าน. ฉันออกไปเปิดมันก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาที่น่าสะพึงกลัวอย่างแท้จริง. ทำไมหรือ, เพราะว่าตัวเขาเองนั้น ก็แทบจะไม่สูงเกินไปกว่าลูกอายุแปดขวบของฉันเลย, ฉันคิดอยู่ในขณะที่ฉันก็ยังจ้องมองอยู่ที่ร่างกายซึ่งโค้งตัว, และเxxx่ยวย่น. แต่สิ่งที่ทำให้ดูน่าตกใจมากนั้นก็คือใบหน้าของเขา – ซึ่งเอียงอยู่ด้วยการบวมเป่งขึ้นมา, มีสีแดงเรื่อและดูเหมือนจะอักเสบ. แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม น้ำเสียงของเขากลับมีความสุภาพเป็นมิตรเมื่อเขากล่าวขึ้นว่า, "สวัสดียามค่ำครับ. ผมได้เดินมาที่นี่ก็เพื่อจะทราบว่าคุณอาจจะมีห้องพักสักห้องหนึ่งไหม เพียงชั่วแค่คืนเดียวเท่านั้นครับ.

I came for a treatment this morning from the eastern shore, and there*s no bus *til morning." He told me he*d been hunting for a room since noon but with no success, no one seemed to have a room. "I guess it*s my face...I know it looks terrible, but my doctor says with a few more treatments..." For a moment I hesitated, but his next words convinced me: "I could sleep in this rocking chair on the porch. My bus leaves early in the morning."

ผมได้มารับการบำบัดรักษาเมื่อตอนเช้านี้จากเมืองชายฝั่งตะวันออก, และ ก็ไม่มีรถโดยสารกลับบ้าน จนกระทั่งถึงตอนเช้าน่ะครับ." เขากล่าวให้ฉันฟัง เพราะว่า เขาได้พยายามหาห้องๆ หนึ่งมาตั้งแต่ตอนเที่ยงวันแล้ว แต่ทว่าปราศจากความสำเร็จ, ไม่มีใครที่ดูเหมือนว่าจะมีห้องสักห้องให้เขาสักแห่งหนึ่ง. "ผมเดาเอาว่า มันเป็นที่ใบหน้าของผมเอง.... ผมรู้ว่ามันดูน่าขยะแขยงมาก, แต่หมอผมก็บอกว่า ด้วยการบำบัดรักษาอีกสักสองสามครั้ง.... " ในชั่วครู่ขณะหนึ่ง ฉันก็อึกอักลังเลใจอยู่, แต่ทว่าคำพูดต่อไปของเขาได้ทำให้ฉันเห็นภาพได้อย่างแน่ชัด: "ผมสามารถนอนในเก้าอี้โยกตัวนี้บนเฉลียงหน้าบ้านก็ได้ครับ. รถโดยสารนั้นก็จะออกไปตั้งแต่ตอนเช้าตรู่."

I told him we would find him a bed, but to rest on the porch. I went inside and finished getting supper. When we were ready, I asked the old man if he would join us.

ฉันบอกกับเขาว่า เราจะหาฟูกนอนให้กับเขาได้, แต่ต้องะพักอยู่ที่บนเฉลียง. ฉันก็เข้าไปข้างในบ้านและจัดการเรื่องอาหารค่ำให้เสร็จ. เมื่อเราทั้งหมดได้อยู่พร้อมกันเรียบร้อยแล้ว, ฉันก็ได้ถามผู้เฒ่าคนนั้นว่าเขาจะมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันกับพวกเราหรือไม่.

"No thank you. I have plenty." And he held up a brown paper bag. When I had finished the dishes, I went out on the porch to talk with him a few minutes. It didn*t take a long time to see that this old man had an oversized heart crowded into that tiny body. He told me he fished for a living to support his daughter, her five children, and her husband, who was hopelessly crippled from a back injury. He didn*t tell it by way of complaint; in fact, every other sentence was preface with a thanks to God for a blessing. He was grateful that no pain accompanied his disease, which was apparently a form of skin cancer. He thanked God for giving him the strength to keep going.

"ไม่ต้องเลยครับ ขอบคุณ. ผมมีอาหารเยอะอยู่แล้ว." และเขาก็ชูให้เห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลที่ใส่อาหารอยู่. เมื่อฉันได้ล้างชามทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว, ฉันก็ออกมายังที่เฉลียงหน้าบ้านเพื่อจะคุยกับเขาสักครู่หนึ่ง. มันไม่ได้ใช้เวลานานมากเลยเพื่อจะได้เห็นว่า ผู้เฒ่าคนนี้มีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่ใหญ่ล้นเกินกว่ารูปร่างผอมกะหร่องของแกเสียอีก. เขาบอกกับฉันว่า เขามีอาชีพทำการประมงเพื่อเลี้ยงดูช่วยเหลือครอบครัวซึ่งมีลูกสาวของเขา, ลูกของเธออีกห้าคน, และสามีของเธอ, ซึ่งพิการอย่างสิ้นหวังเนื่องจากการบาดเจ็บที่สันหลัง. เขาไม่ได้เล่าให้ฟังแบบว่าจะบ่นพร่ำ; ในแท้ที่จริงแล้ว, ประโยคทุกประโยคได้ถูกเติมอยู่ข้างหน้าด้วยคำว่า ขอบคุณท่านพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานพรให้กับเขา. เขามีความสำนึกในบุญคุญที่ว่า ไม่มีการเจ็บปวดอะไรติดตามมากับโรคร้ายของเขา, ซึ่งเป็นรูปแบบที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของโรคมะเร็งบนผิวหนัง. เขาขอบคุณท่านพระผู้เป็นเจ้าที่ให้พลังกับเขาเพื่อต่อสู้ในโลกนี้อยู่อย่างต่อไปได้.

At bedtime, we put a camp cot in the children*s room for him. When I got up in the morning, the bed linens were neatly folded and the little man was out on the porch. He refused breakfast, but just before he left for his bus, haltingly, as if asking a great favor, he said, "Could I please come back and stay the next time I have a treatment? I won*t put you out a bit. I can sleep fine in a chair." He paused a moment and then added, "Your children made me feel at home. Grownups are bothered by my face, but children don*t seem to mind." I told him he was welcome to come again.

เมื่อถึงเวลาเข้านอน, เราก็ได้นำเอาเตียงผ้าใบซึ่งใช้อยู่ในแค้มป์ มากางไว้ในห้องของเด็ก สำหรับให้เขาได้นอนพักผ่อน. เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า, ผ้าลินินที่ปูเตียงนั้นก็ได้ถูกพับวางไว้อย่างปรานีตเรียบร้อยและชายร่างเล็กนั้นก็ออกมาอยู่ที่เฉลียงหน้าบ้านแล้ว. เขาปฎิเสธที่จะรับประทานอาหารเช้า, แต่เพียงก่อนที่เขาจะออกไปขึ้นรถโดยสารนั้น, เขาก็เริ่มตะกุกตะกัก, เหมือนกับว่ากำลังขอร้องความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง, เขากล่าวขึ้นว่า, "ผมสามารถกลับมา แล้วก็ค้างคืนที่นี่ในคราวหน้าได้ไหม เมื่อผมจะต้องมารับการบำบัดรักษา? ผมไม่ทำให้คุณต้องลำบากใจอะไรเลย. ผมสามารถหลับได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ในเก้าอี้เท่านั้นแหละครับ." เขาหยุดไปชั่วขณะหนึ่งและจากนั้น ก็ได้เสริมต่อว่า, "ลูกๆ ของคุณทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้านครับ. เด็กที่โตแล้วก็ยังรำคาญกับใบหน้าของผม, แต่เด็กเล็กๆ นั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้คิดกังวลอะไรมากมายนัก." ฉันบอกกับเขาว่า เขานั้นจะได้รับการยินดีต้อนรับจากที่นี่เสมอเมื่อเขามาอีกครั้งหนึ่ง.

On his next trip he arrived a little after seven in the morning. As a gift, he brought a big fish and a quart of the largest oysters I had ever seen. He said he had shucked them that morning before he left so that they*d be nice and fresh. I knew his bus left at 4:00 a.m. and I wondered what time he had to get up in order to do this for us.

ในการเดินทางครั้งถัดมา เขาก็มาถึงราวๆ เจ็ดโมงเศษ ๆ ในตอนเช้าตรู่. ในฐานะที่เป็นของฝาก, เขาก็ได้นำเอาปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งและพร้อมกับหอยนางรมตัวใหญ่ๆ ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา มีปริมาณหนึ่งควอท (1/4 แกลลอน). เขากล่าวกว่าเขาได้แกะเปลือกหอยนางรมเหล่านั้นออกมาในตอนเช้าตรู่ของวันนั้น ก่อนที่เขาจะออกมาจากบ้าน ดังนั้นก็เป็นของที่ดีมากและยังสดๆ อยู่. ฉันทราบว่ารถโดยสารนั้น ออกจากที่บ้านเขาประมาณตีสี่และ ฉันก็ยังฉงนใจอยู่ว่า เวลาเท่าไรที่เขาได้ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะกระทำเรื่องเหล่านี้ให้กับครอบครัวของเรา.

In the years he came to stay overnight with us there was never a time that he did not bring us fish or oysters or vegetables from his garden.

ในหลายปีที่เขาได้มาพักค้างคืนกับเรานั้น ไม่มีสักครั้งเดียวเลยที่เขาไม่ได้นำเอาปลาหรือหอยนางรมหรือผักต่างๆ จากสวนของเขา ติดมือมากับเขาด้วย.

Other times we received packages in the mail, always by special delivery; fish and oysters packed in a box of fresh young spinach or kale, every leaf carefully washed. Knowing that he must walk three miles to mail these, and knowing how little money he had made the gifts doubly precious.

ครั้งอื่นๆ เราได้รับพัสดุจากไปรษณีย์, ซี่งถูกส่งโดยการใช้วิธีส่งสินค้าอย่างพิเศษโดยเสมอ; ปลาและหอยนางรมถูกห่ออยู่ในกล่องซึ่งมีผักขมหรือกะหล่ำปลีเขียวเข้ม, ใบทุกๆ ใบนั้นได้ถูกล้างทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง. โดยการทราบว่าเขาจะต้องเดินเป็นระยะทางสามไมล์กว่าที่จะส่งของเหล่านี้ทางไปรษณีย์ได้, และโดยการทราบว่าเขามีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น, ก็ทำให้ของกำนัลที่ได้รับนี้มีคุณค่าอย่างหาประมาณมิได้.

When I received these little remembrances, I often thought of a comment our next-door neighbor made after he left that first morning.

เมื่อฉันได้รับสิ่งระลึกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้, ฉันก็คิดอยู่เสมอเกี่ยวกับข้อคิดเห็นของเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับฉันซึ่งกล่าวขึ้นมาหลังจากที่ชาวประมงผู้เฒ่าได้กลับไปบ้านของเขาเมื่อตอนเช้าวันแรก.

"Did you keep that awful looking man last night? I turned him away! You can lose roomers by putting up such people!" Maybe we did lose roomers once or twice. But oh! If only they could have known him, perhaps their illnesses would have been easier to bear.

"คุณให้คนที่หน้าตาน่าเกลียดคนนั้นพักค้างคืนที่บ้านคุณหรือเนี่ย? ฉันไล่เขาออกไปเลย! คุณไม่สามารถจะสูญเสียผู้เช่าห้องอาศัยอยู่โดยการยอมให้พวกเหล่านี้เข้ามาพักได้นะ! " บางทีเราอาจจะเสียผู้เช่าห้องไปครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง. แต่ ปัทโธ่! ถ้าเพียงแต่ว่าพวกเขาเหล่านั้นได้สามารถรู้ถึงเรื่องชาวประมงผู้เฒ่าคนนี้, บางทีนั้น พวกเขาก็สามารถทนอยู่ กับความเจ็บไข้ได้ป่วยของบุคคลเหล่านั้น ได้อย่างง่ายดายเสียอีก.

I know our family always will be grateful to have known him; from him we learned what it was to accept the bad without complaint and the good with gratitude to God.

ฉันรู้ว่า ครอบครัวของพวกเรามีความสำนึกในบุญคุณอยู่เสมอที่มีโอกาสได้รู้จักกับชาวประมงผู้เฒ่าคนนี้; จากเรื่องราวของเขา เราได้เรียนรู้ว่า มันเป็นอย่างไรที่จะรับเอาความเลวร้ายเข้ามาโดยปราศจากเรื่องที่ไม่พอใจ และ รับเอาสิ่งที่ดีงามเข้ามาด้วยความกตัญญูต่อท่านพระผู้เป็นเจ้า.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 58
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 12 มี.ค. 2552  เวลา 02:40:36   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

A Short article about Attitude บทความสั้นๆ เกี่ยวกับกิริยาการวางตัว

By: Rev. Charles Swindoll โดย : ท่านบาทหลวง ชาร์ล สวินดอลล์

The longer I live, the more I realize the impact of attitude on life. Attitude, to me, is more important than facts. It is more important than the past, than education, than money, than circumstances, than failures, than successes, than what other people think, say, or do. It is more important than appearance, giftedness, or skill. It will make or break a company, a church, a home. The remarkable thing is we have a choice every day regarding the attitude we will embrace for that day.

ยิ่งฉันมีชีวิตอยู่นานมากขึ้นเท่าไร, ฉันก็ยิ่งตระหนักมากขึ้นเท่านั้นเกี่ยวกับผลกระทบของกิริยาการวางตัวที่มีอยู่กับชีวิต. กิริยาการวางตัว, ในตามทัศนคติของฉันนั้น, เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าความเป็นจริงเสียอีก. เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าอดีตกาล, สำคัญยิ่งกว่า การศึกษา, สำคัญยิ่งกว่าเงินทอง, สำคัญยิ่งกว่าสภาวะแวดล้อม, สำคัญยิ่งกว่าความล้มเหลว, สำคัญยิ่งกว่าความสำเร็จ, สำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่นๆ ที่บุคคลทั่วไปได้คิด, พูด, หรือกระทำ. เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าการปรากฎตัวให้เห็น, พรสวรรค์, หรือทักษะ. กิริยาการวางตัวนั้นจะสร้างสรรค์หรือทำลายบริษัท, โบสถ์, บ้านได้. สิ่งที่น่าสังเกตุเห็นก็คือว่า เรามีทางเลือกอยู่ทุกๆ วันในเรื่องของกิริยาการวางตัวที่เราจะนำเอาออกมาใช้สำหรับวันนั้น.

We cannot change our past. We cannot change the fact that people will act in a certain way. We cannot change the inevitable. The only thing we can do is play on the one string we have, and that is our attitude. I am convinced that life is 10% what happens to me and 90% how I react to it. And so it is with you. We are in charge of our attitudes

เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนอดีตของเราได้. เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่าผู้คนนั้น จะแสดงการกระทำออกมาด้วยวิธีการบางอย่าง. เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้. สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราสามารถที่จะกระทำได้ก็คือปฎิบัติอยู่กับเรื่องเดียวที่เรามีอยู่, และนั่นก็คือกิริยาการวางตัวของเราเอง. ฉันมีความเชื่อมั่นอย่างมากที่ว่า ชีวิตนั้น ประกอบไปด้วย 10% เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวฉันเอง และอีก 90% เป็นเรื่องปฎิกิริยาโต้ตอบที่ฉันกระทำกับเรื่องเหล่านั้น. และดังนั้น เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองด้วย. เราเองนั้นแหละที่จะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลกิริยาการวางตัวของตัวเราเอง.

"Nothing can stop the man with the right mental attitude from achieving his goal; nothing on earth can help the man with the wrong mental attitude."

"ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดยั้งมนุษย์ที่มีกิริยาการวางตัวที่ดีงามต่อการประสบความสำเร็จตามที่เขาประสงค์ไว้; ไม่มีอะไรในโลกสามารถช่วยบุคคลที่มีกิริยาการวางตัวที่เลวร้ายได้เลย."

Thomas Jefferson โทมัส เจฟเฟอร์สัน


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 59
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 13 มี.ค. 2552  เวลา 04:21:56   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

วันนี้กับพรุ่งนี้ ต้องไปอยู่ในการอบรมกับ Hewlett Packard ก็แปลเรื่องสั้นๆ ไว้ให้นะครับ หวังว่าคงติดตามกันอยู่ต่อไปอย่างไม่ขาดเนื่อง

ขอบคุณครับ

ทบพร ผาติธรรมรักษ์

********************************

[Color:red] The Two Brothers สองพี่น้อง

[Color:green]Two brothers worked together on the family farm. One was married and had a large family. The other was single. At the day*s end, the brothers shared everything equally, produce and profit.

[Color:blue]พี่น้องสองคนได้ทำงานอยู่ด้วยกันในผืนนาของครอบครัว. คนหนึ่งได้แต่งงานไปแล้วและมีครอบครัวที่ใหญ่. อีกคนหนึ่งยังโสดอยู่. เมื่อแต่ละวันได้สิ้นสุดลง, พี่น้องทั้งสองก็จะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างโดยเท่าเทียมกัน, ผลผลิต และ กำไรที่ได้รับ.

[Color:green]Then one day the single brother said to himself, "It*s not right that we should share equally the produce and the profit. I*m alone and my needs are simple." So each night he took a sack of grain from his bin and crept across the field between their houses, dumping it into his brother*s bin.

[Color:blue]หลังจากนั้นในวันหนึ่ง น้องผู้ที่เป็นโสดก็ได้กล่าวกับตนเองว่า, "มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลยที่เราจะต้องแบ่งปันผลผลิตและกำไรอย่างเท่าเทียมกันทุกอย่าง. ฉันอยู่คนเดียวและความต้องการของฉันนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาง่ายๆ." ดังนั้น แต่ละคืน เขาก็จะนำเอาเมล็ดข้าวธัญพืชกระสอบหนึ่งออกมาจากถังของเขาและค่อยๆ คลานผ่านทุ่งนาระหว่างบ้านของเขาทั้งสอง, แล้วก็โยนกระสอบนั้นไปยังที่ยุ้งเก็บเมล็ดข้าวธัญพืชของพี่ชาย.

[Color:green]Meanwhile, the married brother said to himself, "Its not right that we should share the produce and the profit equally.

[Color:blue]ในขณะที่, พี่ผู้ชายซึ่งมีครอบครัวอยู่ก็ได้พูดกับตัวเขาเองว่า, "มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลย ที่เราต้องแบ่งผลผลิตและกำไรต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน.

[Color:green]After all, I*m married and I have my wife and my children to look after me in years to come. My brother has no one, and no one to take care of his future." So each night, he took a sack of grain and dumped it into his single brother*s bin.

[Color:blue] อย่างไรก็ตาม, ฉันก็แต่งงานแล้วและฉันก็มีภรรยาและลูกๆ ของฉัน ให้การดูแลต่อตัวฉันในเวลาข้างหน้า. น้องชายของฉันซิ ไม่มีใครเลย, และไม่มีใครที่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ในอนาคตของเขา." ดังนั้น แต่ละคืน, เขาก็จะนำเอากระสอบซึ่งเต็มไปด้วยเมล็ดข้าวธัญพืชกระสอบหนึ่งไปโยนลงที่ยุ้งเก็บของน้องชายซึ่งยังเป็นโสดอยู่.

[Color:green]Both men were puzzled for years because their supply of grain never dwindled. Then one dark night the two brothers bumped into each other. Slowly it dawned on them what was happening. They dropped their sacks and embraced one another.

[Color:blue]ชายทั้งสองคนก็มีความฉงนสนเท่ห์มาเป็นเวลาหลายปีเพราะว่า เสบียงของเมล็ดข้าวธัญพืชนั้น ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย. ดังนั้น ในตอนกลางคืนซึ่งมืดสนิทคืนหนึ่ง พี่น้องทั้งสองก็ได้มาบุ่มบ่ามมากระทบชนกันเอง. มันก็เริ่มปรากฎให้เห็นอย่างช้าๆ กับตัวเขาทั้งสองเองว่าอะไรบ้างที่ได้เกิดขึ้น. เขาทั้งสองก็ทิ้งกระสอบเมล็ดข้าวและก็สวมกอดด้วยความรักใคร่ให้กับกันและกัน.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 60
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 13 มี.ค. 2552  เวลา 08:09:52   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
ท่านทบพร

ปัจจุบัน คนเมกันใช้คอมพ์ยี่ห้อ texas instrument อยู่ rank 1st ?
แล้วไฉน วันนี้ ไม่มีสีสันของตัวอักษร.
ง่วงนอน อ่อนเพลีย ก็พักผ่อนกายา ให้มาก ๆ ด้วยความห่วงใยนะ

ท่านทบพร ใจคอจะไม่เข้าไปคุย บ้าน 19 บ้างหรือ.

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 61
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 14 มี.ค. 2552  เวลา 01:03:29   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
ความเห็นที่ 61

ท่าน PK - เมื่อวานรีบมากไปหน่อย เพราะว่า กำลังอยู่ใน training session กับ Hewlett Packard เขา (กำลัง ฝึกเตรียมตัวสอบ ITIL Foundation อยู่ สำหรับการทำ Project Management ครับ ขอโทษด้วยที่พิมพ์ผิดๆ ไป มีเวลานิดหน่อยเท่านั้น เมื่อวาน แต่เห็นมีเรื่องสั้นๆ นึกว่าจะไม่มีปัญหา กลายเป็นว่า ล่มตอนสุดท้าย เพราะลืมเปลี่ยนโค้ดครับ

ไว้ว่างสักนิดหน่อย จะเริ่มเข้าไปคุยด้วย ตอนนี้เข้าไปอ่านเฉยๆ ครับ

อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ คอมพิวเตอร์ที่ขายได้ดีที่สุด เป็นยี่ห้อ Dell นะครับ TI ไม่ค่อยมีคนใช้กันแล้ว เจอที่ไหน ก็มีแต่ Dell แล้วก็ Compaq บางทีก็ IBM. ถ้าไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นพวก Apple ไปเลยครับ อย่างที่ Sony ทำน่ะครับ

ตอนนี้ไม่ได้พักผ่อนอะไรมากนัก อยากจะสอบให้ผ่านน่ะครับ ผ่านแล้วก็จะได้กะว่าจะทำอะไรให้ดีสักทีครับ ขอบคุณที่เขียนด้วยความเป็นห่วง

ความเห็นที่ 62: อำแดงอ้อย ขอบคุณมากๆๆ เมื่อวานรีบมากครับ เพราะว่า เขาเข้าห้องเรียนกันหมดแล้ว เรายังไม่ได้โพสต์เรื่องไว้ ก็เลยลืมแก้ไข code น่ะครับ เอาเป็นว่า ตาบอดสีเมื่อวานก็แล้วกันครับ ขอบคุณที่เขียนด้วยความหวังดี

อ่านเรื่องแปลเรื่องนี้ไปก็แล้วกันนะครับ

ขอคุณพระจงช่วยบันดาลให้คุณ PK และคุณอำแดงอ้อย มีความสุขสันต์สดชื่น ในวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ ไว้คุยกันใหม่ สวัสดีครับ

ทบพร


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 63
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 14 มี.ค. 2552  เวลา 01:05:01   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Hospital Windows หน้าต่างที่โรงพยาบาล

Two men, both seriously ill, occupied the same hospital room. One man was allowed to sit up in his bed for an hour each afternoon to help drain the fluid from his lungs. His bed was next to the room*s only window.

ผู้ชายสองคน, ทั้งคู่นั้นมีความเจ็บป่วยอย่างสาหัส, ได้อาศัยอยู่ในห้องผู้ป่วยห้องเดียวกันในโรงพยาบาล. ผู้ชายคนหนึ่งได้รับอนุญาติให้นั่งขึ้นบนเตียงของเขาได้ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทุกๆ ตอนช่วงกลางวัน เพื่อที่จะช่วยให้เอาของเหลวต่างๆ ระบายออกมาจากปอดทั้งสองข้างของเขา. เตียงนอนของเขาก็อยู่ติดกับหน้าต่างที่มีอยู่บานเดียวในห้องนั้น.

The other man had to spend all his time flat on his back. The men talked for hours on end. They spoke of their wives and families, their homes, their jobs, their involvement in the military service, where they had been on vacation.

ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็ได้ใช้เวลาของเขาทั้งหมดโดยการนอนเงยหน้าเอาแผ่นหลังลงบนเตียง. ผู้ชายทั้งสองก็คุยกันเป็นชั่วโมงๆ จนกระทั่งหมดเวลา. เขาทั้งสองได้พูดถึงภรรยาและครอบครัวของเขา, บ้านของเขา, งานการของเขา, ความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสองในการงานทางทหาร, สถานที่แห่งใดบ้างที่เขาทั้งสองได้เคยไปมาเมื่อตอนลาพักร้อน.

