
โคตรเซียน
Sex :  Post : 5845 สมาชิกลำดับที่ : 332 |
|
กินอาหารได้ยาบำรุงร่างกายได้อย่างไร
ตามประวัติอันยาวนานกว่า 3,000 ปีของอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ชาวจีนเชื่อว่า ยารักษาโรคและอาหารมีที่มาจากแหล่งเดียว ไม่มีเส้นแบ่งขอบเขตที่แน่นอนระหว่างยากับอาหาร จากหนังสืออาหารเครื่องยาจีน ของ สำนักพิมพ์รีดเดอร์ ไดเจสท์ กล่าวถึงคำพูดของ นายแพทย์ซุนซือเหมี่ยวว่า อาหารสามารถขจัดปัจจัยภายนอกช่วยปรับสภาพอวัยวะภายใน ทำให้จิตใจสงบ มีอารมณ์ดีและช่วยบำรุงพลังเลือด ผู้ที่สามารถใช้อาหารบำบัดโรคและบรรเทาอาการต่างๆ ถือว่าเป็นผู้มีความรู้อันประเสริฐ ดังนั้นในฐานะที่เป็นแพทย์ จึงต้องเข้าใจสมุฏฐานของโรค แล้วรักษาด้วยอาหาร ถ้าไม่ได้ผลจึงรักษาด้วยยา
ซึ่งการใช้อาหารบำบัดโรคหมายถึง การอาศัยสารอาหารชนิดพิเศษที่มีอยู่ในอาหารมาประกอบกับวิธีการปรุงที่เหมาะสม เพื่อบำบัดโรค ซึ่งมีหลักการหลายประการ เช่น
ทฤษฏีหยิน-หยาง
คุณมานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย เป็นผู้อธิบายให้เราฟังดังนี้ ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องดำรงหยิน-หยางให้คงไว้ในสภาวะสมดุล ร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ โครงกระดูก เส้นผม เล็บ ซึ่งเป็นหยิน ส่วนหยางคือพลังงานของชีวิต ภายใต้สภาพปกติหยินหยางจะมีสภาวะสมดุลในลักษณะที่ตรงกันข้าม ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังในร่างกายไปทั่วทุกจุด ถ้าปริมาณหรือลักษณะของตัวใดตัวหนึ่งเหลื่อมล้ำเกินไป ร่างกายจะผิดปกติ เช่นเมื่อใดที่หยางในร่างกายน้อย ทำให้การหมุนเวียนเลือดไม่ดี หน้าซีด ตัวเย็น แต่ถ้าหยางมากเกินไป จะทำให้ร้อนใน ผิวพรรณแห้ง อวัยวะภายในเป็นผังพืด หยิน หยาง ไม่สมดุลจุดไหน อวัยวะนั้นจะเกิดการอุดตันและเกิดโรคต่างๆ ตามมา เมื่อพิจารณาจากอาการของโรคแล้ว เราสามารถจำแนกลักษณะโรคหยินและหยางได้ดังนี้
โรคหยาง เป็นโรคชนิดเฉียบพลัน มีลักษณะเดินหน้าและเพิ่มขึ้น มักปรากฏเป็นอาการไข้สูง จิตใจกระสับกระส่าย กระหายน้ำ ชอบกินของเย็น ท้องผูก ขัดเบา เป็นต้น
โรคหยิน เป็นโรคชนิดเรื้อรัง มีลักษณะถอยหลังและลดลง มักปรากฏเป็นอาการเย็นง่าย หนาวง่าย เซื่องซึม ไม่มีเรี่ยวแรง กินอาหารน้อยลง ท้องเดิน อุจจาระเหลว มือเท้าเย็น เป็นต้น
อาจารย์มานพยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า สำหรับอาหารและเครื่องยาจีนแต่ละชนิดมีฤทธิ์เป็นหยินหยางอยู่แล้ว การกินให้ถูกหลักจึงสามารถช่วยปรับสมดุลของร่างกายได้ นอกจากนี้แพทย์แผนโบราณยังมีความรู้เรื่องอาหารว่ามีสรรพคุณและบำรุงร่างกายได้โดยการแบ่งย่อย ประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่ และรสทั้งห้า รวมถึงปฎิกริยาขึ้น ลง ลอย จมของร่างกาย
การจำแนกตามธาตุอาหาร แพทย์จีนจำแนกธาตุอาหารหลากหลาย มีสรรพคุณแตกต่างกันดังนี้
อาหารที่มีธาตุเย็นและเย็นจัด ช่วยขับร้อน ถอนพิษ เช่น ข้าวเดือย แห้ว บวบ มะระ
อาหารที่มีธาตุร้อนและอุ่น ช่วยขจัดเย็น บำรุงส่วนที่พร่องของร่างกาย เช่น ขิงสด น้ำตาล ผักชี
อาหารที่มีธาตุเป็นกลาง ช่วยบำรุงม้าม ทำให้เจริญอาหาร เช่น ข้าวเหนียว ถั่วเหลือง น้ำมันงา
และแบ่งแยกเป็นรสทั้งห้า มีสรรพคุณแตกต่างกันและมีการแยกเป็นหยิน-หยาง
รสทั้งห้าของอาหาร
รสเผ็ด เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยระบาย ช่วยให้พลังเดิน ทำให้โลหิตไหลเวียน แก้ไข้ ปวดกระเพาะ ปวดรอบเดือน อาหารรสนี้ได้แก่ ขิง กระเทียม ฮวยเจีย กุ้ยพวย กานพลู
รสหวาน (รวมรสจืด) เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยปรับโจงชี่ให้สมดุล มักใช้บำบัดม้ามและกระเพาะอ่อนแอ อาหารไม่ย่อย สตรีร่างกายอ่อนแอหลังคลอด ปวดตามกระดูกและเอว อาหารรสหวานได้แก่ พุทราจีน ลำไย
รสเปรี้ยว(รวมรสฝาด) เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยหยุดการหลั่งของเหลวและเพิ่มน้ำในร่างกาย มักใช้บำบัดอาการเหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ ปัสสาวะบ่อย ม้ามพร่อง สตรีตกขาว ร้อนใน อาหารรสเปรี้ยวได้แก่ ลูกเคียมซิก เม็ดบัว ลูกบ๊วย
รสขม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยขับร้อน สลายชื้น ปรับสภาวะพลังย้อนกลับ มักใช้บำบัดอาการหวัดแดด เป็นไข้ ตามัว ดีซ่าน อาหารรสขมได้แก่ เก๋ากี้ ผักขม มะระ
รสเค็ม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยระบาย และขับของเหลวในร่างกาย บำรุงไต และเลือด มักใช้บำบัดอาการท้องผูก ฝี ตัวบวม ไตพร่อง ขาดเลือด อาหารรสเค็มนี้ได้แก่ สาหร่าย ปลิงทะเล
เหล่านี้คือความรู้ตามหลักโภชนาการของชาวจีน ซึ่งสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้.
|
|