And every afternoon when the man in the bed by the window could sit up, he would pass the time by describing to his roommate all the things he could see outside the window. The man in the other bed began to live for those one-hour periods where his world would be broadened and enlivened by all the activity and color of the world outside.

และในทุกๆ ตอนกลางวันเมื่อ ผู้ชายซึ่งอยู่บนเตียงติดกับหน้าต่างสามารถนั่งขึ้นได้, เขาก็จะใช้เวลาให้ผ่านไปโดยการอธิบายให้เพื่อนร่วมห้องของเขาได้ฟัง เกี่ยวกับทุกๆ สิ่งที่เขาสามารถมองเห็นที่อยู่ภายนอกจากหน้าต่างนั้นได้. ผู้ชายซึ่งนอนอยู่ในอีกเตียงหนึ่งก็เริ่มมีความกระปรี้กระเปร่าอยู่กับระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่โลกของเขาจะถูกเปิดหูเปิดตาและก่อให้จิตใจเกิดความร่าเริงโดยกิจกรรมและสีสันต่างๆ ทั้งหมดจากโลกภายนอก.

The window overlooked a park with a lovely lake. Ducks and swans played on the water while children sailed their model boats. Young lovers walked arm in arm amidst flowers of every color of the rainbow. Grand old trees graced the landscape, and a fine view of the city skyline could be seen in the distance.

หน้าต่างบานนี้สามารถมองลงไปเห็นสวนสาธารณะซึ่งล้อมด้วยทะเลสาบที่น่ารักอยู่ใกล้ๆ แห่งหนึ่ง. ตัวเป็ดและตัวหงษ์ต่างก็เล่นกันอยู่บนน้ำในขณะที่เด็กๆ กำลังควบคุมขับเรือเล็กๆ ซึ่งเป็นของเด็กเล่นอยู่. หนุ่มสาวคู่รักต่างก็เดินคล้องแขนเคียงคลอซึ่งกันและกันท่ามกลางดอกไม้ซึ่งมีสีสรรค์ทุกสีที่ปรากฎให้เห็นอยู่บนรุ้งกินน้ำ. ต้นไม้เก่าแก่ต้นใหญ่ๆ นั้นก็ได้ก่อให้เกิดความงดงามต่อภูมิประเทศ, และได้เห็นทัศนียภาพอย่างดีของตึกต่างๆ ภายในเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกไปพอสมควร.

As the man by the window described all this in exquisite detail, the man on the other side of the room would close his eyes and imagine the picturesque scene.

เมื่อผู้ชายซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างได้อธิบายให้เห็นถึงรายละเอียดอย่างยอดเยี่ยม, ผู้ชายซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องก็เริ่มปิดลูกตาของเขาและสร้างจินตนาการเกี่ยวกับทัศนียภาพที่สวยงามตามที่ได้รับฟังมา.

One warm afternoon the man by the window described a parade passing by. Although the other man couldn*t hear the band - he could see it in his mind*s eye as the gentleman by the window portrayed it with descriptive words. Days and weeks passed.

ในตอนกลางวันที่ร้อนระอุวันหนึ่ง, ผู้ชายซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างก็ได้อธิบายถีงขบวนพาเหรดซึ่งกำลังเดินผ่านอยู่. ถึงแม้ว่า ผู้ชายอีกคนหนึ่งจะไม่สามารถได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงอออกมาได้ - เขาก็สามารถมองเห็นได้จากสายตาในความนึกคิดของเขา เมื่อสุภาพบุรุษซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างนั้นได้พรรณาอธิบายเป็นถ้อยคำอย่างบรรยายความ. และแล้ว หลายวันและหลายสัปดาห์ ก็ได้ผ่านพ้นไป.

One morning, the day nurse arrived to bring water for their baths only to find the lifeless body of the man by the window, who had died peacefully in his sleep. She was saddened and called the hospital attendants to take the body away. As soon as it seemed appropriate, the other man asked if he could be moved next to the window. The nurse was happy to make the switch, and after making sure he was comfortable, she left him alone.

ในตอนเช้าตรู่ของวันหนึ่ง, พยาบาลผลัดกลางวันก็ได้เอาน้ำเข้ามาเพื่อที่จะอาบน้ำชำระความสะอาดร่างกายให้กับผู้ชายทั้งสอง แต่กลับปรากฎว่าได้พบกับร่างที่ปราศจากวิญญาณของผู้ชายซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างอยู่, ซึ่งเสียชีวิตไปอย่างสงบในขณะที่เขากำลังหลับ. เธอมีความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้เรียกให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาจัดการนำศพออกไป. หลังจากนั้นไม่ช้า เมื่อดูแล้วว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม, ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็ได้ถามว่า เขาสามารถเปลี่ยนเตียงนอนให้อยู่ติดกับหน้าต่างได้หรือไม่. พยาบาลก็มีความยินดีที่จะกระทำการสับเปลี่ยนให้, และหลังจากที่ได้ตรวจตราดู ให้แน่ใจแล้วว่า เขาได้รับความสะดวกสบาย, เธอก็ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวในห้องนั้น.

Slowly, painfully, he propped himself up on one elbow to take his first look at the world outside. Finally, he would have the joy of seeing it for himself.

อย่างโดยเชื่องช้า, ด้วยความเจ็บปวด, เขาก็พยุงตัวเองขึ้นมาจากการใช้ข้อศอกข้างหนึ่งของเขา เพื่อจะมองให้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรก. ในท้ายที่สุด, เขาก็สามารถที่จะสร้างความปิติร่างเริงให้กับตนเองต่อการที่ได้เห็นมันกับสายตาของเขาเอง.

He strained to slowly turn to look out the window beside the bed. It faced a blank wall. The man asked the nurse what could have compelled his deceased roommate who had described such wonderful things outside this window. The nurse responded that the man was blind and could not even see the wall.

เขาเอียงคอไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะมองไปนอกหน้าต่างซึ่งอยู่ติดกับเตียงนอนของเขา. ปรากฎว่ามันได้หันหน้าออกไปพบกับทางกำแพงทึบๆ ด้านหนึ่งเท่านั้น. ชายผู้นี้ก็ได้ถามพยาบาลว่า เป็นเหตุอะไรหนอ ที่บังคับสั่งให้เพื่อนร่วมห้องซึ่งเสียชีวิตแล้วนั้น เป็นผู้อธิบายให้เห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่สวยงามตระการตาอยู่นอกหน้าต่างบานนี้. พยาบาลได้ตอบกับมาว่า ผู้ชายที่เสียชีวิตไปนั้น เป็นคนตาบอดและไม่สามารถที่จะมองเห็น แม้แต่ตัวกำแพงได้เลย.

She said, "Perhaps he just wanted to encourage you."

เธอได้กล่าวว่า, "บางที เขาก็เพียงต้องการที่จะให้กำลังใจกับคุณเท่านั้นเอง."


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 64
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 14 มี.ค. 2552  เวลา 08:54:35   IP :(125.24.137.59)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
comment 64...
"Hospital Windows หน้าต่างที่โรงพยาบาล"

     เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบจังเลย รู้สึกว่าอ่านแล้วมีผลต่อความรู้สึกและจิตใจมากจ้ะลุงอ้าย

     ขอบคุณมาก ๆ ที่เสียเวลาแปลเรื่องราวดี ๆ แฝงข้อคิดอย่างนี้
มาให้พวกเราได้อ่านนะจ๊ะ


 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 65
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 17 มี.ค. 2552  เวลา 03:29:04   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Shipwreck เรืออับปาง

The only survivor of a shipwreck was washed up on a small, uninhabited island. He prayed feverishly for God to rescue him, and every day he scanned the horizon for help, but none seemed forthcoming.

ผู้ที่รอดชีวิตคนหนึ่งจากเรืออับปางได้ถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งมาเกยอยู่ยังเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง, ซึ่งไม่มีผู้คนอยู่อาศัย. เขาสวดมนต์ภาวนาอย่างร้อนรุ่มกระสับกระส่ายต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อขอให้เขาได้รับการช่วยชีวิต, และทุกๆ วัน เขาก็กวาดสายตามองดูทางขอบฟ้าอย่างละเอียดเพื่อที่จะให้ได้รับการช่วยเหลือ, แต่ก็ดูเสมือนว่าไม่มีอะไรที่กำลังจะมาถึงได้.

Exhausted, he eventually managed to build a little hut out of driftwood to protect him from the elements and to store his few possessions. But then one day, after scavenging for food, he arrived home to find his little hut in flames, the smoke rolling up to the sky.

ถึงแม้จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง, แต่แล้วในที่สุด เขาก็สามารถดำเนินการก่อสร้างกระท่อมเล็กๆ ได้โดยใช้ไม้ต่างๆ ที่ลอยมายังชายฝั่ง เพื่อที่จะปกป้องเขาจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติและเพื่อเก็บสิ่งของสองสามสิ่งของเขา. แต่หลังจากนั้นในวันหนึ่ง, หลังจากที่ออกไปแสวงหาอาหารที่ยังใช้ได้อยู่, เขากลับมาที่บ้านก็ได้พบว่า กระท่อมน้อยของเขานั้นกำลังลุกโชติช่วงด้วยไฟอยู่, ควันนั้นได้ลอยคลุ้งสูงขึ้นไปสู่ท้องฟ้า.

The worst had happened; everything was lost. He was stunned with grief and anger. "God, how could you do this to me!" he cried. Early the next day, however, he was awakened by the sound of a ship that was approaching the island. It had come to rescue him. "How did you know I was here?" asked the weary man of his rescuers. "We saw your smoke signal," they replied.

สิ่งที่แย่ที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว; ทุกสิ่งทุกอย่างได้สูญหายสิ้นไป. เขาได้ตะลึงงันด้วยความอาลัยเศร้าโศกและด้วยความโกรธ. "ท่านพระผู้เป็นเจ้า, ทำไมท่านถึงได้กระทำการอย่างนี้กับตัวฉัน! " เขาก็ยังร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ต่อไป. อย่างไรก็ตาม, ในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น, เขาก็ได้ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงหวูดของเรือใหญ่ลำหนึ่งซึ่งกำลังเข้ามาหาที่เกาะแห่งนั้น. เรือลำนี้ได้มาเพื่อที่จะช่วยชีวิตเขา. "คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่นี่ล่ะ? " ถามโดยผู้ชายซึ่งกำลังอิดโรยอยู่กับผู้ที่ช่วยชีวิตเขา. "พวกเราเห็นสัญญาณควันของคุณ, " พวกเขาได้ตอบกลับมา.

It is easy to get discouraged when things are going badly. But we shouldn*t lose heart, because God is at work in our lives, even in the midst of pain and suffering. Remember, next time your little hut is burning to the ground--it just may be a smoke signal that summons The Grace of God.

เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ที่เกิดการหมดกำลังในเมื่อสิ่งต่างๆ นั้นเริ่มกลายเป็นเรื่องร้ายขึ้นมา. แต่เราไม่ควรที่จะสูญเสียส่วนลึกของจิตใจ, เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้กระทำหน้าที่ต่างๆ อยู่ในชีวิตของพวกเรา, ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดและความทุกข์. จำไว้ว่า, ครั้งต่อไป เมื่อกระท่อมน้อยของคุณกำลังลุกไหม้อยู่บนพื้น --- มันอาจจะเป็นสัญญาณควันที่เรียกร้องขอความกรุณาที่ดีงามต่อท่านพระผู้เป็นเจ้าก็ได้.

Pass this on. You never know who may be in need of this today.

ช่วยส่งเรื่องนี้ไป: คุณจะไม่เคยรู้เลยว่า มีใครบ้างที่กำลังต้องการเรื่องแบบนี้ในวันนี้.

Famous Quote คำกล่าวอันมีชื่อเสียง

"You are only young once, but you can stay immature indefinitely."

"คุณอาจจะเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ได้เพียงครั้งเดียว, แต่คุณสามารถดำรงอยู่อย่างไม่ยอมโตนั้น ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด"


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 66
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 18 มี.ค. 2552  เวลา 00:44:26   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Happiness ความสงบสุข

by : Anthony de Mello, SJ โดย: แอนโทนี่ เดอ เมโย, เอสเจ

"I am in desperate need of help -- or I*ll go crazy. We*re living in a single room -- my wife, my children and my in-laws. So our nerves are on edge, we yell and scream at one another. The room is a hell."

" ผมกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ – ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็คงกลายเป็นคนเสียสติไปแน่ๆ. เราทั้งหมดได้อยู่รวมกันในห้องๆ เดียว – ภรรยาผม, ลูกๆ ของผม และทั้งลูกเขยลูกสะใภ้ผม. ดังนั้น ความเครียดก็กำลังเขยิบเข้ามาทีละน้อย, เราตะโกนพูดและแผดเสียงกรีดร้องใส่ซึ่งกันและกัน. ห้องทั้งห้องนั้นก็เหมือนกับนรกดีๆ นี่เองครับ."

"Do you promise to do whatever I tell you?" said the Master gravely.

" เจ้าให้คำมั่นสัญญาได้หรือเปล่าว่า จะกระทำอะไรใดๆ ก็ตามที่ฉันได้บอกกับเจ้า? " กล่าวโดยอาจารย์ใหญ่ด้วยความเคร่งขรึม.

"I swear I shall do anything."

" ผมสาบานว่าผมจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างครับ."

"Very well. How many animals do you have?"

" อย่างนั้นก็ดีแล้ว. เจ้ามีสัตว์เลี้ยงกี่ตัวล่ะ?"

"A cow, a goat and six chickens."
" มีวัวตัวหนึ่ง, แพะตัวหนึ่งและก็ไก่อีกหกตัวครับ."

"Take them all into the room with you. Then come back after a week."

" นำเอาสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ทั้งหมดเข้าไปอยู่ในห้องกับเจ้า. จากนั้น กลับมาที่นี่ อีกสัปดาห์หนึ่งต่อมา."

The disciple was appalled. But he had promised to obey! So he took the animals in. A week later he came back, a pitiable figure, moaning, "I*m a nervous wreck. The dirt! The stench! The noise! We*re all on the verge of madness!"

สานุศิษย์ก็มีความตกใจ. แต่ทว่าเขาได้สัญญากับอาจารย์ใหญ่ไว้แล้วว่าจะเชื่อฟัง! ดังนั้น เขาก็เอาสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในห้อง. หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เขาก็กลับมาหา, ด้วยบุคลิกภาพที่ดูน่าสังเวช, บ่นคร่ำครวญว่า, " ตอนนี้ผมก็เหมือนกับคนที่มีสุขภาพจิตที่เสื่อมโทรมและร้อนรนด้วยน่ะครับ. ทั้งดินโคลนสกปรก! ทั้งกลิ่นที่เหม็นคลุ้ง! ทั้งเสียงดังลั่น! พวกเราทุกคนก็จวนจะใกล้วิกลจริตเต็มทีแล้วครับ! "

"Go back," said the Master, "and put the animals out."

" กลับไปบ้าน," กล่าวโดยอาจารย์ใหญ่, "และนำเอาสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นออกไปเสีย."

The man ran all the way home. And came back the following day, his eyes sparkling with joy. "How sweet life is! The animals are out. The home is a Paradise, so quiet and clean and roomy!"

ผู้ชายคนนั้นก็วิ่งโล่ตลอดทางกลับมายังที่บ้าน. และได้กลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น, ลูกตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความเบิกบานร่าเริง. " ชีวิตช่างชุ่มฉ่ำแสนหวานอะไรเช่นนี้นะ! สัตว์เลี้ยงได้ออกไปแล้ว. บ้านก็คือสรวงสวรรค์, ช่างเงียบสงัดและสะอาดและกว้างใหญ่อะไรเช่นนี้! "


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 67
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 19 มี.ค. 2552  เวลา 01:13:07   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Getting Here From Here มาถึงที่นี่จากที่นี่

An American businessman was at a pier in a small coastal Mexican village when a small boat with just one fisherman docked. Inside the small boat were several large yellow fin tuna. The American complimented the Mexican on the quality of his fish and asked how long it took to catch them. The Mexican replied that it only took a short while.

นักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ชายสะพานแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ ชายฝั่งของประเทศแม๊กซิโกในขณะที่เรือลำเล็กๆ ลำหนึ่ง ซึ่งมีชาวประมงเพียงผู้เดียวกำลังจอดเทียบท่า. ภายในเรือลำเล็กๆ นั้น ก็มีปลาทูน่าครีบเหลืองตัวใหญ่ๆ อยู่หลายตัว. ชาวอเมริกันก็ชมเชยชาวประมงเม๊กซิกันให้เขาฟังถึงคุณภาพของปลาและได้ถามว่าใช้เวลานานหรือเปล่ากว่าจะจับมันได้ทั้งหมด. ชาวเม็กซิกันก็ตอบกลับไปว่า เขาใช้เวลาเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง.

The American then asked why he didn*t stay out longer and catch more fish. The Mexican said that he had caught enough to support his family*s immediate needs.

จากนั้น ชาวอเมริกันก็ถามว่า ทำไมเขาถึงไม่ออกไปหาปลาให้นานกว่านี้และเพื่อที่จะได้จับปลาได้มากขึ้น. ชาวเม๊กซิกันกล่าวว่า เขาจับปลาได้เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเขาต่อความต้องการต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้.

The American then asked, but what do you do with the rest of your time? The fisherman said, "I sleep late, fish a little, play with my children, take siesta with my wife, Maria, stroll into the village each evening where I sip wine and play guitar with my friends. I have a full and busy life, senor."

จากนั้น ชาวอเมริกันก็ได้ถามขึ้นว่า, แต่ทว่าคุณไปทำอะไรกับเวลาที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดเล่า? ชาวประมงก็ตอบว่า, "ผมก็นอนดึก, ตกปลาสักนิดหน่อย, เล่นกับลูกๆ ของผม, นอนงีบตอนกลางวันสักพักหนึ่งกับมาเรีย, ภรรยาของผม, เดินทอดน่องไปในหมู่บ้านทุกๆ ค่ำคืน เพื่อที่ผมจะได้ไปจิบไวน์และเล่นกีต้าร์กับเพื่อนๆ ของผม. ชีวิตผมก็สุขเต็มเปี่ยมและยุ่งไปด้วยเรื่องอย่างนี้ครับ, ท่าน."

The American scoffed, "I am a Harvard MBA and could help you. You should spend more time fishing and with the proceeds, buy a bigger boat. With the proceeds earned fishing from the bigger boat, you could buy several boats and eventually you will have a fleet of fishing boats. Instead of selling your catch to a middleman, you would sell directly to the processor, eventually opening your own cannery. You would control the product, processing and distribution. You would need to leave this small village and move to Mexico city, then LA and eventually New York City where you will run your expanding enterprise."

ชาวอเมริกันก็พูดขึ้นมาแบบเยาะเย้ยว่า, "ฉันจบการศึกษาบริหารธุรกิจระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสามารถช่วยคุณได้. คุณควรที่จะใช้เวลามากขึ้นหน่อยต่อการจับหาปลา และ ด้วยการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ, ซื้อเรือให้ลำใหญ่ขึ้นกว่าเก่า. ด้วยการดำเนินการจากผลกำไรที่ได้จากการประมงเพราะเรือที่ใหญ่ขึ้นนี่แหละ, คุณก็สามารถซื้อเรืออีกได้หลายๆ ลำ และในท้ายที่สุด คุณก็จะมีกองเรือการประมงอยู่หลายๆ ลำ. แทนที่คุณจะไปขายปลาที่คุณจับได้กับพ่อค้าคนกลาง, คุณก็สามารถที่จะขายได้โดยตรงกับผู้ประกอบการ, ในท้ายที่สุด คุณก็สามารถเปิดกิจการบรรจุปลากระป๋องได้เป็นของคุณเอง. คุณสามารถควบคุมเรื่องการผลิต, การดำเนินการและการจำหน่ายจ่ายแจกผลิตภัณฑ์. คุณสามารถที่จะออกไปจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้และย้ายไปอยู่ที่ เม๊กซิโก ซิตี้, จากนั้นก็ที่ ล้อส แองเจิลลีส และในท้ายที่สุดก็ที่ นิวยอร์ค ซิตี้ ซึ่งเป็นสถานที่คุณจะปฎิบัติการเปิดขยายบริษัทกิจการของคุณต่อไป."

The fisherman asked, "But senor, how long will all this take?"

ชาวประมงก็ได้ถามขึ้นว่า, "แต่ท่านครับ, มันจะต้องใช้เวลาทั้งหมดเท่าไรต่อการกระทำแบบนี้ครับ? "

The American replied, "15-20 years."

ชาวอเมริกันตอบกลับไปว่า, "15-20 ปี."

"But then what, senor?"

"แต่หลังจากนั้นล่ะครับ, ท่าน, อะไรจะเกิดขึ้นต่อ?"

The American laughed and said, "That*s the best part. When the time is right, you would sell your company stock to the public and become very rich. You would make millions!"

ชาวอเมริกันก็หัวเราะและกล่าวตอบไปว่า, "นั่นคือส่วนที่ดีที่สุด. เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว, คุณก็จะขายหุ้นบริษัทของคุณให้กับสาธาณชนและกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยมหาศาล. คุณสามารถมีเงินเป็นล้านๆ เหรียญสหรัฐ เชียวนะ! "

"Millions, senor? Then what?"

"ล้านๆ เหรียญเชียวหรือ, ท่านครับ? แล้วจากนั้น อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปครับ? "

The American said, "Then you would retire. Move to a small coastal fishing village where you would sleep late, fish a little, play with your kids, take siesta with your wife, stroll to the village in the evenings where you could sip wine and play guitar with your friends. "

ชาวอเมริกันก็ได้กล่าวตอบว่า, "จากนั้น คุณก็จะเลิกทำงาน. ย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งตามชายฝั่งซึ่งคุณสามารถนอนดึก, ตกปลาสักนิดหน่อย, เล่นกับลูกๆ ของคุณ, นอนงีบตอนกลางวันสักพักหนึ่งกับภรรยาของคุณ, เดินทอดน่องไปในหมู่บ้านทุกๆ ค่ำคืน เพื่อที่คุณจะได้ไปจิบไวน์และเล่นกีต้าร์กับเพื่อนๆ ของคุณยังไงล่ะ. "

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 68
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 19 มี.ค. 2552  เวลา 08:08:04   IP :(125.24.123.248)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
คม. 68

อ่าน Getting Here From Here จบแล้ว นึกถึงวจีนี้
"สูงสุดคืนสู่สามัญ"

 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 69
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 20 มี.ค. 2552  เวลา 01:32:44   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
Keep on knocking จงเคาะเรียกต่อไปเรื่อยๆ

When Colonel Harland Sanders retired at the age of 65, he had little to show for himself, except an old Caddie roadster, a $105 monthly pension check, and a recipe for chicken.

เมื่อนายพันเอกฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ได้เกษียณเมื่อตอนอายุ 65 ปี, เขามีสิ่งเล็กน้อยต่อการพิสูจน์ให้กับตัวเขาเอง, นอกจากรถเปิดประทุนเก่าๆ คันหนึ่ง, เช็คเงินบำนาญประจำเดือนจำนวน $105 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ, และก็ตำราอาหารสูตรหนึ่งที่ใช้ในการปรุงไก่ทอด.

Knowing he couldn*t live on his pension, he took his chicken recipe in hand, got behind the wheel of his van, and set out to make his fortune. His first plan was to sell his chicken recipe to restaurant owners, who would in turn give him a residual for every piece of chicken they sold--5 cents per chicken. The first restaurateur he called on turned him down.

โดยการที่ทราบว่าเขาไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเขาเองจากเงินบำนาญนี้, เขาก็นำเอาตำราอาหารปรุงไก่ที่มีอยู่ในมือสูตรนี้, แล้วก็นั่งลงที่หลังพวงมาลัยในรถสินค้าของเขา, และก็เริ่มออกเดินทางเพื่อแสวงหาโชคลาภให้กับตัวเขา. แผนการแรกของเขาก็คือขายตำราอาหารปรุงไก่ทอดสูตรนี้ให้กับเจ้าของร้านอาหารต่างๆ, ซึ่งในทางปฎิบัตินั้น จะเป็นผู้ให้ค่าตอบแทนที่เหลือ เมื่อพวกเขาสามารถขายไก่ทอดแต่ละชิ้นได้ เป็นจำนวน 5 เซ็นต์ต่อหนึ่งชิ้น. เจ้าของร้านอาหารแห่งแรกที่เขาไปแวะหา ก็ได้ปฎิเสธที่จะกระทำธุรกิจกับตัวเขา.

So did the second.

เป็นแบบเดียวกันกับร้านที่สอง.

So did the third.

เป็นแบบเดียวกันกับร้านที่สาม.

In fact, the first 1008 sales calls Colonel Sanders made ended in rejection. Still, he continued to call on owners as he traveled across the USA, sleeping in his car to save money. Prospect number 1009 gave him his first "yes."

โดยแท้จริงแล้ว, ร้านขายอาหารที่พันเอกแซนเดอร์ได้ติดต่อกับเจ้าของร้านทั้งหมดเป็นจำนวน 1,008 ร้านแรกนั้น ได้จบสิ้นสุดลงด้วยการถูกบอกปัดปฎิเสธ. อย่างไรก็ตาม, เขาก็ยังคงไปแวะหาเจ้าของร้านต่างๆ เมื่อเขาเดินทางข้ามประเทศสหรัฐอเมริกา, ยอมนอนในรถของเขาเพื่อประหยัดเงินไว้. ผู้ที่อาจเป็นลูกค้าของเขาจากร้านที่ 1,009 ได้ให้คำตอบว่า " เอาด้วย" กับเขาเป็นครั้งแรก.

After two years of making daily sales he had signed up a total of five restaurants. Still the Colonel pressed on, knowing that he had a great chicken recipe and that someday the idea would catch on.

หลังจากสองปีที่พยายามขายสินค้าอย่างนี้ทุกๆ วัน, เขาได้ทำสัญญากับร้านอาหารทั้งหมดห้าแห่ง. ถึงอย่างไรก็ตาม นายพันเอกผู้นี้ก็ยังดำเนินการต่อไป, โดยรู้เป็นอย่างดีว่าเขามีตำราอาหารปรุงไก่ทอดที่ดีเยี่ยมและในวันเวลาข้างหน้า ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็อาจจะกลายเป็นที่รู้จักกันดีได้.

Of course, you know how the story ends. The idea DID catch on. By 1963 the Colonel had 600 restaurants across the country selling his secret recipe of Kentucky Fried Chicken (with 11 herbs and spices).

แน่นอนที่สุด, คุณก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้จบลงมาได้อย่างไร. ความคิดนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดียิ่ง. ในปี ค.ศ. 1963, นายพันเอกผู้นี้ก็มีร้านอาหารทั้งหมด 600 ร้านทั่วประเทศ ด้วยการขายสูตรอาหารลับของเขาที่มีชื่อว่า เคนตั้กกี้ ฟรายด์ ชิ้คเก้น (ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ หรือ เค เอฟ ซี ในปัจจุบัน) (ด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศ 11 อย่าง).

In 1964 he was bought out by future Kentucky governor John Brown. Even though the sale made him a multi-millionaire, he continued to represent and promote KFC until his death in 1990.

ในปี ค.ศ. 1964, กิจการของเขาก็ได้ถูกซื้อไปโดยผู้ว่าการมลรัฐเคนตั๊กกี้ในอนาคตคือนาย จอห์น บราวน์. ถึงแม้ว่าการขายกิจการนี้ได้ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีเงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ, เขาก็ยังคงเป็นตัวแทนและส่งเสริมโฆษณาให้กับ เค เอฟ ซี จนกระทั่งเขาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1990.

Colonel Sanders* story teaches an important lesson: it*s never too late to decide to never give up.

เรื่องของนายพันเอกแซนเดอร์นี้ได้สอนให้รู้ถึงบทเรียนอันสำคัญอย่างหนึ่ง: ไม่เคยที่มีการสายจนเกินไปที่จะตัดสินใจที่ว่า จะต้องไม่ยอมเลิกล้มความพยายาม.

Earlier in his life the Colonel was involved in other business ventures--but they weren*t successful. He had a gas station in the 30*s, a restaurant in the 40*s, and he gave up on both of them. At the age of 65, however, Harland Sanders decided his chicken idea was the right idea, and he refused to give up, even in spite of repeated rejection.

ก่อนหน้านั้นในชีวิตของนายพันเอกผู้นี้ เขาก็ได้ไปเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงลงทุนทำธุรกิจอื่นๆ --- แต่ทว่าเรื่องเหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จได้. เขามีปั๊มขายน้ำมันแห่งหนึ่งในปีทศวรรษ 1930, ร้านขายอาหารในปีทศวรรษ 1940, และ เขาก็หยุดเลิกทำกิจการทั้งสองอย่าง. อย่างไรก็ตาม, เมื่อเขาอายุ 65 ปี, ฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ได้ตัดสินใจว่าความคิดในเรื่องสูตรการปรุงไก่ทอดนั้นเป็นความคิดที่ถูกต้อง, และเขาปฎิเสธที่จะละทิ้งความพยายาม, ถึงแม้กระทั่งว่าจะได้ถูกปฎิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก.

He knew that if he kept on knocking on doors, eventually someone would say "yes." This is how Jesus has commanded to approach life. He said, "Ask and it will be given to you; seek and you will find; knock and the door will be opened to you." (Luke 11:9) This verse follows a story Jesus told emphasizing the importance of a "never-give-up" attitude in prayer. Jesus is saying, "Ask--not just once, but as many times as is necessary. Keep on knocking till the door is opened." If you have made half-hearted attempts at doing God*s will in your life...if you have given up too easily in the past...remember: It*s never too late to become persistent. It*s never too late to decide to never give up. Keep on knocking. Keep on asking. Keep on seeking.

เขาทราบว่าถ้าเขายังคงเคาะประตูที่อยู่ถัดไปเรื่อยๆ, ในท้ายที่สุด คนบางคนก็จะต้องพูดว่า "เอาด้วย." นี่ก็คือเรื่องที่ พระเยซูเจ้าได้ทรงสั่งการว่าควรจะปฎิบัติต่อชีวิตอย่างไรบ้าง. ท่านได้ตรัสไว้ว่า "จงร้องขอและจะคุณจะได้รับมัน; จงแสวงหาและคุณก็จะได้พบกับมัน; จงเคาะต่อไปเรื่อยๆ และประตูก็จะเปิดให้กับตัวคุณ." (คัมภีร์ลูกา 11:9) พระคัมภีร์บทนี้ได้ติดตามเรื่องราวที่พระเยซูเจ้า ได้ทรงกล่าวเน้นถึงความสำคัญของกิริยาการวางตัวต่อการสวดมนต์อธิษฐานในเรื่อง "ไม่เคยที่จะยอมแพ้". พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวว่า, "จงถาม – ไม่ใช่แต่เพียงครั้งเดียว, แต่ควรจะเป็นหลายครั้งหลายคราตามเท่าที่จำเป็น. จงเคาะไปเรื่อยๆ อย่าหยุดที่เดียว จนกระทั่งประตูถัดไปได้เปิดให้เห็นได้." ถ้าคุณมีความพยายามเพียงครึ่งหนึ่งของพลังในหัวใจที่จะกระทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าท่านพึงประสงค์ให้คุณกระทำในชีวิตของคุณ ..... ถ้าคุณได้หยุดล้มเลิกกระทำการอะไร อย่างโดยง่าย ๆ จน เกินไปในสมัยอดีต.... ขอให้จำไว้ว่า: มันไม่เคยเป็นเรื่องที่สายเกินไปต่อการเริ่มการยืนหยัดต่อสู้. มันไม่เคยเป็นเรื่องที่สายเกินไปที่จะตัดสินใจว่าจะต้องไม่ล้มเลิกความพยายาม. จงเคาะอยู่ต่อไป. จงร้องขออยู่ต่อไป. จงแสวงหาอยู่ต่อไป.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 70
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 20 มี.ค. 2552  เวลา 01:34:18   IP :(117.47.155.23)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
ขยัน ขันแข็ง ไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย

ทำต่อไปถ้าใจรัก

Good night!

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 71
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 20 มี.ค. 2552  เวลา 01:34:20   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

อ่านเรื่องข้างบนก็เอากล่องนี้ไปรับประทานซะ !

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 72
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 20 มี.ค. 2552  เวลา 01:38:46   IP :(117.47.155.23)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332

ขอชิมสักชิ้น ก่อนเข้านอน

ที่เหลือ เก็บไว้หม่ำตอนเช้า

ขอบคุณที่ส่งมาให้

คุณทบพร รู้ประวัติ KFC ไหม

วานบอกที

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 73
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 21 มี.ค. 2552  เวลา 00:33:24   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Be Patient อดกลั้นหักห้ามใจ

A man came out of his home to admire his new truck. To his puzzlement, his three-year-old son was happily hammering dents into the shiny paint.

ผู้ชายคนหนึ่งได้ออกมาจากบ้านของเขาเพื่อที่จะชื่นชมกับรถบรรทุกคันใหม่เอี่ยมของเขา. ด้วยความตะลึงงงวยเป็นอย่างยิ่ง, ลูกชายอายุสามขวบของเขาก็กำลังใช้ค้อนทุบตัวถังรถอยู่อย่างมีความสุข จนเป็นรอยบุ๋มอยู่บนพื้นสีรถที่วับวาว.

The man ran to his son, knocked him away, hammered the little boy*s hands into pulp as punishment.

ผู้ชายก็วิ่งตรงไปยังลูกชายของเขา, ผลักให้เด็กกระเด็นออกไป, แล้วใช้ค้อนทุบบนมือเล็กๆ ของเด็กน้อยคนนั้นจนช้ำบวมเพื่อเป็นการทำโทษ.

When the father calmed down, he rushed his son to the hospital. Although the doctor tried desperately to save the crushed bones, he finally had to amputate the fingers from both the boy*s hands.

เมื่อตัวผู้พ่อนั้นได้เริ่มสงบจากความโกรธลงมา, เขาก็รีบนำตัวลูกชายของเขาไปยังที่โรงพยาบาล. ถึงแม้ว่านายแพทย์จะพยายามอย่างสุดหัวใจเพื่อที่จะช่วยประสานกระดูกที่แตกละเอียด, ในที่สุด เขาก็ต้องตัดเอานิ้วทั้งหมดออกไปจากมือทั้งสองของเด็กชายน้อยคนนี้.

When the boy woke up from the surgery & saw his bandaged stubs, he innocently said, " Daddy, I*m sorry about your truck." Then he asked, "but when are my fingers going to grow back?"

เมื่อลูกชายได้ตื่นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดและได้เห็นมือที่เหลืออยู่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล, เขาก็พูดขึ้นอย่างไร้เดียงสาว่า, "พ่อครับ, ผมเสียใจด้วยเกี่ยวกับรถบรรทุกของพ่อนะครับ." หลังจากนั้นเขาก็ถามต่อไปว่า, "แต่เมื่อไรที่นิ้วของผมจะเริ่มงอกขึ้นมาเสียทีล่ะครับ? "

The father went home & committed suicide.

ตัวพ่อได้กลับไปที่บ้านและได้กระทำการฆ่าตัวตาย.

Think about the story the next time u see someone spill milk at a dinner table or hear a baby crying. Think first before u lose your patience with someone u love.

กรุ่นคิดให้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อโอกาสภายหน้า คุณอาจได้เห็นคนบางคนได้ทำน้ำนมหกรดบนโต๊ะอาหารหรือได้ยินเด็กทารกส่งเสียงร้องดังลั่น. ต้องคิดให้รอบคอบเป็นอย่างแรก ก่อนที่คุณจะสูญเสียความอดทนของคุณให้กับบุคคลที่คุณรัก.

Trucks can be repaired. Broken bones & hurt feelings often can*t.

รถบรรทุกนั้นสามารถซ่อมแซมได้. กระดูกที่หักและความรู้สึกที่เจ็บปวดโดยส่วนมากแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะรักษาได้.

Too often we fail to recognize the difference between the person and the performance.

เราประสบความล้มเหลวบ่อยครั้งเกินไป ที่จะรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวบุคคลและการกระทำ.

People make mistakes. We are allowed to make mistakes. But the actions we take while in a rage will haunt us forever.

ผู้คนนั้นกระทำความผิดพลาดได้. เรายอมให้เกิดการกระทำที่ผิดพลาดได้. แต่การปฎิบัติที่เราใช้ในขณะที่อยู่ในความโกรธแค้นอย่างเดือดดาลนั้น ก็จะหลอกหลอนตัวเราเองโดยตลอดไป.

Pause and ponder. Think before you act. Be patient. Understand & love.

จงหยุดคิดและไตร่ตรองดูสักชั่วขณะหนึ่ง. คิดก่อนที่คุณจะกระทำมันลงไป. อดกลั้นหักห้ามใจ. ให้ความเข้าใจและความรักกับตัวบุคคลเหล่านั้น.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 74
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 24 มี.ค. 2552  เวลา 02:30:28   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

House Of 1000 Mirrors คฤหาสน์แห่งกระจกเงา 1,000 บาน

Long ago in a small, far away village, there was place known as the House of 1000 Mirrors. A small, happy little dog learned of this place and decided to visit.

ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ, ซึ่งอยู่ไกลมาก, มีสถานที่ที่มีชื่อ คฤหาสถ์แห่งกระจกเงา 1,000 บาน. ลูกหมาตัวน้อยตัวหนึ่ง, ซึ่งมีความสุขอยู่ในใจได้ทราบถึงสถานที่แห่งนี้และได้ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปสำรวจดู.

When he arrived, he bounced happily up the stairs to the doorway of the house. He looked through the doorway with his ears lifted high and his tail wagging as fast as it could. To his great surprise, he found himself staring at 1000 other happy little dogs with their tails wagging just as fast as his. He smiled a great smile, and was answered with 1000 great smiles just as warm and friendly. As he left the House, he thought to himself, "This is a wonderful place. I will come back and visit it often."

เมื่อเขาได้มาถึง, เขาก็วิ่งอย่างซุกซนอย่างมีความสุข โดยขึ้นไปบนบันไดสู่ประตูทางเข้าของคฤหาสน์แห่งนั้น. เขามองผ่านประตูทางเข้าด้วยการยกหูทั้งสองข้างเขาให้สูงและกระดิกหางของเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้. ด้วยความประหลาดใจต่อเขา, เขาก็ได้พบตัวเองจ้องมองอยู่กับลูกหมาน้อยๆ ตัวอื่นอีก 1,000 ตัว ซึ่งกำลังยิ้มและแสดงความอบอุ่นและความเป็นมิตรให้อยู่. เมื่อเขาออกมาจากคฤหาสน์แห่งนั้น, เขาก็บอกกับตัวเขาเองว่า, "สถานที่แห่งนี้ดียอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก. ฉันจะต้องกลับมาและเยี่ยมเยือนมันอยู่บ่อยๆ."

In this same village, another little dog, who was not quite as happy as the first one, decided to visit the house. He slowly climbed the stairs and hung his head low as he looked into the door. When he saw the 1000 unfriendly looking dogs staring back at him, he growled at them and was horrified to see 1000 little dogs growling back at him. As he left, he thought to himself, "That is a horrible place, and I will never go back there again."

ในหมู่บ้านเดียวกันนี้, ก็มีลูกหมาน้อยอีกตัวหนึ่ง, ผู้ซึ่งไม่ค่อยจะมีความสุขกายสบายใจนักเหมือนกับลูกหมาน้อยตัวแรก, ก็ได้ตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเยียนคฤหาสน์แห่งนั้นบ้าง. เขาก็เดินขึ้นไปบนบันไดอย่างเชื่องช้าและก้มศีรษะอยู่ต่ำๆ ในขณะที่เขามองเข้าไปในประตู. เมื่อเขาเห็นลูกหมาซึ่งดูไม่เป็นมิตร 1,000 ตัวกำลังจ้องมองเขาอยู่, เขาก็ขู่คำรามกับเจ้าพวกนั้นและก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อเห็นลูกหมาน้อยอีก 1,000 ตัวนั้น ได้ขู่คำรามกลับมายังที่ตัวเขา. เมื่อเขากลับออกมา, เขาก็บอกกับตัวเองว่า, "สถานที่แห่งนั้นเป็นคฤหาสน์ที่น่าสยองขวัญมาก, และฉันจะไม่กลับไปที่นั่นอีกเลย."

All the faces in the world are mirrors. What kind of reflections do you see in the faces of the people you meet?

ใบหน้าทั้งหมดในโลกนี้ก็คือกระจกเงานั่นเอง. ภาพสะท้อนประเภทใดที่คุณได้เห็นในใบหน้าของผู้คนที่คุณได้พบปะพูดจากันอยู่ล่ะ?


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 75
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 25 มี.ค. 2552  เวลา 01:04:47   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Most Important Question คำถามที่สำคัญที่สุด

During my second month of nursing school, our professor gave us a pop quiz.

ระหว่างเดือนที่สองของฉันในวิทยาลัยพยาบาล, อาจารย์ของพวกเราก็ได้ให้ข้อสอบแบบที่ไม่ได้เตรียมตัวมาบอกล่วงหน้าก่อนกับพวกเรา.

I was a conscientious student and had breezed through the questions, until I read the last one: "What is the first name of the woman who cleans the school?"

ฉันเป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนอย่างดีอยู่แล้วและก็ตอบผ่านคำถามเหล่านั้นได้อย่างสบายๆ, จนกระทั่งฉันอ่านคำถามข้อสุดท้าย: "ผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ที่ทำความสะอาดวิทยาลัยของเรานั้น มีชื่อว่าอะไร? "

Surely this was some kind of joke. I had seen the cleaning woman several times. She was tall, dark-haired and in her 50s, but how would I know her name?

เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ตลกอย่างหนึ่งเป็นแน่. ฉันได้เห็นผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ทำความสะอาดคนนี้หลายครั้งหลายครา. เธอเป็นคนสูง, มีเส้นผมสีดำเข้มและอายุประมาณ 50 กว่าๆ, แต่ฉันจะไปรู้ชื่อของเธอได้อย่างไรล่ะ?

I handed in my paper, leaving the last question blank.

ฉันก็ยื่นกระดาษข้อสอบให้กับอาจารย์, และก็ปล่อยให้คำถามสุดท้ายนั้น เว้นว่างไว้.

Before class ended, one student asked if the last question would count toward our quiz grade.

ก่อนที่ชั้นนั้นจะหมดลง, นักศึกษาผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า คำถามสุดท้ายนั้นจะถูกนับมารวมกับคะแนนข้อสอบของพวกเราหรือไม่.

"Absolutely," said the professor. "In your careers you will meet many people. All are significant. They deserve your attention and care, even if all you do is smile and say *hello*."

"แน่นอนที่สุด," อาจารย์ได้กล่าวขึ้น. "ในอาชีพของพวกคุณ คุณจะต้องพบกับบุคคลมากมายหลากหลาย. ทุกๆ คนมีความสำคัญทั้งสิ้น. พวกเขาสมควรจะได้รับความสนใจและความห่วงใยจากพวกคุณ, ถึงแม้ว่าสิ่งที่คุณกระทำได้ทั้งหมดนั้น เป็นเพียงแต่ส่งยิ้มให้และกล่าวคำว่า *สวัสดี* ก็ตาม. "

I*ve never forgotten that lesson. I also learned her name was Dorothy.

ฉันไม่เคยที่จะลืมบทเรียนที่ได้รับจากวันนั้นเลย. ฉันก็ยังได้รู้ต่อมาด้วยว่า ชื่อของเธอนั้นคือ โดโรธี.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 76
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 26 มี.ค. 2552  เวลา 04:54:28   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Parable Of The Pencil ภาษิตของดินสอ


The Pencil Maker took the pencil aside, just before putting him into the box.

ผู้ประดิษฐ์ดินสอได้นำเอาแท่งดินสอมาไว้ข้างๆ, เพียงแต่ก่อนที่จะนำเอาดินสอแท่งนั้นไปใส่ในกล่อง.

"There are 5 things you need to know," he told the pencil, "Before I send you out into the world. Always remember them and never forget, and you will become the best pencil you can be."

"มีอยู่ 5 อย่างที่เจ้าต้องรับรู้ไว้," เขากล่าวให้กับดินสอได้ฟัง, "ก่อนที่ฉันจะส่งเจ้าออกไปสู่โลกกว้าง. จงจำเรื่องที่ฉันกล่าวนี้ไว้เสมอและไม่เคยที่จะลืมเลือน, และเจ้าจะกลายเป็นแท่งดินสอที่ดีสุดเท่าที่เจ้าจะเป็นได้."

"One: You will be able to do many great things, but only if you allow yourself to be held in Someone*s hand."

"ข้อที่หนึ่ง: เจ้าจะสามาถกระทำการที่ยิ่งใหญ่ได้หลายอย่าง, แต่ถ้าเจ้ายอมให้ตนเอง อยู่ในอุ้งมือของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น."

"Two: You will experience a painful sharpening from time to time, but you*ll need it to become a better pencil."

"ข้อที่สอง: เจ้าจะประสบกับความเจ็บปวดจากการฝนลับให้คมขึ้นเป็นครั้งคราว, แต่เจ้าจะต้องการมัน เพื่อที่จะได้เป็นดินสอที่ดีกว่าเก่า."

"Three: You will be able to correct any mistakes you might make."

"ข้อที่สาม: เจ้าจะสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดใดๆ ที่เจ้าอาจจะได้กระทำมาก่อน."

"Four: The most important part of you will always be what*s inside."

"ข้องที่สี่: ส่วนที่สำคัญที่สุดของเจ้านั้น จะอยู่ภายในตัวของเจ้าเองโดยเสมอ."

"And Five: On every surface you are used on, you must leave your mark. No matter what the condition, you must continue to write."

"และข้อที่ห้า: บนผืนผิวที่เจ้าได้ถูกนำไปใช้ขีดเขียน, เจ้าก็ต้องทิ้งร่องรอยของตนเองไว้. ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอะไร, เจ้าต้องขีดเขียนอยู่อย่างต่อไป."

The pencil understood and promised to remember, and went into the box with purpose in its heart.

ดินสอได้กล่าวว่าเข้าใจและสัญญาว่าจะจดจำไว้, และก็นำตนเองลงสู่กล่องเมื่อรู้จุดประสงค์หลักที่อยู่ในหัวใจแล้ว.

Now replacing the place of the pencil with you. Always remember them and never forget, and you will become the best person you can be.

ตอนนี้ ก็นำเอาตัวของคุณเองเข้ามาแทนที่ตัวดินสอ. จงจำเรื่องเหล่านี้ไว้เสมอและไม่เคยที่จะลืมเลือนและคุณก็จะกลายเป็นบุคคลที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถเป็นได้.

One: You will be able to do many great things, but only if you allow yourself to be held in God*s hand. And allow other human beings to access you for the many gifts you possess.

ข้อที่หนึ่ง: คุณจะสามาถกระทำการที่ยิ่งใหญ่ได้หลายอย่าง, แต่ถ้าคุณยอมให้ตนเองอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น. และยอมให้บุคคลผู้อื่นสามารถเข้ามาหาให้คุณช่วยเหลือ เพราะว่าจากคุณมีพรสวรรค์หลายอย่างอยู่ในตัวของคุณเอง. "

Two: You will experience a painful sharpening from time to time, by going through various problems in life, but you*ll need it to become a stronger person.

ข้อที่สอง: คุณจะประสบกับความเจ็บปวดจากการฝนลับให้คมปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นครั้งคราว, โดยการพบผ่านกับปัญหาหลายหลากเรื่องในชีวิต, แต่คุณจะต้องการมัน เพื่อที่จะเป็นบุคคลที่แกร่งกล้าดีกว่าเก่าได้.

Three: You will be able to correct any mistakes you might make.

ข้อที่สาม: คุณจะสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดใดๆ ที่คุณอาจจะได้ทำมันมาก่อน.

Four: The most important part of you will always be what*s on the inside.

ข้อที่สี่: ส่วนที่สำคัญที่สุดของคุณนั้น ก็คือสิ่งที่อยู่ภายในของตัวคุณเองโดยเสมอ.

And Five: On every surface you walk through, you must leave your mark. No matter what the situation, you must continue to do your duties.

และข้อที่ห้า: บนผืนผิวที่คุณได้เดินผ่านไป, คุณก็จะต้องทิ้งร่องรอยของคุณเองไว้. ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร, คุณก็จะต้องปฎิบัติหน้าที่ที่คุณได้รับอยู่อย่างต่อไป.

Allow this parable on the pencil to encourage you to know that you are a special person and only you can fulfill the purpose to which you were born to accomplish.

ยินยอมให้สุภาษิตของดินสออันนี้ ส่งเสริมกำลังใจให้กับคุณ เพื่อที่จะให้รับรู้ว่า คุณเป็นบุคคลที่พิเศษและคุณคนเดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำการตามความประสงค์ซึ่งคุณได้เกิดมาเพื่อที่จะทำเรื่องต่างๆ ให้ไปสู่ความสำเร็จ.

Never allow yourself to get discouraged and think that your life is insignificant and cannot make a change.

อย่าได้ยอมให้ตัวคุณเองเกิดความท้อแท้และคิดว่าชีวิตของคุณนั้นเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายและไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงกับมันได้.

Have an Inspirational day.

ขอให้วันนี้เป็นวันที่คุณได้รับการดลบันดาลใจจากสิ่งที่ดีงาม.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 77
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 27 มี.ค. 2552  เวลา 01:08:09   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Rescue at Sea กู้ภัยจากท้องทะเล

Years ago, in a small fishing village in Holland, a young boy taught the world about the rewards of unselfish service. Because the entire village revolved around the fishing industry, a volunteer rescue team was needed in cases of emergency. One night the winds raged, the clouds burst and a gale force storm capsized a fishing boat at sea. Stranded and in trouble, the crew sent out the S.O.S. The captain of the rescue rowboat team sounded the alarm and the villagers assembled in the town square overlooking the bay. While the team launched their rowboat and fought their way through the wild waves, the villagers waited restlessly on the beach, holding lanterns to light the way back.

เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น, ในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศฮอลแลนด์, เด็กชายหนุ่มผู้หนึ่งได้สอนให้โลกได้รู้เห็นถึงรางวัลของการให้ความช่วยเหลือที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว. เพราะว่าหมู่บ้านทั้งหมดนี้ได้อยู่รอบๆ การค้าขายในธุรกิจการประมง, มีความจำเป็นที่จะต้องมีทีมงานหน่วยกู้ภัยอาสาสมัคร เพื่อตอบรับต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน. มีอยู่คืนหนึ่ง พายุฝนได้โหมกระหน่ำ, เมฆฝนก็ปะทุเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและลมจากพายุที่มีกำลังรุนแรงมหาศาลก็ทำให้เรือหาปลาลำหนึ่งได้พลิกคว่ำลงในท้องทะเล. เรือลำนั้นก็ได้เกยตื้นและอยู่ในสภาพที่ปั่นป่วนอยู่อย่างมาก, ลูกเรือก็ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เอ็ส.โอ.เอ็ส. (save our souls) ออกไป. กัปตันของทีมเรือกู้ภัยด้วยเรือพายก็ได้เปิดหวูดส่งสัญญาณเตือนภัย และชาวหมู่บ้านนั้นก็ได้รวบรวมพลที่จตุรัสใจกลางเมือง ซึ่งมองลงไปเห็นอ่าวทะเล. ในขณะที่ทีมได้ส่งเอาเรือฝีพายของพวกเขาออกไปและต่อสู้เพื่อจะหาหนทางผ่านคลื่นที่โถมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง, ชาวบ้านนั้นก็รออยู่อย่างกระวนกระวายบนชายหาด, ถือตะเกียงโคมไฟเพื่อที่จะให้แสงสว่างนั้นเป็นจุดหมายให้ทีมกู้ภัยได้เห็นหนทางตอนที่จะกลับมา.

An hour later, the rescue boat reappeared through the fog and the cheering villagers ran to greet them. Falling exhausted on the sand, the volunteers reported that the rescue boat could not hold any more passengers and they had to leave one man behind. Even one more passenger would have surely capsized the rescue boat and all would have been lost.

ชั่วโมงหนึ่งได้ผ่านไป, เรือกู้ภัยก็ได้ปรากฎให้เห็นอีกครั้งโดยผ่านสายหมอกออกมาและ ชาวบ้านที่ส่งเสียงเชียร์อย่างดีใจก็วิ่งออกไปต้อนรับพวกเขา. เมื่อฝ่ายอาสาสมัครได้มาถึง ก็ได้ล้มตัวแผ่ลงบนหาดทรายอย่างเหนื่อยอ่อนหมดแรง, และก็ได้รายงานบอกไปว่า เรือกู้ภัยนั้นไม่สามารถที่จะบรรทุกผู้โดยสารได้มากกว่านี้และพวกเขาก็ต้องปล่อยให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งรออยู่เบื้องหลัง. เพียงแค่เพิ่มผู้โดยสารอีกแค่คนเดียว ก็จะทำให้เรือกู้ภัยนั้นพลิกคว่ำลงไปอย่างแน่นอนและทุกๆ คนก็จะต้องสูญหายไปในท้องทะเล.

Frantically, the captain called for another volunteer team to go after the lone survivor. Sixteen-year-old Hans stepped forward. His mother grabbed his arm, pleading, "Please don*t go. Your father died in a shipwreck 10 years ago and your older brother, Paul, has been lost at sea for three weeks. Hans, you are all I have left."

ตัวกัปตันเอง, ซึ่งมีความกระวนกระวายอย่างไม่สามารถควบคุมสติอารมณ์ได้, ก็ได้เรียกหาอาสาสมัครอีกทีมหนึ่งเพื่อที่จะไปช่วยเหลือผู้ที่มีชีวิตรอด ซึ่งกำลังรออยู่คนเดียวนั้น. นายฮานส์ ซึ่งมีอายุ สิบหกปีก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้า. แม่ของเขาก็ได้คว้าแขนของเขา, แล้วอ้อนวอนว่า, " กรุณาอย่าออกไปเลยนะ. พ่อของเจ้าก็ได้เสียชีวิต ตอนที่เรืออับปางลงเมื่อ 10 ปีก่อนและพี่ชายคนโตของเจ้านั้น, คือนายพอลล์, ก็ได้สูญหายไปในท้องทะเลเมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว. ฮานส์, แม่เหลือเจ้าอยู่เพียงคนเดียวทั้งหมดแล้วนะในตอนนี้น่ะ."

Hans replied, "Mother, I have to go. What if everyone said, *I can*t go, let someone else do it? * Mother, this time I have to do my duty. When the call for service comes, we all need to take our turn and do our part." Hans kissed his mother, joined the team and disappeared into the night.


นายฮานส์ก็ได้ตอบกลับไปว่า, "แม่ครับ. ผมจะต้องออกไป. จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าทุกๆ คนได้กล่าวขึ้นว่า, *ฉันไม่ออกไปหรอก, ให้คนอื่นเขาออกไปกระทำแทนเสียเหอะ?* แม่ครับ, ในครั้งนี้ผมก็จะต้องทำหน้าที่ของผม. เมื่อเขาเรียกขอความช่วยเหลือเกิดขึ้น, พวกเราทั้งหมดก็ต้องผลัดเวรของเรากันและกระทำหน้าที่ของพวกเราครับ." นายฮานส์ก็ได้จูบแม่ของเขา, ร่วมกระบวนไปกับทีมและก็หายตัวไปภายในความมืด.

Another hour passed, which seemed to Hans* mother like an eternity. Finally, the rescue boat darted through the fog with Hans standing up in the bow. Cupping his hands, the captain called, "Did you find the lost man?" Barely able to contain himself, Hans excitedly yelled back, "Yes, we found him. Tell my mother it*s my older brother, Paul!"

อีกชั่วโมงหนึ่งได้ผ่านไป, ซึ่งดูเสมือนว่า แม่ของนายฮานส์นั้นจะยาวนานเหมือนกับชั่วนิจนิรันดร์เลยทีเดียว. ในท้ายที่สุด เรือกู้ภัยก็ได้เคลื่อนอย่างรวดเร็วผ่านหมอกที่หนาพร้อมกับนายฮานส์ซึ่งยืนอยู่บนที่หน้าหัวเรือ. ด้วยการเอามือทั้งสองของเขาป้องปาก, กัปตันก็พูดออกไปอย่างดังว่า, "เจ้าพบคนที่หายไปหรือเปล่า? " นายฮานส์ก็ตะโกนพูดกลับไป ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่า เขาเกือบจะไม่สามารถที่จะควบคุมตัวของเขาเองได้ว่า, "ครับ, พวกเราได้พบเขาแล้ว. บอกแม่ของผมด้วยนะครับว่า คนนั้นก็คือพี่ชายของผมเอง, นายพอลล์ ครับ! "


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 78
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 27 มี.ค. 2552  เวลา 08:23:58   IP :(125.24.117.197)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
ดูเหมือนว่า...

เรื่องแปลของลุงอ้ายทบพร เป็นกิจวัตรหนึ่งที่ต้องเข้ามา
อ่านทุกวันแล้วล่ะจ้ะ

 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 79
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 28 มี.ค. 2552  เวลา 04:17:19   IP :(70.238.175.253)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Obstacles in our Path สิ่งกีดขวางในเส้นทางของเรา

In ancient times, a king had a boulder placed on a roadway. Then he hid himself and watched to see if anyone would remove the huge rock. Some of the king*s wealthiest merchants and courtiers came by and simply walked around it. Many loudly blamed the king for not keeping the roads clear, but none did anything about getting the stone out of the way. Then a peasant came along carrying a load of vegetables. On approaching the boulder, the peasant laid down his burden and tried to move the stone to the side of the road. After much pushing and straining, he finally succeeded. As the peasant picked up his load of vegetables, he noticed a purse lying in the road where the boulder had been.

ในสมัยโบราณนานมาแล้ว, กษัตริย์องค์หนึ่งได้สั่งให้เอาก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งมาวางไว้บนทางสัญจร. จากนั้น เขาก็ซ่อนตัวเองและเฝ้ามองดูว่า มีใครบ้างที่จะผลักเอาก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ออกไป. พ่อค้าที่รวยที่สุดและข้าราชบริพารของกษัตริย์หลายคน ก็ได้ผ่านมาและก็เพียงเดินเลี่ยงไปรอบๆ. หลายคนได้ตำหนิกษัตริย์โดยกล่าวด้วยเสียงอันดังที่ว่า ปล่อยให้ถนนรกรุงรัง, แต่ก็ยังไม่มีใครที่จะทำอะไรเพื่อจะผลักเอาก้อนหินก้อนนั้นออกไปจากทางเดินสัญจรเสีย. หลังจากนั้น, ก็มีเกษตรกรคนหนึ่งกำลังเดินมาพร้อมกับแบบผักอยู่เต็มตระกร้า. ในขณะที่เขากำลังเดินเข้ามาใกล้กับก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น, เกษตรกรผู้นี้ ก็ได้นำเอาสัมภาระของเขาวางลงและพยายามที่จะผลักเอาก้อนหินนี้ให้เลื่อนออกไปจากถนน. หลังจากผลักอยู่นานและทำงานอย่างเครียดหนัก, ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ. เมื่อเกษตรกรผู้นี้ได้แบกเอาตระกร้าที่เต็มไปด้วยผักขึ้นมา, เขาก็ได้สังเกตุเห็นว่ามีกระเป๋าเงินขนาดเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่บนถนนซึ่งก้อนหินก้อนใหญ่นั้นได้เคยทับอยู่.

The purse contained many gold coins and a note from the king indicating that the gold was for the person who removed the boulder from the roadway. The peasant learned what many others never understand.

กระเป๋าเงินนี้บรรจุไปด้วยเหรียญทองคำมากมายและบันทึกเล็กๆ จากกษัตริย์ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่า ทองคำนั้นให้เป็นสำหรับบุคคลผู้ซึ่งผลักเอาก้อนหินก้อนใหญ่นี้ออกไปจากถนนทางสัญจรได้. เกษตรกรผู้นี้ได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่บุคคลอื่นๆ หลายคนไม่เคยที่จะสามารถเข้าใจได้.

Lesson To be Learned: บทเรียนที่ได้รับมาจากเรื่องนี้:

Every obstacle presents an opportunity to improve one*s condition.

สิ่งกีดขวางทุกๆ ชิ้น แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะปรับปรุงแก้ไขสภาพการณ์ของเรื่องต่างๆ ได้.



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 80
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 31 มี.ค. 2552  เวลา 01:08:27   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The boy and the Fence เด็กน้อยกับรั้วบ้าน


There once was a little boy who had a bad temper. His father gave him a bag of nails and told him that every time he lost his temper, he must hammer a nail into the back of the fence.

กลางครั้งหนึ่งมีเด็กชายน้อยอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีอารมณ์โกรธร้ายอยู่บ่อยครั้ง. พ่อของเขาก็เลยให้ตะปูมาถุงหนึ่งและบอกกับเขาว่า ทุกๆ ครั้งที่เขาไม่สามารถระงับอารมณ์โกรธของเขาได้, เขาจะต้องตอกตะปูลงไปตัวหนึ่งบนหลังรั้วบ้านนี้.

The first day the boy had driven 37 nails into the fence. Over the next few weeks, as he learned to control his anger, the number of nails hammered daily gradually dwindled down. He discovered it was easier to hold his temper than to drive those nails into the fence... Finally the day came when the boy didn*t lose his temper at all. He told his father about it and the father suggested that the boy now pull out one nail for each day that he was able to hold his temper. The days passed and the young boy was finally able to tell his father that all the nails were gone.

วันแรกนั้น เด็กชายคนนี้ก็ได้ตอกตะปูลงไปบนรั้วบ้านทั้งหมด 37 ตัว. ตลอดจนระยะเวลาสองสามสัปดาห์ต่อมา, เมื่อเขาเริ่มได้เรียนรู้ถึงการควบคุมอารมณ์โกรธของเขา, จำนวนของตะปูที่ถูกตอกลงไปแต่ละวันนั้น ก็เริ่มค่อยๆ เริ่มลดน้อยลงมาเป็นลำดับ. เขาได้ค้นพบว่า มันเป็นเรื่องที่ง่ายในการระงับโทสะอารมณ์โกรธของเขา มากกว่าให้นำเอาตะปูไปตอกอยู่บนรั้วบ้าน... ในท้ายที่สุด วันนั้นก็มาถึงเมื่อเด็กผู้ชายคนนี้ไม่ได้เกิดอารมณ์โกรธเลยโดยตลอดทั้งวัน. เขาบอกกับพ่อของเขาให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้และพ่อก็เสนอแนะว่า ในตอนนี้ให้เด็กผู้ชายไปถอนเอาตะปูออกมาหนึ่งตัว แต่ละวันที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้. วันเวลาก็ได้ผ่านไปและในท้ายที่สุด เด็กชายหนุ่มผู้นี้ก็สามารถบอกกับพ่อของเขาได้ว่า ตะปูทุกตัวนั้นได้ถูกถอนออกมาจนหมดสิ้นแล้ว.

The father took his son by the hand and led him to the fence. He said, "You have done well, my son, but look at the holes in the fence. The fence will never be the same. When you say things in anger, they leave a scar just like this one. You can put a knife in a man and draw it out. It won*t matter how many times you say I*m sorry, the wound is still there. A verbal wound is as bad as a physical one.

พ่อก็จูงมือลูกชายของเขาและเดินนำตัวเขาไปยังที่รั้วบ้าน. เขาได้กล่าวว่า, "เจ้าได้กระทำมันเป็นอย่างดี, ลูกรักของฉัน, แต่ลองดูรูต่างๆ ที่อยู่บนรั้วบ้านนั่นซิ. รั้วบ้านนี้ ก็จะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนต่อไปอีกเลย. เมื่อเจ้าพูดสิ่งต่างๆ ออกไปด้วยความโมโหโกรธา, มันก็จะทิ้งร่องรอยบาดแผลไว้เหมือนกับอย่างที่เจ้าเห็นนี้แหละ. เจ้าสามารถเอามีดมาแทงผู้ชายคนหนึ่งและชักมันกลับออกมา. ไม่ว่าจะเป็นกี่ครั้งกี่หนที่เจ้าบอกว่า เจ้าเสียใจก็ตาม, รอยบาดแผลก็ยังคงอยู่ ณ ที่ตรงนั้น. บาดแผลที่เกิดจากคำพูดก็มีความเลวร้ายเท่าเทียมเสมอกันกับบาดแผลที่เห็นได้จากทางกายภายนอกโดยทั่วๆ ไป.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 81
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 01 เม.ย. 2552  เวลา 03:10:41   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Stone Soup ซุปก้อนหิน

A story about Sharing เรื่องของการแบ่งปัน

Many years ago three soldiers, hungry and weary of battle, came upon a small village. The villagers, suffering a meager harvest and the many years of war, quickly hid what little they had to eat and met the three at the village square, wringing their hands and bemoaning the lack of anything to eat.

หลายปีก่อนนานมาแล้ว มีทหารสามคน, ซึ่งกำลังหิวโหยและเหนื่อยล้าต่อการทำสงคราม, ได้เดินมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง. ชาวหมู่บ้าน, กำลังได้รับความทุกข์ยากอยู่จากความขาดแคลนของผลเก็บเกี่ยว และเพราะว่าสงครามนั้นได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว, ก็ได้ซุกซ่อนสิ่งของที่พวกเขามีเพียงเล็กๆ น้อยๆ อย่างรวดเร็วและได้พบกับทหารทั้งสามนี้ที่จตุรัสใจกลางเมือง, บีบกำมือของพวกเขาและร้องคร่ำครวญเนื่องจากปราศจากสิ่งของใดๆ ที่จะมาหาให้ทานกันได้.

The soldiers spoke quietly among themselves and the first soldier then turned to the village elders. "Your tired fields have left you nothing to share, so we will share what little we have: the secret of how to make soup from stones."

ทหารทั้งสามก็ได้พูดกระซิบกันเงียบๆ ระหว่างพวกเขาเองและจากนั้น นายทหารคนแรกก็ได้หันหน้าไปพูดกับผู้มีอาวุโสของหมู่บ้านนั้น. "ท้องทุ่งนาของพวกคุณก็ไม่มีอะไรเหลือให้คุณจะแบ่งปันกันได้, ดังนั้น พวกเราก็จะแบ่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามีอยู่: นั่นก็คือ สูตรลับสุดยอดที่จะทำซุปจากก้อนหิน."

Naturally the villagers were intrigued and soon a fire was put to the town*s greatest kettle as the soldiers dropped in three smooth stones. "Now this will be a fine soup", said the second soldier; "but a pinch of salt and some parsley would make it wonderful!" Up jumped a villager, crying "What luck! I*ve just remembered where some*s been left!" And off she ran, returning with an apronful of parsley and a turnip. As the kettle boiled on, the memory of the village improved: soon barley, carrots, beef and cream had found their way into the great pot.

โดยตามธรรมชาติแล้ว, ผู้คนในหมู่บ้านนี้ก็เลยเกิดความสนใจขึ้นมา และในไม่ช้า ไฟก็ได้ถูกก่อขึ้นมากับหม้อต้มน้ำที่ดีที่สุดของเมือง เมื่อนายทหารนั้นได้หย่อนก้อนหินที่ราบเรียบสามก้อนลงไป. " ตอนนี้นะ เราก็จะได้ซุปที่แสนอร่อยเสียทีนึง", กล่าวโดยนายทหารคนที่สอง; " แต่เกลือสักหยิบมือหนึ่งและผักใบเขียวสักนิดหน่อยก็จะทำให้มันหอมหวลขึ้น! " บุคคลคนหนึ่งในหมู่บ้านก็ได้กระโดดยืนขึ้น, และก็ตะโกนกล่าวว่า " ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีอะไรเช่นนั้น! ฉันเพิ่งจำได้ว่ามีของเหล่านี้เหลืออยู่นิดหน่อย! " และเธอก็วิ่งโล่ออกไป, แล้วกลับมาพร้อมกับผักใบเขียวและต้นหัวผักกาดซึ่งห่อมาเต็มเสื้อกันเปื้อน. เมื่อหม้อน้ำนั้นได้เริ่มเดือดขึ้นมา, ความทรงจำของชาวหมู่บ้านก็เริ่มดีขึ้นมา: ในไม่ช้า เมล็ดข้าวบาร์เลย์, หัวแครอท, เนื้อวัวและครีมนั้น ก็พบทางของมันเองเข้าไปลงอยู่ในหม้อซุปที่ดีนี้ได้.

They ate and danced and sang well into the night, refreshed by the feast and their new-found friends. In the morning the three soldiers awoke to find the entire village standing before them. At their feet lay a satchel of the village*s best breads and cheese. "You have given us the greatest of gifts: the secret of how to make soup from stones", said an elder, "and we shall never forget." The third soldier turned to the crowd, and said: "There is no secret, but this is certain: it is only by sharing that we may make a feast". And off the soldiers wandered, down the road.

พวกเขาก็ได้รับประทานและเต้นรำและร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานในคืนวันนั้น, เกิดความมีชีวิตชีวาสดชื่นจากการกินเลี้ยงและจากมิตรเพื่อนคนใหม่ที่เพิ่งพบกัน. ในตอนเช้า นายทหารทั้งสามนั้นได้ตื่นนอนขึ้น ก็ได้พบว่า ผู้คนทั้งหมู่บ้านก็ได้ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา. ที่ปลายเท้าของพวกเขา ก็มีขนมปังและเนยแข็งอย่างดีที่สุดของหมู่บ้านวางอยู่ในย่าม. " พวกคุณได้ให้ของขวัญชิ้นเลิศที่สุดกับพวกเรา: สูตรลับต่อการทำซุปจากก้อนหิน" , ผู้อาวุโสของหมู่บ้านได้กล่าวขึ้น, " และพวกเราจะไม่มีวันลืมเลือนเลย." นายทหารคนที่สามก็ได้หันหน้ากลับมาที่ฝูงชน, และได้กล่าวขึ้นว่า: " ไม่มีสูตรลับอะไรทั้งสิ้น, แต่มีสิ่งที่แน่ใจที่สุดอย่างเดียว: คือเป็นการแบ่งปันซึ่งกันและกันเท่านั้น ที่ทำให้พวกเราสามารถสร้างงานกินเลี้ยงกันได้" . และจากนั้น ทหารทั้งสามคนก็เดินออกไปอย่างไม่มีจุดหมายที่แน่นอน, ออกไปสู่ท้องถนนที่อยู่เบื้องหน้า.

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 82
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 02 เม.ย. 2552  เวลา 00:21:54   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Barber Who Didn*t Believe ช่างตัดผมผู้ปราศจากความเชื่อ

A man went to a barber shop to have his hair and his beard cut as always. He started to have a good conversation with the barber who attended him. They talked about so many things and various subjects. Suddenly, they touched the subject of God. The barber said:

ผู้ชายคนหนึ่งได้เดินเข้าไปในร้านตัดผมเพื่อที่จะตัดผมและโกนหนวดเคราอย่างที่เคยทำมาเสมอๆ. เขาได้เริ่มการสนทนาที่ดีกับช่างตัดผมผู้กำลังฟังเขาอยู่อย่างตั้งใจ. เขาทั้งสองก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องและหัวข้อต่างๆ หลากหลาย. แต่ทันทีทันใดนั้น, เขาทั้งสองก็ได้มาสัมผัสอยู่ในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า. ช่างตัดผมได้กล่าวขึ้นว่า:

"Look man, I don*t believe that God exists as you say so."

"นี่ ดูนะคุณ, ผมไม่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นจะทรงมีอยู่จริงอย่างที่คุณกล่าวมา."

"Why do you say that?" asked the client. "Well, it*s so easy, you just have to go out in the street to realize that God does not exist. Tell me, if God exists, would there be so many sick people? Would there be abandoned children? If God exists, there would be no suffering nor pain. I can*t think of a God who permits all of these things."

"ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?" ลูกค้าได้ถามขึ้น. " ดีละ, มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก, คุณเพียงแต่เดินออกไปบนถนน ก็จะตระหนักรู้เองว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ทรงมีอยู่จริง. บอกให้ผมทราบหน่อย, ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีอยู่จริงแล้ว, จะมีคนเจ็บป่วยมากมายอย่างนี้หรือเปล่า? จะมีเด็กเล็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งหรือเปล่า? ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีอยู่จริงแล้ว, ก็ต้องไม่มีความทุกข์ยากหรือความเจ็บปวด. ผมไม่สามารถจะคิดถึง ท่านพระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงอนุญาติให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เกิดขึ้นมา."

The client stopped for a moment thinking but he didn*t want to respond so as to prevent an argument. The barber finished his job and the client went out of the shop. Just after he left the barber shop he saw a man in the street with a long hair and beard (it seems that it had been a long time since he had his hair cut and he looked so untidy).

ลูกค้านั้นก็ได้หยุดพูดเพื่อไปคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาไม่ต้องการที่จะตอบโต้กลับไป เพื่อป้องกันเรื่องการทะเลาะวิวาทซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายหลัง. ช่างตัดผมก็ทำงานของเขาไปจนเสร็จเรียบร้อยและลูกค้าก็เดินออกไปจากร้าน. เพียงแต่หลังจากที่เขาออกมาจากร้านตัดผมครู่เดียว เขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีเส้นผมและหนวดเคราที่ยาวยืนอยู่บนถนน (ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลานานมาแล้วที่เขาได้ไปตัดผมมาและเนื้อตัวก็ดูสกปรกรุงรังด้วย).

Then the client again entered the barber shop and he said to the barber:

จากนั้นเอง ลูกค้าก็เดินกลับเข้ามาในร้านตัดผมอีกครั้งหนึ่ง และ เขาก็กล่าวกับช่างตัดผมว่า:

"Know what? Barbers do not exist."

"รู้อะไรหรือเปล่า? ช่างตัดผมนั้นไม่มีอยู่จริง."

"How come they don*t exist?"-asked the barber. "Well I am here and I am a barber."

"ทำไมพวกเขาถึงไม่มีอยู่จริงล่ะ?"- ช่างตัดผมได้ถามขึ้น. "ดูให้ดีนะ ผมก็อยู่ที่นี่และผมก็คือช่างตัดผม."

"No!" the client exclaimed. "They don*t exist because if they did there would be no people with long hair and beards like that man who walks in the street."

"ไม่มีอยู่จริง!" ลูกค้าได้ร้องอุทานด้วยเสียงอันดัง. "พวกเขาไม่มีอยู่จริงเพราะว่า ถ้าพวกเขามีอยู่จริงแล้ว ก็ต้องไม่มีผู้คนซึ่งมีเส้นผมและหนวดเคราที่ยาว เหมือนกับผู้ชายคนนั้น ที่เดินอยู่บนถนนนั่นแหละ."

"Ah, barbers do exist, what happens is that people do not come to us."

"อ้อ, ช่างตัดผมมีอยู่จริง, แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ก็คือว่า ผู้คนเหล่านั้นไม่ยอมมาหาเรานั่นเอง."

"Exactly!"- affirmed the client. "That*s the point. God does exist, what happens is people don*t go to Him and do not look for Him that*s why there*s so much pain and suffering in the world."

"ถูกเผงเลย!" – ยืนยันโดยลูกค้า. "นั่นแหละคือจุดยืนที่ผมกล่าวไว้. พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงมีอยู่จริง, แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ ผู้คนไม่ยอมไปหาท่านและไม่ได้ค้นแสวงหาท่าน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีความเจ็บปวดและความทุกข์อยู่อย่างมากมายในโลกนี้."


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 83
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 03 เม.ย. 2552  เวลา 00:50:53   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Somebody is proud of you คนบางคนยังมีความภาคภูมิใจกับคุณอยู่

This teenager lived alone with his father, and the two of them had a very special relationship. Even though the son was always on the bench, his father was always in the stands cheering. He never missed a game. This young man was still the smallest of the class when he entered high school. But his father continued to encourage him but also made it very clear that he did not have to play football if he didn*t want to. But the young man loved football and decided to hang in there. He was determined to try his best at every practice, and perhaps he*d get to play when he became a senior. All through high school he never missed a practice nor a game, but remained a bench. His faithful father was always in the stands, always with words of encouragement for him.

เด็กวัยรุ่นผู้นี้ได้อยู่คนเดียวกับพ่อของเขา, และบุคคลทั้งสองคนนั้นก็มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น. ถึงแม้ว่าลูกชายของเขาจะเป็นนักกีฬาตัวสำรองที่ต้องนั่งอยู่บนม้านั่งก็ตาม, พ่อของเขาก็จะยืนเชียร์ลูกของเขาอยู่บนอัฒจรรย์โดยอย่างเสมอ. เขาไม่เคยพลาดการแข่งขันโดยสักเกมส์เดียว. ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงเป็นบุคคลที่ตัวเล็กที่สุดในชั้นเมื่อเขาได้เข้ามาเรียนในระดับมัธยมปลาย. แต่พ่อของเขาก็ยังคงให้กำลังใจต่อเขาอยู่เป็นเนืองนิจ แล้วก็ยังบอกอย่างชัดเจนด้วยว่า เขาไม่ต้องไปเล่นฟุตบอล(อเมริกัน) ถ้าเขาไม่อยากที่จะเล่น. แต่ชายหนุ่มผู้นี้มีความรักกีฬาฟุตบอลอย่างเป็นชีวิตจิตใจและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เลิกเล่น. เขาตั้งปณิธานอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะเพียรพยายามอย่างมากที่สุดในการฝึกซ้อมทุกๆ ครั้ง, และบางทีนั้น เขาก็อาจจะได้เล่นเป็นตัวจริงเมื่อปีการศึกษาสุดท้ายของเขา. โดยตลอดทั้งการศึกษาสี่ปีในระดับมัธยมปลาย, เขาไม่เคยขาดการซ้อมกีฬาหรือเกมส์การแข่งขันแม้แต่หนเดียว, แต่ก็ยังต้องนั่งอยู่บนม้านั่งเป็นตัวสำรองอยู่. พ่อของเขาซึ่งมีความศรัทธาในตัวของลูก ก็นั่งอยู่บนอัฒจรรย์โดยอย่างเสมอ, และยังคงให้คำกล่าวที่เต็มไปด้วยกำลังใจกับเขาอยู่ตลอด.

When the young man went to college, he decided to try out for the football team as a "walk-on." Everyone was sure he could never make the cut, but he did. The coach admitted that he kept him on the roster because he always puts his heart and soul to every practice, and at the same time, provided the other members with the spirit and hustle they badly needed.

เมื่อชายหนุ่มผู้นี้ได้ก้าวขึ้นไปสู่การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย, เขาตัดสินใจว่าจะลองไปทดสอบเพื่อเข้าทีมฟุตบอลของโรงเรียนด้วยการ "เดินเข้าไปแบบโดยไม่นัดหมาย." ทุกๆ คน มีความมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่า เขาไม่มีทางที่จะติดทีมได้, แต่ทว่า เขาก็กลับสอบติดจนได้. โค้ชได้ยอมรับว่า ที่เขายอมให้เขาติดอยู่บัญชีรายชื่อนักกีฬาในทีมนั้น ก็เพราะว่าชายหนุ่มคนนี้ได้ทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้กับการฝึกซ้อมอยู่โดยทุกครั้ง, และในขณะเดียวกัน, ก็ได้ให้กำลังขวัญกำลังใจและกระตุ้นใจต่อนักกีฬาผู้อื่น ซึ่งมีความต้องการอยู่เป็นอย่างมากทีเดียว.

The news that he had survived the cut thrilled him so much that he rushed to the nearest phone and called his father. His father shared his excitement and was sent season tickets for all the college games. This persistent young athlete never missed practice during his four years at college, but he never got to play in the game. It was the end of his senior football season, and as he trotted onto the practice field shortly before the big play off game, the coach met him with a telegram. The young man read the telegram and he became deathly silent. Swallowing hard, he mumbled to the coach, "My father died this morning. Is it all right if I miss practice today?" The coach put his arm gently around his shoulder and said, "Take the rest of the week off, son. And don*t even plan to come back to the game on Saturday. "

ข่าวของการที่เขาได้รับติดการคัดเลือกนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากต่อตัวเขา ซึ่งต่อมา เขาก็ได้วิ่งแจ้นไปยังโทรศัพท์สาธารณะที่ใกล้ที่สุดและก็โทรบอกพ่อของเขาให้ทราบเรื่อง. พ่อของเขาได้ร่วมแสดงความตื่นเต้นด้วยกันกับเขาและลูกชายเขาก็ได้ส่งตั๋วเข้าชมการแข่งขันกีฬาของมหาวิทยาลัยทุกเกมส์ในตลอดฤดูกาลมาให้. นักกีฬาหนุ่มผู้มีความพยายามอย่างไม่ลดละนี้ ก็ไม่เคยขาดการฝึกซ้อมแม้แต่ครั้งเดียวในระหว่างระยะเวลาสี่ปีที่อยู่ในมหาวิทยาลัย, แต่เขาก็ไม่เคยที่จะลงไปเล่นเป็นตัวจริงอยู่เลยสักเกมส์เดียว. มันกำลังจะใกล้จบปีที่สี่ของฤดูการแข่งขันฟุตบอลของเขา, และเมื่อเขาได้วิ่งเหยาะๆ ลงไปในสนามฝึกซ้อมก่อนที่การแข่งขันใหญ่แบบตัดเชือกจะเริ่มขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า, โค้ชก็ได้เรียกเขาไปพบพร้อมกับโทรเลขที่อยู่ในมือฉบับหนึ่ง. ชายหนุ่มผู้นี้ได้อ่านโทรเลขและเขาก็เงียบกริบเหมือนตาย. เขาพยายามที่จะกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น, แล้วก็พูดพึมพำกับโค้ชของเขาว่า, " พ่อผมเสียชีวิตเมื่อตอนเช้าวันนี้ครับ. จะเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าผมขาดการฝึกซ้อมในวันนี้ครับ? " โค้ชก็ได้เอามือมาโอบจับที่หัวไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า, " ลูกเอ๋ย, จงไปพักใจทำภารกิจเสียสักสัปดาห์หนึ่งเถิด. ไม่ต้องไปเตรียมแผนอะไรที่จะต้องกลับมาสำหรับเกมส์ในวันเสาร์นี้เลยนะ."

In the third quarter, when the team was ten points behind, a silent young man quietly slipped into the empty locker room and put on his football gear. As he ran onto the sidelines, the coach and his players were astounded to see their faithful teammate back so soon. "Coach, please let me play. I*ve just go to play today," said the young man. The coach pretended not to hear him. There was no way he wanted his worst player in this close. Feeling sorry for the kid, the coach gave in. "All right," he said. "You can go in." Before long, the coach, the players and everyone in the stands could not believe their eyes. This little unknown, who had never played before was doing everything right. The opposing team could not stop him. He ran, he passed, blocked and tackled like a star. His team began to triumph. The score was soon tied. In the closing seconds of the game, this kid intercepted a pass and ran all the way for the winning touchdown. The fans broke loose. His teammatexxxed him onto their shoulders. Such cheering you*ve never heard! Finally, after the stands had emptied and the team had showered and left the locker room, the coach noticed that the young man was sitting quietly in the corner all alone. The coach came to him and said, "Kid, I can*t believe it. You were fantastic! Tell me what got into you? How did you do it?" He looked at the coach, with tears in his eyes, and said, "Well, you knew my dad died, but did you know that my dad was blind?" The young man swallowed hard and forced a smile, "Dad came to all my games, but today was the first time he could see me play, and I wanted to show him I could do it!"

ในช่วงเวลาที่สามของการแข่งขัน, เมื่อทีมยังมีคะแนนตามอยู่ 10 แต้ม, ชายหนุ่มที่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก ก็ได้เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ในห้องพักนักกีฬาที่ว่างเปล่าและก็เปลี่ยนเสื้อ ใส่ชุดนักกีฬาที่จะลงไปแข่งขันฟุตบอล. เมื่อเขาได้วิ่งออกไปยังที่ขอบสนาม, ตัวโค้ชและนักกีฬาผู้อื่นได้เกิดความประหลาดใจเป็นอันมากที่ได้เห็นเพื่อนร่วมทีมผู้มีความจงรักภักดีต่อทีมนั้นได้กลับมาอย่างเร็วกว่าที่คาดไว้. " โค้ชครับ, กรุณาให้ผมลงไปเล่นในเกมส์นะครับ. ผมต้องเล่นในเกมส์วันนี้ให้ได้ครับ," ชายหนุ่มผู้นี้ได้กล่าวขึ้น. ตัวโค้ชเองก็แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินว่าเขาได้พูดอะไรออกมา. ไม่มีทางเลยที่เขาจะเอานักกีฬาที่ฝีมือแย่ที่สุดมาอยู่ใกล้ๆ กับเขาแบบนี้. แต่ด้วยความรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้นี้, โค้ชก็เลยถอนใจยอมแพ้. " เอาอย่างนั้นก็ได้, " โค้ชได้กล่าวขึ้น. " ฉันให้เธอลงไปเล่นในสนามได้." ไม่นานนัก, ตัวโค้ช, นักกีฬาผู้อื่น และแฟนผู้ชมที่อยู่บนอัฒจรรย์ทุกๆ คน ก็ไม่สามารถที่จะเชื่อสายตาของตนเองได้. นักกีฬาตัวเล็ก ๆ คนนี้ ที่ไม่เคยมีใครรู้จัก, ซึ่งไม่เคยเล่นเป็นตัวจริงมาก่อน กลับเล่นเกมส์ได้อย่างถูกต้องทุกอย่าง. ทีมของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถที่จะหยุดสกัดตัวเขาได้. เขาวิ่ง, เขาส่ง, สกัดกั้นและชนเพื่อที่จะแย่งลูกฟุตบอลเหมือนกับนักกีฬาที่ช่ำชอง. ทีมของเขาก็เริ่มประสบความสำเร็จ. ในไม่ช้า แต้มคะแนนก็มาเสมอกัน. เมื่อจะใกล้เวลาจบการแข่งขัน, เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้สกัดรับการผ่านลูกฟุตบอลจากฝ่ายตรงข้ามและได้วิ่งออกไปทำแต้มทัชดาวน์ซึ่งนำชัยชนะมาให้กับทีมได้. แฟนผู้ชมนั้นไม่สามารถที่จะควบคุมความตื่นเต้นอย่างยินดีปรีดาของพวกเขาเองได้. เพื่อนร่วมทีมของเขาก็ได้ยกตัวเขา ให้นั่งอยู่บนหัวไหล่พวกเขาด้วยกัน. เสียงเชียร์ที่ยังก้องกระหึ่มอย่างนั้น ไม่เคยที่ใครๆ ได้ยินมาก่อนเลย! ในท้ายที่สุด, หลังจากที่อัฒจรรย์ได้ว่างลงและเพื่อนร่วมทีมได้อาบน้ำชำระร่างกายและออกไปจากห้องพักนักกีฬาแล้ว, ตัวโค้ชได้สังเกตุเห็นชายหนุ่มผู้นี้นั่งอยู่อย่างเงียบๆ ที่มุมห้องอยู่คนเดียว.โค้ชได้เข้ามาหาเขาและกล่าวว่า, "ลูกเอ้ย, ฉันไม่สามารถที่จะเชื่อตัวฉันเองได้เลย. เธอเล่นได้ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก! บอกให้ฉันทราบหน่อยได้ไหมว่า อะไรได้เกิดขึ้นในใจของเธอ? เธอทำมันนั้นขึ้นมาได้อย่างไร?" เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองกับตัวโค้ช, พร้อมกับน้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้าตา, และได้กล่าวตอบไปว่า, "คืออย่างนี้น่ะครับ, โค้ชก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อผมเสียชีวิต, แต่โค้ชทราบหรือไม่ครับ ว่าพ่อผมนั้นก็ยังตาบอดมองไม่เห็นด้วย?" ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงกลืนน้ำลายอยู่อย่างยากเย็นและก็ฝืนใจยิ้มออกมา, "พ่อผมมาที่สนามกีฬาเพื่อให้กำลังใจกับผมโดยไม่ขาดเลย แม่แต่เกมส์เดียวครับ, แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านได้เห็นผมเล่นในสนามจากสายตาของท่านเองอย่างโดยแท้จริง, และผมต้องการแสดงให้ท่านเห็นว่า ผมสามารถเล่นเกมส์นี้ได้ ก็เพื่อกระทำให้ท่านภูมิใจอย่างมากที่สุดต่อตัวผมครับ!"

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 84
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 03 เม.ย. 2552  เวลา 14:42:42   IP :(125.24.150.90)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
ชอบทุกเรื่องที่ลุงอ้ายแปลมาให้อ่านเลยอ่ะจ้ะ

 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 85
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 04 เม.ย. 2552  เวลา 00:10:37   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Carpenter*s House บ้านของช่างไม้

An elderly carpenter was ready to retire. He told his employer-contractor of his plans to leave the house building business and live a more leisurely life with his wife enjoying his extended family.

ช่างไม้ผู้สูงอายุผู้หนึ่งได้พร้อมแล้วที่จะปลดเกษียณอายุ. เขาบอกให้ผู้ว่าจ้างของเขาทราบถึงแผนการของเขาเพื่อจะปลีกตัวออกมาจากธุรกิจการก่อสร้างบ้านและใช้ชีวิตอยู่กับการพักผ่อนให้มากกว่ากับภรรยาของเขา เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินสำราญกับครอบครัวใหญ่ของเขา.

He would miss the paycheck, but he needed to retire. They could get by. The contractor was sorry to see his good worker go and asked if he could build just one more house as a personal favor. The carpenter said yes, but in time it was easy to see that his heart was not in his work. He resorted to shoddy workmanship and used inferior materials. It was an unfortunate way to end his career.

เขาต้องคิดถึงเงินค่าจ้างที่เคยได้รับอยู่เป็นประจำ, แต่เขามีความต้องการที่จะเลิกทำงานเสียที. เขาสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างสมถะ. ผู้ว่าจ้างก็มีความเสียดายที่เห็นพนักงานที่ดีอย่างเขาต้องลาออกไป และก็ถามเขาว่า เขาสามารถที่จะสร้างบ้านอีกเพียงหนึ่งหลัง ซึ่งขอให้เป็นความช่วยเหลือส่วนตัวสำหรับเขาเองเท่านั้นจะได้หรือไม่. ช่างไม้ก็ตอบว่า ได้, แต่ในเวลาขณะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการที่เห็นว่า หัวจิตหัวใจของเขานั้น ไม่ได้อยู่กับงานเสียแล้ว. เขาหันไปพึ่งใช้งานฝีมือที่มีคุณภาพต่ำและใช้วัสดุที่ด้อยมาตรฐานในการก่อสร้าง. มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เขาจะต้องเลิกอาชีพของเขาด้วยเรื่องอย่างนี้.

When the carpenter finished his work and the builder came to inspect the house, the contractor handed the front-door key to the carpenter. "This is your house, " he said, "my gift to you."

เมื่อช่างไม้ได้กระทำงานของเขาจนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วและผู้ก่อสร้างได้สำรวจตรวจตราบ้าน, ผู้ว่าจ้างก็มอบกุญแจประตูบ้านข้างหน้าให้กับช่างไม้. "บ้านหลังนี้คือบ้านของคุณ, " เขากล่าวขึ้น, "ถือว่าเป็นของขวัญของผมให้กับคุณก็แล้วกันนะ."

What a shock! What a shame! If he had only known he was building his own house, he would have done it all so differently. Now he had to live in the home he had built none too well.

ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอะไรเช่นนี้! เป็นเรื่องที่น่าอับอายเหลือเกิน! ถ้าเขาเพียงแต่ได้ทราบมาก่อนว่าเขากำลังสร้างบ้านให้กับตัวของเขาเอง, เขาก็จะเปลี่ยนแปลงทำมันให้แตกต่างออกไปทุกอย่างเลยทีเดียว. แต่ในตอนนี้ เขาก็ต้องอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งเขาไม่ได้สร้างมาอย่างดีนักหนาเท่าไร.

So it is with us. We build our lives in a distracted way, reacting rather than acting, willing to put up less than the best. At important points we do not give the job our best effort. Then with a shock we look at the situation we have created and find that we are now living in the house we have built. If we had realized that we would have done it differently.

ดังนั้น มันก็เป็นเรื่องของพวกเราด้วย. เราได้สร้างชีวิตของเราในวิถีทางที่สับสน, ใช้ปฎิกิริยาโต้ตอบกับเหตุการณ์แทนที่จะจัดการกับมันโดยตรง, ยอมที่จะรับหาสิ่งที่น้อยค่าแทนที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุด. จุดที่สำคัญนั้นก็คือ เราไม่ได้กระทำงานของเราโดยการใช้ความเพียรพยายามอย่างดีที่สุด. ดังนั้น, เราจึงมองสถานการณ์ที่เราสร้างขึ้นมาด้วยความตกตะลึงและพบว่า เราตอนนี้ ได้อยู่ในบ้านที่เราสร้างขึ้นมา. ถ้าเราตระหนักรู้มาก่อนนั้น เราก็คงจะทำมันให้แตกต่างกันออกไป.

Think of yourself as the carpenter. Think about your house. Each day you hammer a nail, place a board, or erect a wall. Build wisely. It is the only life you will ever build. Even if you live it for only one day more, that day deserves to be lived graciously and with dignity. The plaque on the wall says, "Life is a do-it-yourself project." Your life tomorrow will be the result of your attitudes and the choices you make today.

ลองคิดให้ตัวคุณเองเป็นเหมือนกับช่างไม้คนนี้. คิดเกี่ยวกับบ้านของคุณ. ทุกๆ วันที่คุณตอกตะปูลงไปตัวหนึ่ง, เอาไม้กระดานลงมาแผ่นหนึ่ง, หรือไม่ก็ตั้งกำแพงขึ้นอยู่กำแพงหนึ่ง. จงสร้างมันด้วยความเฉลียวฉลาด. มันเป็นชีวิตเดียวเท่านั้นที่คุณจะสร้างมันขึ้นมาได้. ถึงแม้ว่าคุณจะใช้ชีวิตอยู่กับมันเพียงแค่อีกวันเดียว, วันนั้น ก็สมควรที่จะเป็นวันที่อยู่ได้ด้วยความงดงามและความมีเกียรติ. โล่ห์เกียรติยศบนกำแพงนั้นได้ประกาศให้รู้กันว่า, "ชีวิตนั้นก็คือโครงการที่คุณจะต้องกระทำด้วยตัวของคุณเอง." ชีวิตของคุณในวันพรุ่งนี้ก็คือผลของกิริยาท่าทางของคุณและหนทางที่คุณได้เลือกที่ได้กระทำในวันนี้.




 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 86
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 07 เม.ย. 2552  เวลา 00:07:29   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Apple Tree ต้นแอปเปิ้ล

A long time ago, there was a huge apple tree. A little boy loved to come and play around it every day. He loved the tree top, ate the apples, took a nap under the shadow...He loved the tree and the tree loved to play with him. Time went by.......

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว, มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง. เด็กชายน้อยคนหนึ่งก็มีความชื่นชอบที่จะมาและเล่นรอบๆ อยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้อยู่ทุกๆ วัน. เขาชอบปีนป่ายขึ้นไปถึงยอดของต้นไม้, รับประทานผลแอปเปิ้ล, และนอนพักงีบอยู่ภายใต้ร่มเงา... เขารักต้นไม้ต้นนี้และต้นไม้เองก็รักที่จะเล่นกับเขา. เวลาได้ผ่านพ้นไป......

The little boy had grown up and he no longer played around the tree everyday. One day the boy came back to the tree and he looked sad. "Come play with me," the tree asked the boy. "I am no longer a kid, I don*t * play around trees anymore." The boy replied, "I want toys. I need money to buy them." "Sorry, but I don*t have money.....but you can pick my apples and sell them. Then you will have money." The boy was so excited. He grabbed all the apples on the tree and left happily. The boy never came back after he picked the apples. The tree was sad.

เด็กชายน้อยผู้นี้ก็ได้เจริญเติบโตขึ้นและก็ไม่ได้เล่นอยู่รอบๆ ต้นไม้อยู่ทุกๆ วันแล้ว. วันหนึ่ง เด็กชายผู้นี้ก็กลับมาที่ต้นไม้นี้และเขาดูเหมือนว่า เขามีความโศกเศร้า. "มาเล่นกับฉันหน่อยเถิด, " ต้นไม้บอกให้เด็กชายฟัง. " ฉันไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ, ฉันก็ไม่เล่นรอบๆ ต้นไม้อีกต่อไปด้วย." เด็กชายได้ตอบออกไป, "ฉันต้องการของเล่น. ฉันต้องการเงินเพื่อที่จะไปซื้อของเหล่านั้น." "เสียใจด้วยนะ, แต่ฉันไม่มีเงินหรอก... แต่เธอสามารถเก็บผลแอปเปิ้ลของฉันแล้วก็นำไปขายได้นะ. จากนั้น เธอก็จะมีเงินยังไงล่ะ." เด็กชายมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก. เขาได้ปลิดเอาผลแอปเปิ้ลทุกผลที่อยู่บนต้นไม้นั้นและกลับออกไปอย่างมีความสุข. เด็กชายผู้นั้นก็ไม่เคยกลับมาเก็บผลแอปเปิ้ลต่อไปอีกเลย. ต้นไม้ก็มีความรู้สึกเสียใจ.

One day the boy returned and the tree was so excited. "Come and play with me" the tree said. "I don*t have time to play. I have to work for my family. We need a house for shelter. Can you help me? ""Sorry but I don*t have a house. But you can chop off my branches to build your house." So the boy cut all the branches off the tree and left happily. The tree was glad to see him happy but the boy never came back since then.

วันหนึ่ง เด็กชายก็กลับมาและต้นไม้นี้ก็มีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง. "มาเล่นกับฉันหน่อยเถิด" ต้นไม้ได้พูดขึ้น. " ฉันไม่มีเวลาที่จะเล่นหรอก. ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉัน. เราต้องการบ้านเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย. คุณสามารถช่วยฉันได้หรือเปล่าล่ะ?" "เสียใจด้วยที่ฉันไม่มีบ้านนะ. แต่เธอสามารถตัดเอากิ่งก้านของฉันออกไปเพื่อสร้างบ้านของเธอได้." ดังนั้น เด็กชายผู้นี้ก็ได้ตัดเอากิ่งก้านของต้นไม้ออกไปทั้งหมดและกลับไปอย่างมีความสุข. ต้นไม้มีความยินดีที่เห็นเขานั้นมีความสุขแต่ทว่า เด็กชายผู้นี้ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยตั้งแต่ครานั้น.

The tree was lonely and sad. One hot summer day, the boy returned and the tree was so delighted. "Come and play with me!" the tree said. "I am so sad and getting old. I want to go sailing to relax myself. Can you give me a boat? " "Use my trunk to build your boat. You can sail far away and be happy." So the boy cut the tree trunk to make a boat. He went sailing and never showed up for a very long long time.

ต้นไม้มีความเหงาและเศร้าสร้อย. ในวันหนึ่งของฤดูร้อน, เด็กชายผู้นี้ก็ได้กลับมาและต้นไม้ก็มีความปิติยินดี. "มาเล่นกับฉันหน่อยเถิด! " ต้นไม้ได้กล่าวออกไป. "ฉันมีความเศร้าโศกอยู่และเริ่มมีอายุมากขึ้นแล้วนะ. ฉันต้องการที่จะแล่นเรือเพื่อที่จะผ่อนคลายความเครียดต่อตัวฉันเอง. คุณสามารถให้เรือเล็กๆ สักลำหนึ่งกับฉันได้หรือเปล่าล่ะ?" "ใช้ลำต้นของฉันเพื่อที่จะสร้างเรือของเธอซิ. เธอสามารถที่จะแล่นเรือออกไปอีกไกลโขและก็มีความสุขได้." ดังนั้น เด็กชายนี้ก็ได้ตัดลำต้นของต้นไม้เพื่อที่จะสร้างเรือลำเล็กๆ ลำหนึ่ง. เขาก็ได้ออกไปแล่นเรือและไม่เคยกลับมาอีกเลยอย่างเป็นเวลายาวนานแสนนาน.

Finally, the boy returned after he left for so many years. "Sorry, my boy, but I don*t have anything for you anymore. No more apples for you...." the tree said. "I don*t have teeth to bite" the boy replied. "No more trunk for you to climb on. " " I am too old for that now" the boy said. "I really can*t give you anything.....the only thing left is my dying roots" the tree said with tears. "I don*t need much now, just a place to rest. I am tired after all these years." The boy replied "Good! Old Tree Roots is the best place to lean and rest on." "Come, come sit down with me and rest. " The boy sat down and the tree was glad and smiled with tears.

ในท้ายที่สุด, เด็กผู้ชายก็ได้กลับมาหาอีกหลังจากที่เขาออกไปเป็นเวลาหลายๆ ปี. "เสียใจด้วยนะ, เด็กน้อยของฉัน, แต่ฉันไม่มีอะไรเหลือไว้ให้กับเธอแล้วในตอนนี้น่ะ. ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้สำหรับเธอ... " ต้นไม้ก็ได้พูดขึ้น." ฉันก็ไม่มีฟันที่จะเคี้ยวแล้ว" เด็กชายก็ตอบให้ทราบ. " ไม่มีลำต้นเหลืออยู่แล้วเพื่อที่ให้เธอปีนป่ายขึ้นไปได้." " ฉันก็แก่เกินไปเสียแล้ว ที่จะทำอย่างนั้นในตอนนี้" เด็กชายได้กล่าวตอบกลับไป. " ฉันไม่สามารถให้อะไรกับเธอได้แล้วจริงๆ นะ.... สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือรากต้นไม้ซึ่งกำลังจะเฉาตายอยู่แล้ว" ต้นไม้ได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำตา. " ฉันไม่ต้องการอะไรมากนักในตอนนี้, ขอเพียงแต่สถานที่ที่จะพักผ่อนเสียหน่อย. ฉันเหนื่อยเหลือเกินหลังจากหลายๆ ปีที่ผ่านมาในชีวิต." เด็กชายก็ได้ตอบไป "ดีแล้ว! รากต้นไม้ต้นเก่านี้ก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการเอนตัวลงนอนและพักผ่อนอยู่ตรงนี้แหละ." " มาเถิด, มานั่งลงอยู่ที่นี่กับฉันและพักผ่อนเสียเถิด." เด็กผู้ชายคนนี้ก็ได้นั่งลงและต้นไม้ก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งและก็ยิ้มด้วยน้ำตาแห่งความสุข.

This is a story for everyone. The tree is our parents. When we were young, we loved to play with Mom and Dad...When we grew up, we left them...only come to them when we need something or when we are in trouble. No matter what, parents will always be there and give everything they can to make you happy. You may think the boy is cruel to the tree but that is how all of us are treating our parents.

เรื่องนี้ก็ขอให้ไว้กับทุกๆ ท่าน. ต้นไม้นี้ก็คือพ่อแม่ของเรานั่นเอง. เมื่อเรายังเยาว์วัยอยู่, เราชอบที่จะเล่นกับพ่อและแม่... เมื่อเราเติบโตขึ้นมา, เราก็ออกมาจากอ้อมกอดของท่านเหล่านั้น... เพียงแต่จะกลับมาหาท่าน ก็ต่อเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่างหรือเมื่อเรากำลังมีปัญหาอุปสรรคอยู่. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น, พ่อแม่ของเราก็ยังคงอยู่ ณ ที่นั่นอย่างโดยเสมอ และยอมให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่พวกท่านสามารถทำให้ได้ เพื่อที่คุณมีความสุขได้. คุณอาจจะคิดว่าเด็กชายน้อยนี้เป็นผู้ที่โหดร้ายต่อต้นไม้ แต่นั่นก็คือการแสดงให้เห็นว่า พวกเราทั้งหมดนั้น ได้ปฎิบัติอย่างไรต่อผู้ปกครองพ่อแม่ของเรานั่นเอง.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 87
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 08 เม.ย. 2552  เวลา 03:03:43   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Donkey in the Well ลาตัวน้อยในบ่อน้ำ

What You Can Learn From a Donkey?คุณสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากลาตัวหนึ่ง?

One day a farmer*s donkey fell down into a well. The animal cried piteously for hours as the farmer tried to figure out what to do.

วันหนึ่ง ลาของชาวนาคนหนึ่งได้ตกลงไปในบ่อน้ำ. เจ้าตัวนี้ก็ได้ร้องโหยหวนอย่างน่าสงสารเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในขณะที่ชาวนาพยายามที่จะพิจารณาดูว่าควรจะต้องกระทำอะไรบ้าง.

Finally he decided since the animal was old, and the well needed to be covered up anyway, it just wasn*t worth it to retrieve the donkey. So, the farmer invited all his neighbors to come over and help him. They all grabbed shovels, and began to shovel dirt into the well.

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจว่า เจ้าตัวนี้ก็มีอายุมากแล้ว, และนอกจากนั้น ตัวบ่อน้ำเองก็ควรจะต้องปิดกั้นเสียทีหนึ่ง, มันไม่คุ้มค่าแต่อย่างใดเลยที่จะช่วยให้ลาตัวนั้นกลับขึ้นมา. ดังนั้น, ชาวนาก็ได้เชื้อเชิญให้เพื่อนบ้านทุกๆ คนได้มายังที่นี่และช่วยแรงเขาหน่อย. พวกเขาก็ได้หยิบฉวยพลั่วเสียมต่างๆ, และก็เริ่มขุดเอาดินไปถมลงในบ่อน้ำ.

All the other farm animals were very upset about this, because the donkey was their friend. But they discovered there was nothing they could do to help him. At first, when the donkey realized what was happening, he cried horribly. Then, to everyone*s amazement, he quieted down. A few shovel loads later, the farmer finally looked down the well, and was astonished at what he saw.

สัตว์ตัวอื่นๆ ที่อยู่ในโรงนาก็มีความหงุดหงิดเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้, เพราะว่าลาตัวนั้นเป็นเพื่อนของพวกเขา. แต่พวกเขาก็พบแล้วว่า มันไม่มีทางใดเลยที่พวกเขาจะสามารถช่วยเหลือลาตัวนี้ได้. ในตอนแรก, เมื่อลาได้ตระหนักรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่, เขาก็ส่งเสียงร้องอย่างสยองขวัญ. หลังจากนั้น, ด้วยความประหลาดใจกับทุก ๆ คน, เจ้าลาตัวนี้ก็เริ่มเงียบเสียงลง. หลังจากการขุดดินถมลงไปสักสองสามครั้ง, ในที่สุดชาวนาก็มองลงไปในบ่อน้ำ, และเขาก็เกิดความพิศวงต่อสิ่งที่เขาได้เห็น.

With every shovel of dirt that hit his back, the donkey was doing something amazing. He would shake it off, and take a step up on the dirt as it piled up. As the farmer*s neighbors continued to shovel dirt on top of the animal, he would shake it off and take a step up. Pretty soon, everyone was amazed as the donkey stepped up over the edge of the well, and trotted off!

ด้วยการถมดินจากพลั่วเสียมแต่ละครั้งซึ่งไปกระทบอยู่บนสันหลังของเขา, เจ้าลาตัวนี้ก็ได้กระทำบางสิ่งบางอย่างเป็นที่น่าทึ่งใจ. เขาได้สบัดตัวเพื่อเอาดินออกมา, และก็ก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวเมื่อดินได้เริ่มทับถมขึ้น. เมื่อเพื่อนบ้านของชาวนายังคงใช้พลั่วโถมดินให้อยู่บนสันหลังของเจ้าตัวนี้, เขาก็จะสบัดดินเหล่านั้นและก็ก้าวขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง. ในไม่ช้านัก, ทุกๆ คนก็มีความประหลาดใจที่เจ้าลาตัวนี้ ได้ก้าวขึ้นมาได้จนถึงขอบของบ่อน้ำ, และในที่สุดก็วิ่งเหยาะๆ ออกไป!

MORAL: Life is going to shovel dirt on you, all kinds of dirt. But each trouble can be a stepping stone. What happens to you isn*t nearly as important as how you react to it. We can get out of the deepest wells just by not giving up!

คติสอนใจ: ชีวิตนั้นก็มีการโถมดินใส่ตัวคุณอยู่ตลอด, เป็นดินทุกประเภทเสียด้วย. แต่ปัญหาอุปสรรคแต่ละครั้งนั้น สามารถเป็นเหมือนกับก้อนหินที่วางไว้ให้ก้าวเหยียบขึ้นมา. อะไรที่เกิดขึ้นกับคุณนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มีความค่อนข้างสำคัญมากเหมือนว่า คุณมีปฎิกิริยาตอบโต้กับมันอย่างไร. เราสามารถออกมาจากบ่อน้ำที่ลึกที่สุดได้ เพียงแต่ว่าอย่าไปยอมแพ้กับมันเท่านั้นเอง!

Shake it off, and take a step up!

สบัดมันออกไป, และก้าวให้สูงขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง!


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 88
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 09 เม.ย. 2552  เวลา 00:31:45   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The China Farmer ชาวนาจากเมืองจีน

Once upon a time, there was a farmer in the central region of China. He didn*t have a lot of money and, instead of a tractor, he used an old horse to plow his field.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว, มีชาวนาผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. เขาไม่มีเงินมากมายนักและ, แทนที่จะใช้รถแทรกเตอร์, เขากลับมาใช้ม้าแก่ๆ ตัวหนึ่งเพื่อที่จะไถดินในพื้นนาของเขา.

One afternoon, while working in the field, the horse dropped dead. Everyone in the village said, "Oh, what a horrible thing to happen." The farmer said simply, "We*ll see." He was so at peace and so calm, that everyone in the village got together and, admiring his attitude, gave him a new horse as a gift.

ตอนกลางวันของวันหนึ่ง, ในขณะที่กำลังทำงานอยู่ในท้องนา, เจ้าม้าตัวนี้ก็ได้ล้มตายลง. ทุกๆ คนในหมู่บ้านได้กล่าวขึ้นว่า, " โอ้, ช่างเป็นเรื่องที่น่าเกลียดน่ากลัวที่เกิดขึ้นอะไรอย่างนั้น." ชาวนาก็ได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า, " แล้วเราก็จะได้เห็นกัน." เขาอยู่ในความสงบและนิ่งเงียบเหลือเกิน, ซึ่งทุกๆ คนในหมู่บ้านนั้นได้รวมตัวประชุมกันและ, ชมเชยกิริยาท่าทางของเขา, ได้ให้ม้าตัวใหม่เพื่อเป็นของขวัญกับเขาตัวหนึ่ง.

Everyone*s reaction now was, "What a lucky man." And the farmer said, "We*ll see."

ปฎิกิริยาของทุกๆ คนในตอนนี้ก็คือ, "เขาช่างเป็นผู้ที่โชคดีอะไรอย่างนี้." และชาวนาก็ได้กล่าวตอบไปว่า, "แล้วเราก็จะได้เห็นกัน."

A couple days later, the new horse jumped a fence and ran away. Everyone in the village shook their heads and said, "What a poor fellow!"

สองวันต่อมา, ม้าตัวใหม่ตัวนี้ก็ได้กระโดดข้ามรั้วและวิ่งหนีออกไป. ทุกๆ คนในหมู่บ้านก็ส่ายศีรษะและกล่าวขึ้นว่า, "ช่างเป็นผู้ที่น่าสงสารอะไรเช่นนั้น! "

The farmer smiled and said, "We*ll see."

ชาวนาก็ยิ้มและกล่าวตอบไปว่า, "แล้วเราก็จะได้เห็นกัน."

Eventually, the horse found his way home, and everyone again said, "What a fortunate man."

ในท้ายที่สุด, ม้าตัวนั้นก็หาทางกลับมายังที่บ้านจนได้, และทุกๆ คนก็ได้กล่าวกันอีกครั้งว่า, "ช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรเช่นนั้น! "

The farmer said, "We*ll see."

ชาวนาได้ตอบกลับไปว่า, "แล้วเราก็จะได้เห็นกัน."

Later in the year, the farmer*s young boy went out riding on the horse and fell and broke his leg. Everyone in the village said, "What a shame for the poor boy."

ต่อมาในปีนั้น, ลูกผู้ชายหนุ่มของชาวนาก็ได้ขี่ม้าออกไปและตกลงมาจากหลังม้าซึ่งทำให้ขาของเขาหัก. ทุกๆ คนในหมู่บ้านได้กล่าวขึ้นว่า, "ช่างเป็นเรื่องที่น่าละอายเหลือเกินสำหรับเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้."

The farmer said, "We*ll see."

ชาวนาก็ได้กล่าวขึ้นว่า, "แล้วเราก็จะได้เห็นกัน."

Two days later, the army came into the village to draft new recruits. When they saw that the farmer*s son had a broken leg, they decided not to recruit him.

สองวันต่อมา, ทหารของกองทัพบกได้เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหาทหารเกณฑ์ใหม่ๆ. เมื่อพวกเขาได้เห็นลูกชายของชาวนาขาหักอยู่นั้น, พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่เกณฑ์ตัวเขาไป.

Everyone said, "What a fortunate young man."

ทุกๆ คนได้กล่าวขึ้นว่า, "ช่างเป็นชายหนุ่มที่โชคดีอะไรเช่นนี้."

The farmer smiled again - and said "We*ll see."

ชาวนาก็ยิ้มอีกครั้งหนึ่ง – และได้กล่าวตอบไปว่า "แล้วเราก็จะได้เห็นกัน."

Moral of the story: There*s no use in overreacting to the events and circumstances of our everyday lives. Many times what looks like a setback, may actually be a gift in disguise. And when our hearts are in the right place, all events and circumstances are gifts that we can learn valuable lessons from.

คติสอนใจของเรื่องนี้: เป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะมีปฎิกิริยาโต้ตอบต่อสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมในชีวิตของพวกเราทุกๆ วันอย่างรุนแรงจนเกินไป. มีหลายครั้งหลายคราที่ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เสื่อมถอยหรือแย่ลง, อาจจะเป็นของขวัญที่ซ่อนรูปอยู่อย่างแท้จริงก็ได้. และเมื่อหัวจิตหัวใจของเราอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้อง, สถานการณ์และสภาวะแวดล้อมทั้งหมดก็คือของขวัญซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้จากบทเรียนอันล้ำค่าเหล่านั้น.

As Fra Giovanni once said:

อย่างที่ ฟรา จิโอฟานนี่เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า:

"Everything we call a trial, a sorrow, or a duty, believe me... the gift is there and the wonder of an overshadowing presence."

"ทุกๆ อย่างที่เราเรียกว่าการทดสอบ, ความเศร้าโศกเสียใจ, หรือหน้าที่ก็ตาม, เชื่อฉันเถิดว่า .... ของขวัญอันล้ำค่านั้นยังอยู่ ณ ที่ตรงนั้นและความฉงนใจจากสิ่งที่ควรจะอยู่ตรงนั้น ยังคงถูกบดบังอยู่."


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 89
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 09 เม.ย. 2552  เวลา 00:35:26   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
ขอเกริ่นกล่าวสักนิดหนึ่งนะครับ

พรุ่งนี้ วันพฤหัสบดี เป็นวัน Passover ของผม ซึ่งตรงกับ Good Friday (วันศุกร์ที่เมืองไทย) ก่อนเทศกาล Easter ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้. ผมจะขอแปลเรื่องๆ หนึ่ง ซึ่งเห็นสมควรว่า เหมาะสมต่อสถานการณ์ของวันนั้น เป็นเรื่องที่ขอมอบให้กับ เพื่อนๆ พี่น้อง ที่นับถือศาสนาคริสต์ทุกท่าน (ถ้าใครมีเพื่อนฝรั่งก็ส่งภาษาอังกฤษไปด้วยก็ได้)วันพรุ่งนี้ ผมหวังว่า เรื่องแปลที่มอบให้ในเวปนี้ จะเป็นเรื่องที่ดีในเทศกาล Easter ถ้าเพื่อนๆ ชอบเรื่องนี้ ก็เชิญ copy ไว้ได้ครับ เผื่อว่าจะนำไปมอบให้กับท่านบาทหลวงหรือผู้ที่ประกอบพิธี mass หรือ การเทศน์ในโบสถ์ได้ หวังว่าเรื่องนี้คงจะได้รับการเผยแพร่หลายออกไปหลายที่นะครับ

ในเวปนี้ ก็ขอมอบเรื่องพรุ่งนี้ให้กับ ป้าปุ๊ เป็นพิเศษก็แล้วกันนะครับ (รวมถึงท่านอื่นๆ ซึ่งเข้ามาอ่านเฉยๆ ด้วย)

วันศุกร์ของผมจะแปลเรื่องที่เกี่ยวกับ ความสุขให้ฟัง สักเล็กน้อยนะครับ

ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ยังติดตามอ่านอยู่นะครับ ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่ช่วยกันรักษากระทู้นี้ไว้โดยการเข้ามาอ่านกันพอสมควร ไม่อย่างงั้น คงจะเป็นกระทู้เก่าๆ กระทู้หนึ่งเท่านั้นเอง ยังไงๆ ก็ส่งข้อความให้ทราบด้วยก็แล้วกัน ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งครับ

ด้วยความเคารพ

ทบพร ผาติธรรมรักษ์



 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 90
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   UmdangAoy
 Posted : 09 เม.ย. 2552  เวลา 08:32:15   IP :(125.24.149.90)

  ปรมาจารย์
 

 Sex :
 Post : 3864
 สมาชิกลำดับที่ : 3
ถึงลุงอ้าย(ทบพร)

แวะมาอ่านทุกครั้งที่มีเรื่อง(แปล)ใหม่
ติดตามอ่านอยู่เป็นประจำ และชอบทุกเรื่องเลยจ้า

 

~* นกนางนวล บินทวนลม *~ พ.พ. ๒๕๑๙*
 Comment : 91
ชื่อสมาชิก UmdangAoy Mail to UmdangAoy
กลับขึ้นด้านบน

   purinchan
 Posted : 09 เม.ย. 2552  เวลา 08:49:23   IP :(125.24.132.103)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3390
 สมาชิกลำดับที่ : 38
ในเวปนี้ ก็ขอมอบเรื่องพรุ่งนี้ให้กับ ป้าปุ๊ เป็นพิเศษก็แล้วกันนะครับ (รวมถึงท่านอื่นๆ ซึ่งเข้ามาอ่านเฉยๆ ด้วย)

ขอบคุณ คุณทบพรมาก ๆ น่ะค่ะ อย่างที่บอกกันว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ทุกสุภาษิตมีคติเตือนใจ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดตาเปิดใจ ที่จะเรียนรู้และถ่อมใจตนเอง ได้หรือเปล่า? รออ่านอยู่ค่ะ...ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรให้แก่คุณทบพรและครอบครัวน่ะค่ะ...สุขสันต์วันอิสเตอร์ค่ะ...


 

^p^ นกน้อย ในไร่ส้ม ^p^ ปุ๊ พ.พ.๒๕๑๙
 Comment : 92
ชื่อสมาชิก purinchan Mail to purinchan
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 10 เม.ย. 2552  เวลา 03:46:17   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

Trees That Wood ไม้ชิ้นเอก

Once there were three trees on a hill in the woods. They were discussing their hopes and dreams when the first tree said, "Someday I hope to be a treasure chest. I could be filled with gold, silver and precious gems. I could be decorated with intricate carving and everyone would see the beauty."

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีต้นไม้อยู่สามต้นซึ่งขึ้นอยู่บนภูเขาในป่าทึบ. พวกเขาได้สนทนากันถึงความประสงค์ปรารถนาและความใฝ่ฝันของพวกเขา เมื่อต้นไม้ต้นแรกได้กล่าวขึ้นว่า, "วันหนึ่งข้างหน้า ฉันหวังว่าจะกลายเป็นxxxบเก็บใส่สมบัติ. ตัวฉันสามารถถูกบรรจุให้เต็มไปด้วยทองคำ, เงินและแก้วแหวนอัญมณีอันมีค่า. ฉันสามารถถูกนำไปตกแต่งประดับประดาอย่างเลิศเลอด้วยการแกะสลักที่วิจิตรปราณีตและทุกๆ คนก็จะต้องตะลึงงันเมื่อเห็นความงดงามของฉัน."

Then the second tree said, "Someday I will be a mighty ship. I will take kings and queens across the waters and sail to the corners of the world. Everyone will feel safe in me because of the strength of my hull."

ต้นไม้ต้นที่สองก็ได้กล่าวขึ้นต่อมาว่า, "วันหนึ่งข้างหน้า ฉันจะกลายเป็นเรือที่แข็งแกร่ง. ฉันจะบรรทุกพระมหากษัตริย์และพระราชินีหลายหลายพระองค์ให้ข้ามน้ำข้ามทะเลและล่องเรือไปสู่สถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ไกลโพ้นจนสุดมุมเมืองขอบฟ้าของโลก. ผู้โดยสารทุกๆ คนจะมีความรู้สึกปลอดภัยในตัวฉันเพราะว่าความมีพลังอานุภาพที่ฝังอยู่บนตัวผนังเรือของฉันนั่นเอง."

Finally the third tree said, "I want to grow to be the tallest and straightest tree in the forest. People will see me on top of the hill and look up to my branches, and think of the heavens and God and how close to them I am reaching. I will be the greatest tree of all time and people will always remember me."

ในท้ายที่สุด ต้นไม้ต้นที่สามก็ได้กล่าวขึ้นว่า, "ฉันต้องการที่จะเติบโตให้เป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดและมีลำต้นตรงที่สุดในป่าใหญ่. ผู้คนจะเห็นฉันอยู่บนยอดของภูเขาและมองขึ้นมาเห็นกิ่งก้านของฉัน, และกรุ่นคิดเกี่ยวกับสรวงสวรรค์และพระผู้เป็นเจ้าและให้รู้ว่าฉันได้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมกับเรื่องทั้งสองนี้เพียงแค่ไหน. ฉันจะเป็นต้นไม้ที่ล้ำเลิศที่สุดโดยตลอดกาลและผู้คนก็จะจดจำฉันได้อยู่โดยเสมอไป."

After a few years of praying that their dreams would come true, a group of woodsmen came upon the trees. When one came to the first tree he said, "This looks like a strong tree, I think I should be able to sell the wood to a carpenter" ... and he began cutting it down. The tree was happy, because he knew that the carpenter would make him into a treasure chest.

หลังจากที่สวดมนต์อธิษฐานอยู่สองสามปีต่อมา ความใฝ่ฝันของพวกเขาก็ดูเสมือนว่า อาจจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้, นักตัดไม้ในป่ากลุ่มหนึ่งได้เดินทางมาถึงต้นไม้เหล่านี้. เมื่อคนแรกมาถึงต้นไม้ต้นแรก เขาก็กล่าวขึ้นว่า, "ต้นไม้ต้นนี้ดูเหมือนกับว่าเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง, ฉันคิดว่าฉันสามารถที่จะขายไม้ชิ้นนี้ให้กับช่างไม้ได้".... และเขาก็เริ่มตัดต้นไม้ต้นนี้ลงมา. ต้นไม้ก็มีความสุขมาก, เพราะว่าเขาทราบว่าช่างไม้นั้นสามารถทำให้เขากลายเป็นxxxบใส่สมบัติได้.

At the second tree a woodsman said, "This looks like a strong tree, I should be able to sell it to the shipyard." The second tree was happy because he knew he was on his way to becoming a mighty ship.

ที่ต้นไม้ต้นที่สอง นักตัดไม้คนหนึ่งได้กล่าวขึ้นว่า, "ต้นไม้ต้นนี้ดูเหมือนจะเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง, ฉันสามารถที่จะนำไปขายที่อู่ต่อเรือได้." ต้นไม้ต้นที่สองก็มีความสุขเพราะว่าเขาทราบว่าเขากำลังอยู่บนหนทางที่จะกลายเป็นเรือที่ทรงพลังอานุภาพตามที่เขาได้ปรารถนาไว้.

When the woodsmen came upon the third tree, the tree was frightened because he knew that if they cut him down his dreams would not come true. One of the woodsmen said, "I don*t need anything special from my tree so I*ll take this one", and he cut it down.

เมื่อนักตัดไม้มาถึงต้นไม้ต้นที่สาม, ต้นไม้ต้นนี้ก็เกิดอาการหวาดกลัวเพราะว่า เขาทราบว่าถ้าพวกนักตัดไม้ได้ตัดเขาลงมาแล้ว ความใฝ่ฝันของเขาก็ไม่อาจจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้. นักตัดไม้คนหนึ่งในกลุ่มได้กล่าวขึ้นว่า, "ฉันไม่ต้องการอะไรเป็นพิเศษจากต้นไม้ของฉัน ดังนั้น ฉันก็จะขอตัดต้นไม้ต้นนี้ เอาไปเก็บไว้เฉยๆ", และเขาก็ตัดต้นไม้ต้นนี้ลงมา.

When the first tree arrived at the carpenters, he was made into a feed box for animals. He was then placed in a barn and filled with hay. This was not at all what he had prayed for. The second tree was cut and made into a small fishing boat. His dreams of being a mighty ship and carrying kings had come to an end. The third tree was cut into large pieces and left alone in the dark. The years went by, and the trees forgot about their dreams.

เมื่อต้นไม้ต้นแรกได้มาถึงสถานที่ของช่างไม้แล้ว, เขาก็ถูกทำให้กลายเป็นรังใส่อาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์. จากนั้น เขาก็ถูกนำมาอยู่ไว้ในโรงนา และเติมให้เต็มไปด้วยหญ้าฟาง. เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาได้สวดมนต์อธิษฐานไว้เลย. ต้นไม้ต้นที่สองได้ถูกตัดและถูกสร้างให้กลายเป็นเรือหาปลาลำเล็กๆ ลำหนึ่ง. ความใฝ่ฝันของเขาที่จะกลายเป็นเรือที่ทรงพลังอานุภาพและบรรทุกกษัตริย์หลายๆ พระองค์ ก็ได้สิ้นสุดลงไป. ต้นไม้ต้นที่สามได้ถูกตัดและเลื่อยออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ และก็ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวในที่มืด. หลายปีผ่านพ้นไป, และต้นไม้เหล่านั้น ก็ลืมถึงเรื่องความใฝ่ฝันที่พวกเขาได้เคยปรารถนาเอาไว้.

Then one day, a man and woman came to the barn. She gave birth and they placed the baby in the hay in the feed box that was made from the first tree. The man wished that he could have made a crib for the baby, but this manger would have to do. The tree could feel the importance of this event and knew that it had held the greatest treasure of all time. Years later, a group of men got in the fishing boat made from the second tree. One of them was tired and went to sleep. While they were out on the water, a great storm arose and the tree didn*t think it was strong enough to keep the men safe. The men woke the sleeping man, and he stood and said "Peace" and the storm stopped. At this time, the tree knew that it had carried the King of Kings in its boat.

จากนั้นวันหนึ่ง, ผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งได้เดินทางมาที่โรงนา. ผู้หญิงได้ให้กำเนิดเด็กผู้ชายคนหนึ่งและเขาทั้งสองได้นำเด็กทารกผู้นี้มาวางไว้บนหญ้าฟางซึ่งอยู่ในรังใส่อาหารสัตว์ซึ่งได้ทำมาจากต้นไม้ต้นแรก. ตัวผู้ชายเองก็มีความปรารถนาว่า เขาควรสามารถที่จะทำอู่เล็กๆ สำหรับเด็กทารกให้, แต่ทว่ารางหญ้าชิ้นนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของมันมาแล้วเป็นอย่างดี. ต้นไม้ต้นแรกก็สามารถรู้สึกถึงความสำคัญของเหตุการณ์ในครั้งนี้และรู้ว่าเขากำลังได้บรรทุกสมบัติอันล้ำค่าที่สุดอย่างไม่เคยปรากฎมีขึ้นมาก่อน. หลายปีต่อมา, ผู้ชายกลุ่มหนึ่งได้ขึ้นไปบนเรือหาปลาซึ่งทำจากต้นไม้ต้นที่สอง. บุคคลผู้หนึ่งในคณะมีความเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากและได้งีบหลับลงไป. ในขณะที่พวกเขายังอยู่กลางท้องน้ำนั้น, ก็ได้มีพายุใหญ่เกิดขึ้นและต้นไม้ต้นนี้ก็ไม่คิดว่าตนเองนั้น จะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะให้ความปลอดภัยกับผู้โดยสารทั้งหมดได้. ชายกลุ่มนั้นก็ได้ปลุกชายผู้ที่นอนหลับอยู่ให้ตื่น และจากนั้น เขาก็ได้ยืนขึ้นและกล่าวคำว่า "ความสงบสุขจงบังเกิดขึ้น "และพายุก็ได้สงบลง. ในเวลานั้น, ต้นไม้ต้นที่สองก็ทราบแล้วว่าเขากำลังบรรทุกมหากษัตริย์ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือกว่าพระราชาใดๆ ทั้งหมดอยู่ในตัวเรือเล็กๆ ลำนั้นเอง.

Finally, someone came and got the third tree. It was carried through the streets as the people mocked the man who was carrying it. When they came to a stop, the man was nailed to the tree and raised in the air to die at the top of a hill. When Sunday came, the tree came to realize that it was strong enough to stand at the top of the hill and be as close to God as was possible, because Jesus had been crucified on it.

ในที่สุด, ก็มีคนสองสามคนเข้ามาและนำเอาต้นไม้ต้นที่สามออกไป. ต้นไม้นี้ก็ได้ถูกยกผ่านไปตามท้องถนนที่มีฝูงชน ซึ่งทำการเยาะเย้ยต่อผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังแบกมันอยู่. เมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง, ผู้ชายคนนี้ก็ได้ถูกเอาตะปูตอกให้ตรึงขึงอยู่บนพื้นไม้และได้ถูกยกขึ้นไปกลางอากาศเพื่อที่จะสิ้นชีวิตลงอยู่ ณ บนยอดภูเขาแห่งหนึ่ง. เมื่อวันอาทิตย์ได้มาถึง, ต้นไม้ต้นนี้ก็ได้รับรู้แล้วว่า เขามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะตั้งฐานยืนหยัดอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ได้และการที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านพระผู้เป็นเจ้านั้น ก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้, เพราะว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงถูกทรมานให้สิ้นพระชนม์จากการถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนซึ่งทำมาจากต้นไม้ต้นที่สามนั้นเอง.

The moral of this story is that when things don*t seem to be going your way, always know that God has a plan for you. If you place your trust in Him, He will give you great gifts. Each of the trees got what they wanted, just not in the way they had imagined. We don*t always know what God*s plans are for us. We just know that His ways are not our ways, but His ways are always best. May your day be blessed. And until we meet again, may God cradle you in the palm of His hand.

คติสอนใจของเรื่องนี้ก็คือว่า เมื่อบางสิ่งบางอย่างดูเหมือนกับว่าจะไม่เป็นไปตามทางที่คุณได้ปรารถนาไว้, จำไว้โดยเสมอว่า ท่านพระผู้เป็นเจ้านั้น ทรงมีแผนการไว้ให้สำหรับตัวคุณ. ถ้าคุณมอบความไว้เนื้อเชื่อใจของคุณเองไว้ให้กับท่าน, ท่านก็จะให้ของขวัญอันล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับตัวคุณ. ต้นไม้แต่ละต้นนั้นก็ได้รับสิ่งตามที่พวกเขาได้ประสงค์ปรารถนาไว้, เพียงแต่ว่าไม่เป็นอย่างที่พวกเขาได้สร้างจินตนาการไว้แต่ก่อนเท่านั้นเอง. พวกเราไม่สามารถล่วงรู้โดยก่อนเสมอว่า ท่านพระผู้เป็นเจ้านั้น ทรงมีแผนการอะไรไว้ให้กับพวกเราบ้าง. เราเพียงแต่ทราบว่า หนทางของท่านนั้นไม่ใช่หนทางแบบเดียวกับเรา, แต่ทว่าหนทางของท่านนั้น เป็นหนทางที่ล้ำเลิศที่สุดโดยเสมอ. ขอให้วันนี้ จงเป็นวันที่คุณได้รับพรเพื่อประสบกับความโชคดี. และจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง, ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงช่วยทรงอุ้มชูทะนุถนอมคุ้มครองท่านให้อยู่ในความปกป้องจากผองภัยภายใต้อุ้งฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ท่านด้วยเทอญ.


******************
Happy Easter ให้กับทุกๆ ท่านครับ

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 93
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   purinchan
 Posted : 10 เม.ย. 2552  เวลา 06:52:03   IP :(125.24.136.104)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3390
 สมาชิกลำดับที่ : 38
คลิ๊กที่ภาพ

GOOD FRIDAY

I wll be still and know you are God....

 

^p^ นกน้อย ในไร่ส้ม ^p^ ปุ๊ พ.พ.๒๕๑๙
 Comment : 94
ชื่อสมาชิก purinchan Mail to purinchan
กลับขึ้นด้านบน

   purinchan
 Posted : 10 เม.ย. 2552  เวลา 16:30:44   IP :(125.24.174.38)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3390
 สมาชิกลำดับที่ : 38
คลิ๊กที่ภาพ

จำไว้โดยเสมอว่า ท่านพระผู้เป็นเจ้านั้น ทรงมีแผนการไว้ให้สำหรับตัวคุณ. ถ้าคุณมอบความไว้เนื้อเชื่อใจของคุณเองไว้ให้กับท่าน, ท่านก็จะให้ของขวัญอันล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับตัวคุณ.
ผู้ที่เชื่อ จะได้รับพระพระ

นี่คือพระพรที่พระเป็นเจ้า ทรงประทานให้แก่ปุ๊และลูกสาว ถึงแม้ว่าชีวิตส่วนตัวของปุ๊เองก็แสนจะธรรมดา ถ้าไม่เพราะพระองค์ทรงเมตตา รักเราอย่างที่อย่างเราเป็น...ขอบพระคุณพระเจ้า...

 

^p^ นกน้อย ในไร่ส้ม ^p^ ปุ๊ พ.พ.๒๕๑๙
 Comment : 95
ชื่อสมาชิก purinchan Mail to purinchan
กลับขึ้นด้านบน

   purinchan
 Posted : 10 เม.ย. 2552  เวลา 16:37:13   IP :(125.24.174.38)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3390
 สมาชิกลำดับที่ : 38
คลิ๊กที่ภาพ

ด้วยพระคุณ ความรัก ความเมตตาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานการทรงเลี้ยงดูครอบครัวของเรา ...น้ำส้ม..เค้าก็เรียนจบป.โท ด้วยทุนของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งโดยลำพังตัวปุ๊เอง คงไม่สามารถจะส่งเสียเงินทองค่าใช้จ่ายให้น้ำส้มได้มากมายเท่านี้ แต่เพราะพระเจ้า พระองค์เดียวที่ไม่มีอะไรเกินกว่าที่พระองค์จะทรงทำได้.....ขอบคุณพระเจ้า...อาเมน

 

^p^ นกน้อย ในไร่ส้ม ^p^ ปุ๊ พ.พ.๒๕๑๙
 Comment : 96
ชื่อสมาชิก purinchan Mail to purinchan
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 11 เม.ย. 2552  เวลา 04:23:00   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Gift ของขวัญอันล้ำค่า
- By John Claypool โดย นายจอห์น เคลย์พูล

A story about an old Bendix washing machine helped one man get through the valley of loss. *

เรื่องเกี่ยวกับเครื่องซักผ้าเก่าๆ ยี่ห้อเบนดิ๊ซเครื่องหนึ่ง ซึ่งช่วยให้บุคคลคนหนึ่งได้ผ่านพ้นหุบเหวแห่งความสูญเสียออกมาได้ *

His parents acquired the washer when John Claypool was a small boy. It happened during World War II.

พ่อของเขาได้ซื้อเครื่องซักผ้าเมื่อนายจอห์น เคลย์พูลยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่. มันได้เกิดขึ้นเมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง.

His family owned no washing machine and, since gasoline was rationed, they could ill afford trips to the laundry several miles away. Keeping clothes clean became a problem for young John*s household.

ครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องซักผ้าและ, ตั้งแต่มีการปันส่วนน้ำมันที่เติมรถยนต์กัน, พวกเขาก็สามารถบอกว่าเป็นเรื่องป่วยการที่จะออกเดินทางไปยังร้านซักผ้า ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเป็นระยะทางไกลหลายไมล์. ความพยายามที่จะรักษาให้เสื้อผ้าสะอาดนั้นเป็นปัญหาต่อครอบครัวของหนูน้อยจอห์นเป็นอย่างยิ่ง.

A family friend was drafted into the service, and his wife prepared to go with him. John*s family offered to store their furniture while they were away. To the family*s surprise, the friends suggested they use their Bendix while they were gone. "It would be better for it to be running, " they said, "than sitting up rusting." So this is how they acquired the washer.

เพื่อนของครอบครัวคนหนึ่งได้ถูกเกณฑ์ทหารเพื่อไปรับใช้ประเทศ, และภรรยาของเขาก็เตรียมตัวที่จะเดินทางออกไปพร้อมกับเขาด้วย. ครอบครัวของนายจอห์นก็เสนอแนะว่าให้เขาทั้งสองเก็บรักษาเฟอร์นิเจอร์ของพวกเขาที่บ้านของเขาในขณะเขาทั้งสองต้องออกเดินทางไปไกล. ด้วยความแปลกใจของครอบครัว, เพื่อนทั้งสองได้เสนอแนะให้ครอบครัวของนายจอห์นได้ใช้เครื่องซักผ้ายี่ห้อเบ็นดิ๊ซนี้ในขณะที่ครอบครัวเขาย้ายออกไป. "มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะให้เครื่องซักผ้านี้ได้ทำงานอยู่เรื่อยๆ, " เขาทั้งสองได้กล่าวขึ้น, "ดีกว่าปล่อยไว้อยู่เฉยๆ ให้สนิมมันกิน." ดังนั้น นี่ก็คือเรื่องที่ว่า ครอบครัวของนายจอห์น ได้รับเอาเครื่องซักผ้ามาไว้ที่บ้านได้อย่างไร

Young John helped with the washing, and across the years he developed an affection for the old, green Bendix. But eventually the war ended. Their friends returned. In the meantime he had forgotten how the machine came to be in their basement in the first place. When the friends came to take it away, John grew terribly upset -- and said so!

เด็กน้อยจอห์นผู้นี้ก็ได้ช่วยเหลือในการซักเสื้อผ้า, และผ่านพ้นไปเป็นปีๆ เขาก็ได้เริ่มติดชื่นชอบให้กับเจ้าเบ็นดิ๊ซสีเขียว, เครื่องเก่าๆ นี้. แต่ในท้ายที่สุดสงครามก็ได้จบสิ้นลง. เพื่อนทั้งสองก็ได้กลับมาสู่ที่บ้าน. ในระหว่างเวลานั้น นายจอห์นได้ลืมไปว่าเครื่องซักผ้าเครื่องนี้ได้มาอยู่ในห้องใต้ดินของพวกเขาได้อย่างไรในตอนแรก. เมื่อเพื่อนทั้งสองได้มาขอเอาคืน, นายจอห์นก็เริ่มเกิดความหงุดหงิดไม่พอใจอย่างรุนแรง – และเป็น อย่างที่กล่าวมาแล้ว!

His mother, wise as she was, sat him down and said, "Wait a minute, Son. You must remember, that machine never belonged to us in the first place. That we ever got to use it at all was a gift. So, instead of being mad at it being taken away, let*s use this occasion to be grateful that we had it at all."

แม่ของเขา, ซึ่งเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด, บอกให้เขานั่งลงและพูดขึ้นว่า, "รอสักครู่นะ, ลูกรัก. เธอต้องจำได้ว่า, เครื่องซักผ้าชิ้นนี้ไม่ได้เป็นของเราในตอนแรกเลย. ที่เราได้สามารถใช้มันอยู่ตลอดนั้นก็คือของขวัญนั่นเอง. ดังนั้น, แทนที่จะโมโหโกรธาว่ามันจะต้องเอาไปคืนกับเขา, ก็ให้เราใช้โอกาสอันนี้มาสำนึกถึงคุณค่าที่เราได้มีมันใช้อยู่ได้ตลอดในระยะเวลาทั้งหมดนั้น."

The lesson proved invaluable. Years later, John watched his eight-year-old daughter die a slow and painful death of leukemia. Though he struggled for months with her death, John could not begin healing from the loss until he remembered the old Bendix.

บทเรียนเรื่องนี้ได้พิสูจน์ว่าเป็นเรื่องที่ประมาณค่ามิได้. หลายปีต่อมา, นายจอห์นได้เฝ้ามองลูกสาวอายุแปดขวบของเขาเสียชีวิตลงอย่างช้าๆ และเจ็บปวดจากโรคลูคีเมีย (โรคชนิดหนึ่งที่มีเม็ดโลหิตขาวผิดปกติ). ถึงแม้ว่าเขาจะได้พยายามฝ่าฟันให้พ้นถึงเรื่องความตายของเธออยู่เป็นเวลาหลายเดือน, นายจอห์นก็ไม่สามารถที่จะเริ่มสมานใจต่อการสูญเสียได้จนกระทั่งเขาจำเรื่องเครื่องซักผ้าเบ็นดิ๊ซเครื่องเก่านั้นได้.

"I am here to testify," he said, "that this is the only way down the mountain of loss...when I remember that Laura Lou was a gift, pure and simple, something I neither earned nor deserved nor had a right to. And when I remember that the appropriate response to a gift, even when it is taken away, is gratitude, then I am better able to try and thank God that I was ever given her in the first place."

"ผมอยู่ที่นี่เพื่อให้การยืนยัน, " เขาได้กล่าวขึ้น, "ว่านี่คือหนทางเดียวที่จะลงมาจากเทือกเขาแห่งความสูญเสียได้....เมื่อผมจำได้ว่า ลอร์ร่า ลู นั้นเป็นของขวัญอันล้ำค่าชิ้นหนึ่ง, บริสุทธิ์และเรียบง่าย, เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถสมควรได้รับหรือควรค่าต่อการได้รับหรือมีสิทธิ์ที่จะได้รับ. และเมื่อผมจำได้ว่า คำตอบรับที่เหมาะสมที่สุดต่อของขวัญ, ถึงแม้เมื่อมันได้ถูกนำเอาออกไปสู่ที่อื่น, คือเรื่องของความกตัญญูรู้คุณ, และดังนั้นผมก็สามารถพยายามทำให้ได้ดีขึ้นกว่าเก่า และขอขอบคุณท่านพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านทรงมอบตัวเธอไว้กับผมในตอนแรก."

His daughter was a gift. When he realized that simple fact, everything changed. He could now begin healing from the tragedy of her loss by focusing instead on the wonder of her life. He started to see Laura Lou as a marvelous gift that he was fortunate enough to share for a time. He felt grateful. He found strength and healing. He knew he could get through the valley of loss.

ลูกสาวของเขาเป็นของขวัญอันล้ำค่าชิ้นหนึ่ง. เมื่อเขาตระหนักรู้ถึงข้อเท็จจริงง่ายๆ ในเรื่องนี้, ทุกสิ่งทุกอย่างได้แปรเปลี่ยนไป. ตอนนี้ เขาสามารถเริ่มสมานใจของเขาจากโศกนาฎกรรมต่อการสูญเสียลูกสาวของเขา ด้วยการเน้นความสนใจไปที่ความมหัศจรรย์ในชีวิตของเธอแทน. เขาเริ่มเห็นแล้วว่า ลอร์ร่า ลูนั้นเป็นของขวัญที่วิเศษยอดเยี่ยมซึ่งตัวเขาเองมีความโชคดีเพียงพอที่จะแบ่งปันช่วงเวลาของชีวิตให้ไว้ได้. เขามีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ. เขาได้พบความแข็งแกร่งและสมานใจได้. เขารู้ว่าเขาสามารถผ่านพ้นหุบเหวแห่งความสูญเสียนี้ได้.

We all experience loss -- loss of people, loss of jobs, loss of relationships, loss of independence, loss of esteem, loss of things. When what you held dear can be viewed as a gift, a wonder that you had it at all, the memory can eventually become one more of gratitude than tragedy. And you will find the healing you need.

พวกเราทุกคนมีประสบการณ์ในเรื่องการสูญเสีย --- สูญเสียบุคคลที่รู้จัก, สูญเสียอาชีพการงาน, สูญเสียความสัมพันธ์, สูญเสียความเป็นอิสระ, สูญเสียความนิยมชื่นชอบ, สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่าง. เมื่ออะไรก็ตามที่ตัวคุณยึดถืออยู่ด้วยความรักใคร่อยู่ ก็ควรสามารถมองเห็นได้ว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่าชิ้นหนึ่ง, เป็นความมหัศจรรย์พิศวงที่คุณได้มีมันอยู่โดยทั้งหมด, ในท้ายที่สุด ความทรงจำสามารถทำให้เริ่มมองเห็นในเรื่องของความสำนึกในบุญคุณอีกครั้งหนึ่งมากกว่าในเรื่องของโศกนาฎกรรม. และคุณก็สามารถพบกับการสมานใจอย่างที่คุณต้องการได้.

* Story from TRACKS OF A FELLOW STRUGGLER,

* เรื่องนี้นำมาจาก หนทางของเพื่อนผู้ต่อสู้ดิ้นรนในชีวิต,

by John Claypool

เขียนโดยนายจอห์น เคลย์พูล

(Insight Press Inc., 1995).

บริษัท อินไซท์ เพรส จำกัด, ปี ค.ศ. 1995


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 97
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 13 เม.ย. 2552  เวลา 07:07:23   IP :(70.238.178.4)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน,

เรื่องแปลที่ผมได้แปลทุกวันนี้ จะขอหยุดทำการชั่วคราว ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน (เวลาที่เมืองไทย) จะกลับมาแปลลงอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 ครับ

ขอ vacation ไว้แล้ว ก็จะใช้ได้เต็มที่สักหน่อยครับ

ขอขอบพระัคุณที่ติดตามมาตลอดครับ สวัสดี

ทบพร


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 98
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 14 เม.ย. 2552  เวลา 00:46:26   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Law of the Garbage Truck กฎของรถขนขยะ

How often do you let other people*s nonsense change your mood? Do you let a bad driver, rude waiter, curt boss, or an insensitive employee ruin your day? Unless you*re the Terminator, for an instant you*re probably set back on your heels. However, the mark of a successful person is how quickly she can get back her focus on what*s important.

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่คุณยอมให้เรื่องที่ไร้สาระของบุคคลผู้อื่นมาแปรเปลี่ยนอารมณ์ของคุณ? คุณยอมให้คนขับรถที่เลวทราม, บริกรผู้หยาบคาย, เจ้านายที่พูดห้วนๆ, หรือบุคคลที่ที่ทำงานซึ่งแสดงท่าทีอย่างไร้ความรู้สึกมาทำลายวันที่ดีของคุณอยู่เรื่อยหรือเปล่า? นอกจากว่าคุณจะเป็นแบบ "คนเหล็ก", โดยฉับพลันนั้น คุณก็อาจจะพบความประหลาดใจกับตนเองก็ได้. แต่อย่างไรก็ตาม, สัญญลักษณ์ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จคือ เป็นไปได้อย่างรวดเร็วแค่ไหนที่เธอจะสามารถกลับเข้ามาเพ่งความสนใจของเธอว่าสิ่งอะไรบ้างที่เป็นเรื่องสำคัญ.

Sixteen years ago I learned this lesson. I learned it in the back of a New York City taxi cab. Here*s what happened. I hopped in a taxi, and we took off for Grand Central Station. We were driving in the right lane when, all of a sudden, a black car jumped out of a parking space right in front of us. My taxi driver slammed on his brakes, skidded, and missed the other car*s back end by just inches!

เมื่อสิบหกปีก่อน ฉันได้รับบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้. ฉันเรียนรู้กับมันจากเบาะหลังของรถแท๊กซี่คันหนึ่งในเมืองนิวยอร์คซิตี้. นี่คือเรื่องที่ว่าอะไรได้เกิดขึ้น. ฉันกระโดดขึ้นไปบนแท๊กซี่คันหนึ่ง, และเราก็ออกเดินทางเพื่อไปที่สถานีรถไฟใหญ่กลางเมือง หรือ แกรนด์ เซนทรัล สเตชั่น. เราขับรถอยู่ในเลนฝั่งขวาเมื่อ, โดยฉับพลันนั้น, รถสีดำคันหนึ่งได้แล่นพรวดออกมาจากลานจอดรถข้างหน้าของเราพอดี. ผู้ขับรถแท๊กซี่ของฉันก็เหยียบเบรคของเขาจนตัวโก่ง, จนรถลื่นไถลออกไป, และเฉียดข้างหลังรถคันนั้นไปเพียงไม่กี่นิ้วแบบเส้นยาแดงผ่าแปด!

The driver of the other car, the guy who almost caused a big accident, whipped his head around and he started yelling bad words at us. My taxi driver just smiled and waved at the guy. And I mean, he was friendly. So, I said, "Why did you just do that? This guy almost ruined your car and sent us to the hospital!" And this is when my taxi driver told me what I now call, "The Law of the Garbage Truck."

คนขับรถของรถอีกคันหนึ่ง, เป็นผู้ชายซึ่งเกือบจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่หนัก, ก็สบัดหันศีรษะของเขาไปรอบๆ และเขาก็เริ่มด่าทอกับเราโดยใช้คำพูดที่หยาบคาย. ผู้ขับรถแท๊กซึ่ของฉันก็เพียงแต่ยิ้มและก็โบกมือให้กับผู้ชายคนนั้น. และฉันก็หมายถึงว่า, เขายังแสดงท่าทางความเป็นมิตรให้เสียด้วย. ดังนั้น, ฉันก็กล่าวขึ้นว่า, "ทำไมคุณถึงทำแบบนั้นล่ะ? คนๆ นี้เกือบจะทำให้รถของคุณพังและส่งให้เราทั้งสองต้องเข้าไปในโรงพยาบาลเชียวนะ! " และนี่ก็คือ เมื่อผู้ขับรถแท๊กซี่ของฉันได้บอกกับฉันถึงเรื่องที่ฉันจะเรียกในตอนนี้ว่า, "กฎของรถขนขยะ. "

Many people are like garbage trucks. They run around full of garbage, full of frustration, full of anger, and full of disappointment. As their garbage piles up, they need a place to dump it. And if you let them, they*ll dump it on you. When someone wants to dump on you, don*t take it personally. You just smile, wave, wish them well, and move on. You*ll be happy you did.

ผู้คนหลายคนก็เหมือนกับรถขนขยะ. พวกเขาก็วิ่งไปรอบๆ เต็มไปด้วยขยะ, เต็มไปด้วยความไม่พอใจ, เต็มไปด้วยความโกรธ, และเต็มไปด้วยความผิดหวังท้อแท้. เมื่อขยะของพวกเขาได้สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ , พวกเขาต้องหาสถานที่ที่จะโละมันทิ้ง. และถ้าคุณยอมพวกเขา, พวกเขาก็จะโละทิ้งมันไว้อยู่บนตัวคุณ. เมื่อบางคนเขาต้องการที่จะโละมันทิ้งไว้บนตัวของคุณ, ก็อย่าได้ไปรับมันเอามาเก็บไว้อย่างเป็นส่วนตัว. คุณเพียงแค่ยิ้ม, โบกมือให้, และปรารถนาว่าให้พวกเขาได้รับโชคอันดี, และก็เดินหน้าของเราต่อไป. คุณก็จะมีความสุขต่อการที่คุณได้กระทำแบบนั้นไว้เอง.

So this was it: The "Law of the Garbage Truck." I started thinking, how often do I let Garbage Trucks run right over me? And how often do I take their garbage and spread it to other people a work, at home, on the streets? It was that day I said, "I*m not going to do anymore." I began to see garbage trucks.

ดังนั้นนี่ก็คือเรื่องของ: "กฎของรถขนขยะ." ฉันเริ่มคิดดูว่า, มีกี่ครั้งกี่หนที่ฉันยอมให้รถขนขยะเหล่านี้ได้แล่นทับอยู่บนตัวฉัน? และกี่ครั้งกี่หนแล้วที่ฉันนำเอาขยะของเขาเหล่านั้นมาไว้กับตัวเองและก็แพร่กระจายมันออกไปให้กับคนอื่นๆ ที่ที่ทำงาน, ที่บ้าน, และบนท้องถนนด้วย? มันก็เป็นวันนั้นเองที่ฉันได้กล่าวขึ้นว่า, "ฉันจะไม่ทำมันอีกต่อไป." ฉันก็เริ่มเห็นรถขนขยะเหล่านี้แล้ว.

Like in the movie "The Sixth Sense," the little boy said, "I see Dead People." Well, now "I see Garbage Trucks." I see the load they*re carrying. I see them coming to drop it off. And like my Taxi Driver, I don*t make it a personal thing; I just smile, wave, wish them well, and move on .

เหมือนกับในภาพยนต์เรื่อง "สัมผัสสยอง, " เมื่อเด็กชายตัวน้อยได้กล่าวขึ้นว่า, "ฉันเห็นคนที่ตายไปแล้ว. " ดีแล้วละ, ตอนนี้ "ฉันก็ได้เห็นรถขนขยะแล้ว." ฉันได้เห็นสัมภาระอันหนักที่พวกเขาได้บรรทุกกันขึ้นมา. ฉันเห็นพวกเขากำลังออกมาเพื่อจะมาโยนมันทิ้งลง. และเหมือนกับผู้ขับรถแท๊กซี่ของฉัน, ฉันไม่นำเรื่องเหล่านี้เข้ามาเก็บเป็นเรื่องส่วนตัว; ฉันเพียงแต่ยิ้ม, โบกมือให้, และปรารถนาว่าให้พวกเขาได้โชคอันดี, และก็เดินหน้าของเราต่อไป.

One of my favorite football players of all time, Walter Payton, did this every day on the football field. He would jump up as quickly as he hit the ground after being tackled. He never dwelled on a hit. Payton was ready to make the next play his best.

นักกีฬาฟุตบอล (อเมริกัน) ที่ฉันชื่นชอบอยู่ตลอดกาลคนหนึ่งชื่อ, นายวอลเตอร์ เพย์ตั้น, ได้กระทำถึงเรื่องนี้อยู่ทุกๆ วันบนสนามฟุตบอล. เขาก็กระโดดขึ้นให้สูงขึ้นอย่างเร็วที่สุดเมื่อตัวเขาได้
ล้มลงไปชนกับพื้นหลังจากที่ถูกแย่งลูกฟุตบอล. เขาไม่เคยคำนึงถึงว่าได้ถูกกระแทกอย่างใดทั้งสิ้น. นายเพย์ตั้นก็จะเตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อให้การรับลูกฟุตบอลครั้งต่อไปเป็นการวิ่งอย่างที่ดีที่สุดของเขา.


Good leaders know they have to be ready for their next meeting. Good parents know that they have to welcome their children home from school with hugs and kisses. Leaders and parents know that they have to be fully present, and at their best for the people they care about. The bottom line is that successful people do not let Garbage Trucks take over their day. What about you? What would happen in your life, starting today, if you let more garbage trucks pass you by? Here*s my bet. You*ll be happier. Life*s too short to wake up in the morning with regrets, so.. Love the people who treat you right. Forget about the ones who don*t.

ผู้นำที่ดีควรจะรู้ว่าพวกเขาจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการประชุมคราวหน้า. พ่อแม่ผู้ปกครองที่ดีก็ควรรู้ว่าพวกเขาควรต้อนรับลูกๆ ของพวกเขาที่บ้าน เมื่อกลับมาจากโรงเรียนด้วยการกอดและจูบด้วยความรักใคร่. ผู้นำและผู้ปกครองทั้งหลายรู้ว่าพวกเขาต้องแสดงปรากฎตัวให้เห็นในขณะนี้อยู่อย่างเต็มที่, และต้องมีการกระทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุคคลที่พวกเขาให้ความชื่นชอบอยู่. เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะต้องไม่นำเอารถขนขยะนั้นมาควบคุมให้ยุ่งอยู่ในหัวสมองของพวกเขาทั้งวัน. แล้วสำหรับตัวคุณเองล่ะ? อะไรบ้างที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ, เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป, ถ้าคุณยอมให้รถขนขยะหลายๆ คันผ่านเข้ามาในชีวิตให้มากกว่านี้หรือ? ฉันขอพนันไว้เลยในที่นี้. คุณจะมีความสุขยิ่งขึ้นกว่าเก่า. ชีวิตมันแสนสั้นนักต่อการที่จะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความโศกเศร้าเสียดาย, ดังนั้น... จงให้ความรักกับบุคคลซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติต่อคุณด้วยอย่างดี. ลืมเรื่องเกี่ยวกับพวกที่ไม่ได้ปฎิบัติด้วยอย่างดีนั้นเสียเถิด.


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 99
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 15 เม.ย. 2552  เวลา 00:43:15   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

What is Happiness? ความสุขคืออะไร

Happiness is something you decide on ahead of time. ความสุขคือสื่งที่คุณได้ตัดสินใจมาก่อนหน้าแล้ว.

The 92-year-old, petite, well-poised and proud lady, who is fully dressed each morning by eight o*clock, with her hair fashionably coifed and makeup perfectly applied, even though she is legally blind, moved to a nursing home today.

หญิงชราซึ่งมีอายุ 92 ปี, เรือนร่างเล็กๆ บอบบาง, สงบเยือกเย็นและส่อให้เห็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างดี, ซึ่งเป็นผู้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเป็นอย่างดี ภายในเวลาแปดโมงเช้าของทุกๆ วัน, ด้วยหมวกที่สวมอยู่บนศีรษะตามสมัยนิยมและเครื่องสำอางค์ต่างๆ ที่แต่งลงบนใบหน้าอย่างไร้มลทิน, แม้ว่าเธอจะตาบอดอย่างที่ว่าไว้ตามกฎหมาย, ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านพักคนชราในวันนี้.

Her husband of 70 years recently passed away, making the move necessary.

สามีของเธอซึ่งอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาเป็นเวลา 70 ปี ได้ถึงแก่กรรมในเวลาที่ผ่านเมื่อไม่นานนี้, ทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องย้ายที่อยู่.

After many hours of waiting patiently in the lobby of the nursing home, she smiled sweetly when told her room was ready.

หลังจากการรอคอยอย่างอดทนมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงในห้องรับรองของบ้านพักคนชรา, เธอก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานเมื่อได้ถูกแจ้งให้ทราบว่าห้องของเธอนั้น ได้จัดข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว.

As she maneuvered her walker to the elevator, I provided a visual description of her tiny room, including the eyelet sheets that had been hung on her window. "I love it," she stated with the enthusiasm of an eight-year-old having just been presented with a new puppy.

เมื่อเธอได้เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ โดยใช้ที่หัดเดินของเธอเพื่อขึ้นลิฟท์ไปสู่ชั้นบน, ฉันก็ได้พรรณาลักษณะห้องแคบๆ ของเธอ, รวมไปถึงแผ่นป้ายที่ร้อยด้วยเชือก ซึ่งแขวนอยู่บนหน้าต่างของเธอ. " ฉันชอบมันมาก, " เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเหมือนกับเด็กอายุแปดขวบซึ่งเพิ่งส่งเอาลูกหมาน้อยตัวใหม่มาให้.

"Mrs. Jones, you haven*t seen the room .... just wait."

"คุณโจนส์, คุณยังไม่ได้เห็นห้องเลยนะ... รอสักครู่นะ."

"That doesn*t have anything to do with it," she replied. "Happiness is something you decide on ahead of time. Whether I like my room or not doesn*t depend on how the furniture is arranged, it*s how I arrange my mind. I already decided to love it. It*s a decision I make every morning when I wake up. I have a choice; I can spend the day in bed recounting the difficulty I have with the parts of my body that no longer work, or get out of bed and be thankful for the ones that do. Each day is a gift, and as long as my eyes open I*ll focus on the new day and all the happy memories I*ve stored away, just for this time in my life."

"ไม่เห็นจะต้องมีอะไรไปทำกับมันเลย, " เธอตอบให้ทราบ. "ความสุขคือสื่งที่คุณได้ตัดสินใจมาก่อนหน้าแล้ว. ไม่ว่าฉันจะชอบห้องของฉันหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องจัดเฟอร์นิเจอร์อย่างไร, มันอยู่ที่ว่าฉันจะจัดเรียบเรียงจิตใจของฉันอย่างไรต่างหาก. ฉันได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะชอบมัน. มันเป็นการตัดสินใจที่ฉันได้กระทำทุกๆ ตอนเช้าเมื่อตอนที่ฉันตื่นนอน. ฉันมีทางเลือกอยู่นะ; ว่าฉันสามารถใช้เวลาทั้งวันอยู่บนเตียง ทบทวนถึงสิ่งที่ยากแสนเข็ญที่ฉันมีอยู่กับอวัยวะหลายส่วนบนร่างกายฉันซึ่งไม่ทำงานเสียแล้ว, หรือว่าจะลุกขึ้นมาจากเตียงและให้ความรู้สึกขอบคุณต่ออวัยวะที่ยังใช้การได้อยู่. แต่ละวันที่ผ่านไปคือของขวัญอันล้ำค่า, และตราบนานเท่าที่สายตาฉันยังเปิดให้เห็นอยู่ ฉันก็จะเน้นความสนใจไปยังวันใหม่ และความทรงจำอันแสนสุขที่ฉันได้เก็บไว้ทั้งหมด, เพียงเพื่อสำหรับเวลานี้ในชีวิตของฉัน."

She went on to explain, "Old age is like a bank account, you withdraw from what you*ve put in. So, my advice to you would be to deposit a lot of happiness in the bank account of memories Thank you for your part in filling my Memory bank. I am still depositing."

เธอก็ยังอธิบายต่อไปว่า, "การแก่ตัวลงนั้นมันก็เปรียบเหมือนบัญชีเงินฝากในธนาคาร, คุณถอนออกมาจากจำนวนที่คุณได้ฝากไว้. ดังนั้น, คำแนะนำของฉันสำหรับคุณก็คือ ควรจะฝากความสุขเข้าไปในบัญชีธนาคารแห่งความทรงจำไว้ให้มากๆ. ขอบคุณที่คุณได้ช่วยเติมส่วนของคุณให้เต็มในธนาคารแห่งความทรงจำของฉัน. ฉันก็กำลังฝากเข้าไปอยู่อีกนะ."

And with a smile, she said:

และด้วยรอยยิ้ม, เธอได้กล่าวขึ้นว่า:

"Remember the five simple rules to be happy:

"จงจำถึงกฎง่ายๆ ห้าข้อไว้ เพื่อจะทำให้เกิดความสุขได้:

1. Free your heart from hatred.

1.ปล่อยหัวใจของคุณให้เป็นอิสระ ออกไปจากความจงเกลียดจงชัง.

2. Free your mind from worries.

2. ปล่อยจิตใจของคุณให้เป็นอิสระ ออกไปจากความห่วงวิตกกังวล.

3. Live simply.

3. ใช้ชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ.

4. Give more.

4. ให้ทานทำบุญมากขึ้น.

5. Expect less."

5. คาดหวังให้น้อยลง."


 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 100
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 16 เม.ย. 2552  เวลา 01:02:14   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
คลิ๊กที่ภาพ

The Real Meaning of Peace ความหมายอันแท้จริงของคำว่าความสงบสุข

There once was a king who offered a prize to the artist who would paint the best picture of peace. Many artists tried. The king looked at all the pictures. But there were only two he really liked, and he had to choose between them.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งเสนอรางวัลให้กับศิลปินผู้สามารถวาดภาพที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องความสงบสุขได้. ศิลปินหลายคนได้พยายามวาดภาพอย่างสุดฝีมือ. กษัตริย์องค์นั้นก็ได้ทรงตรวจดูผลงานภาพเขียนทั้งหมด. แต่มีอยู่เพียงสองรูปเท่านั้นที่เขาได้ชื่นชอบอยู่อย่างแท้จริง, และเขาต้องเลือกภาพหนึ่งจากสองภาพนั้น.

One picture was of a calm lake. The lake was a perfect mirror for peaceful towering mountains all around it. Overhead was a blue sky with fluffy white clouds. All who saw this picture thought that it was a perfect picture of peace.

ภาพเขียนรูปหนึ่งนั้นเป็นภาพของทะเลสาบซึ่งมีความสงบนิ่ง. ทะเลสาบนั้นเป็นเหมือนกระจกเงาที่สมบูรณ์แบบสำหรับขุนเขาที่สงบเงียบและสูงตระหง่านฟ้าทั้งหมดซึ่งอยู่รอบๆ ทะเลสาบนั้น. เบื้องบนขุนเขานั้นก็เป็นท้องฟ้าสีน้ำเงินซึ่งปกคลุมอยู่ด้วยเมฆปุกปุยสีขาว. ทุกๆ คนที่ได้เห็นภาพวาดชิ้นนี้ก็คิดว่ามันเป็นภาพที่สมบูรณ์เหลือเกินในเรื่องของความสงบสุข.

The other picture had mountains, too. But these were rugged and bare. Above was an angry sky, from which rain fell and in which lightning played. Down the side of the mountain tumbled a foaming waterfall. This did not look peaceful at all.

ภาพเขียนอีกรูปหนึ่งก็มีภูเขาอยู่หลายลูก, เหมือนกัน. แต่ทว่าภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาที่ขรุขระตะปุ่มตะป่ำและเตียนโล่ง. เหนือภูเขานั้นก็เป็นท้องฟ้าที่ดูเหมือนกับเต็มไปด้วยความโกรธ, ซึ่งจากรูปนั้น ก็เห็นฝนที่ตกหนักและมีฟ้าคะนองส่งแสงอยู่เนืองๆ. ลงมาเคียงข้างภูเขาเหล่านั้นก็เป็นสายน้ำตกซึ่งมีสายน้ำไหลเชี่ยวจนน้ำเป็นฟอง. รูปวาดนี้ไม่ได้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของความสงบสุขเลยสักแต่นิดเดียว.

But when the king looked closely, he saw behind the waterfall a tiny bush growing in a crack in the rock. In the bush a mother bird had built her nest. There, in the midst of the rush of angry water, sat the mother bird on her nest - in perfect peace.

แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นได้ทรงพิจารณามองรูปวาดนี้อย่างโดยใกล้ชิด, ก็ทรงเห็นว่า ข้างหลังของน้ำตกนี้มีพุ่มไม้เล็กๆ ที่เติบโตขึ้นมาแทรกในซอกหินที่แตกอยู่. ในพุ่มไม้เล็กๆ นั้น แม่ของนกน้อยตัวหนึ่งได้ทำรังของเธอไว้อยู่ ณ ที่นั้น, ในท่ามกลางสายน้ำที่ไหลเชี่ยวอย่างรุนแรง, แม่นกตัวน้อยนี้ก็ได้นั่งหลับตาลงอยู่ในรังของเธอ – ด้วยความสงบสุขอย่างแท้จริง.

Which picture do you think won the prize? The king chose the second picture. Do you know why?

ภาพเขียนชิ้นใดที่คุณคิดว่าได้รับรางวัลเล่า? กษัตริย์ได้ทรงเลือกภาพเขียนชิ้นที่สอง. คุณรู้หรือเปล่าว่าเป็นเพราะเหตุผลใด?

"Because," explained the king, "peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace."

"เพราะว่า, " กษัตริย์ได้ทรงอธิบาย, "ความสงบสุขนั้นไม่ได้มีความหมายว่าจะต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งปราศจากเสียงรบกวน, อุปสรรค, หรืองานที่หนัก. ความสงบสุขนั้นหมายความว่าอาจจะอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้นทั้งหมดก็ได้ และถึงกระนั้นก็ตาม ในหัวใจของคุณก็ยังมีความสงบนิ่งอยู่. นั่นแหละคือความหมายอันแท้จริงของความสงบสุข."

***********************

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 101
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   Tamrak
 Posted : 16 เม.ย. 2552  เวลา 01:07:17   IP :(65.197.19.244)

  ศิษย์น้อยฝึกวิชา
 

 Sex :
 Post : 159
 สมาชิกลำดับที่ : 64
[Color:red]สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ติดตามอ่านอยู่ทุกท่าน,

ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2552 ผมขอพักการแปลชั่วคราว เพราะว่ามี vacation ที่จะออกไปหลายแห่งครับ

ขอบคุณที่ติดตามผลงานที่ผ่านมา วันที่ 5 พฤษภาคม 2552 จะดำเนินการแปลเรื่องดลบันดาลใจให้อ่านต่อไป

ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ให้กำลังใจเสมอมา สวัสดีครับ


ทบพร

 

14971, ปวช 2519; 4/1; 5/5; 6/4 เลขานุการ (เช้า) - ตอนนี้อยู่ที่ St. Louis, Missouri, USA, ราวๆ หนึ่งหมื่นกิโลเมตร จากถิ่นสีฟ้าขาวของชาววังสน
 Comment : 102
ชื่อสมาชิก Tamrak Mail to Tamrak
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 30 ส.ค. 2552  เวลา 21:16:21   IP :(125.25.145.32)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
คลิ๊กที่ภาพ


ขอบคุณที่ติดตามผลงานที่ผ่านมา วันที่ 5 พฤษภาคม 2552 จะดำเนินการแปลเรื่อง..ดลบันดาลใจให้อ่านต่อไป



หลายเดือนแล้วที่พวกเราไม่ได้อ่านสิ่งดี ๆ มีประโยชน์ของคุณทบพร... จึงขอหยิบยกเรื่องเก่า มาเล่าใหม่ อีกครั้งมีประโยชน์ดีนะ...สหายLove


วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนต่างแดน คุณทบพร..นิดหน่อย เค้าจะรีบออกไปวัดเพื่อทำบุญ....น่ารักจังเพื่อนเรา

แล้วจะรู้ไหม? ..เพื่อนหลาย ๆ คนคิดถึงอยู่.....

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 103
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   purinchan
 Posted : 30 ส.ค. 2552  เวลา 21:33:42   IP :(125.24.171.137)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3390
 สมาชิกลำดับที่ : 38
คุณทบพร...ปุ๊ก้อรออ่านอยู่เหมือนกันค่ะ

 

^p^ นกน้อย ในไร่ส้ม ^p^ ปุ๊ พ.พ.๒๕๑๙
 Comment : 104
ชื่อสมาชิก purinchan Mail to purinchan
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 04 ก.ย. 2552  เวลา 00:12:14   IP :(125.25.139.128)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
เมือไร หนอ....รอได้นะ...ท่านพบพร

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 105
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

1 2

ท่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ เมื่อ Login เข้าสู่ระบบสมาชิก

 © Copyright 2008 arpakorn.com All Right Reserved. Contact >> admin@arpakorn.com 
can't connect to server