ศูนย์รวมพบปะสังสรรค์ ชาววังสน ทุกรุ่น ศูนย์รวมพบปะสังสรรค์ ชาววังสน ทุกรุ่น
:: ศูนย์กลางพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความรู้, ถาม-ตอบ, แนะนำ, ประกาศ, พวกเราชาววังสน ::

:: ท่านที่มาเยี่ยมชมเป็นครั้งแรก กรุณาสมัครสมาชิกก่อนครับ ::

 


Home  กลับหน้าหลัก  สมัครสมาชิก  ตั้งกระทู้ใหม่  แก้ไขข้อมูลสมาชิก  ลืมรหัสผ่าน  พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์



ขอเชิญร่วมตอบกระทู้ครับ



  ขอเชิญเพื่อนๆ พ.พ. 2519 มาคุยกันที่นี่ค่ะ (Volume28)
   purinchan
 Posted : 28 เม.ย. 2552  เวลา 09:52:40

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3390
 สมาชิกลำดับที่ : 38
คลิ๊กที่ภาพ

เพื่อน....ทำให้ใจสดชื่น

เพื่อน.....ทำให้ใจเบิกบาน

เพื่อน.....เป็นความสุขอีกครึ่งหนึ่งที่มาเติมใจให้เต็ม


 

^p^ นกน้อย ในไร่ส้ม ^p^ ปุ๊ พ.พ.๒๕๑๙
  IP : (119.31.57.14)
ชื่อสมาชิก purinchan Mail to purinchan
แสดงความคิดเห็น

 PK
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:31:43   IP :(117.47.28.31)
วาสนาของชายและหญิง ที่ดี

ชายที่วาสนาที่ดีนั้น ต้องมีอยู่ 3ประการคือ

1.ชายต้องมีหน้าผากที่กว้าง หมายถึง การเป็นผู้มีสติปัญญาดี สามารถแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี มีผู้ที่อุปภัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือด้านการงานให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

2.ชายที่ปากกว้างสี่ทิศ หมายถึง การที่ต้องมีความหนักแน่น เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสถานการณ์ได้ดี ไปอยู่ที่ใดก็ไม่ขาดผู้สนับสนุน

3.ชายที่กินที่เสียง เสียงแสดงศักยภาพให้รู้ว่าเจ้าตัวเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมากน้อยเพียงใด น้ำเสียงที่ดีของผู้ชาย ต้นเสียงต้องทุ้ม มีน้ำเสียงใสกังวานประดุจระฆังเนื้อดี หมายถึง เจ้าตัวเป็นผู้มีบุญวาสนาในตำแหน่งอาชีพ การงานเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ฟังแต่เสียงแม้ไม่เห็นหน้าก็ทำให้ผู้ฟังหลงใหลปลาบปลื้ม หรือเกรงใจยอมสยบให้

หญิงที่วาสนาดีนั้น ต้องมีอยู่ 3 ประการคือ

1.หญิงกินที่ผิว คือหญิงที่ต้องมีผิวดี จะเป็นผิวดำ ผิวเหลือง หรือจะเป็นผิวสีใดๆก็ตาม ขอให้ผิวนั้นมีประกายสดใสไม่แห้งกร้าน แลดูหมองคล้ำเป็นรอยช้ำเป็นจ้ำ แต่ควรมีเลือดฝาดอมชมพูนั่นคือความเจริญรุ่งเรือง มีโชคทางการเงิน

2.หญิงกินที่คิ้ว หญิงควรมีรูปคิ้วโค้งสวยได้รูปรับกับรูปตา หัวคิ้วเริ่มเสมอหัวตา หางคิ้วยาวเสมอหางตา หรือยาวเลยไปเล็กน้อย เส้นขนคิ้วเรียงกันเป็นแนวนอนอย่างมีระเบียบ หมายถึง เจ้าตัวเป็นกุลสตรีที่มีความอ่อนหวาน นุ่มนวล ไม่ขาดผู้ให้การสนับสนุน มักมีผู้ให้การช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่เสมอ ได้คู่ครองที่ดี คู่ครองเกรงใจ
แต่หากหญิงใดไม่มีขนคิ้วหรือขนคิ้วแตกกระจาย หมายถึง เจ้าตัวเป็นคนอาภัพ ขาดผู้ให้การช่วยเหลือสนับสนุน ต้องก่อร่างสร้างตัวหรือพึ่งตนเองได้เท่านั้น

3.หญิงกินที่คาง คางคือความสุขสบายเมื่อชีวิตบั้นปลาย หากหญิงมีคางกลมมนอิ่มเต็ม หมายถึง เจ้าตัวเพียบพร้อมด้วยบริวารลูกหลาน หรือสามีเอาใจใส่ดูแลเมื่อถึงบั้นปลายชีวิตมีฐานะมั่นคง หากหญิงใดมีคางแหลมบางหรือคางสั้น หมายถึง เจ้าตัวมีวิถีชีวิตที่ลำบาก เงียบเหงาไร้ที่พึ่งเมื่อยามบั้นปลายชีวิต....


 
 Comment : 204
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:33:21   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
ท่าน Pk ทุกภาพดูจะมีความหมาย ...ขอใช้เวลาแปลภาพก่อนนะคะ

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 205
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:42:22   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 206
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:47:44   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 207
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:49:53   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 208
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:55:04   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 209
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 06 พ.ค. 2552  เวลา 23:56:32   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 210
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:01:22   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 211
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:03:09   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
Comment : 208
ภาพนี้น่าจะนำเข้าเฝ้าพระอินทร์ ได้แล้ว.........ง่วงจัง..สาวต๋อย ปล่อยหวัด..หมู.. เกือบจะเป็น แต่ยังไม่เป็น ...ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่านPk ...


 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 212
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:04:51   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 213
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:14:59   IP :(117.47.28.31)
OK

Good Night!
Take Care!

 
 Comment : 214
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:15:48   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
ปล่อยให้เป็นศิลปินเดี่ยวไปก่อนนะท่านPk เช้า....เราจะเข้ายึดสมรภูมิต่อเงียบเหงาจัง เพื่อนหายหมด ..อดคุยเลย... ท่านทบพร คงจะยุ่งนะช่วงนี้ คิดถึงหน่อยนะจ๊ะ

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 215
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:17:06   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 216
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:21:32   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 217
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:22:57   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 218
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:24:09   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 219
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:28:56   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 220
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:29:15   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ



 
 Comment : 221
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:35:01   IP :(117.47.28.31)
“เมือง”แห่งความเครียด

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน จิตแพทย์และโฆษกประจำกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่แวดล้อมไปด้วยตึกรามแออัด รถยนต์บนถนนจอแจมีโอกาสป่วยเป็นโรคทางจิตเวชมากกว่าคนที่มีบ้านอยู่ท่ามกลางเรือกสวนไร่นาในชนบท เพราะรูปแบบชีวิตทำให้มีความเครียดและวิตกกังวลมากกว่า ทั้งความขัดแย้งภายในตัวเอง รวมไปถึงเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเงิน ข้าวของ และทรัพย์สินต่างๆ

โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพจิตของชาวเมือง

• ปัญหาทางชีวภาพ หรือ กายภาพของแต่ละคน (Bio) แรกเริ่มจะมีอาการเหมือนคนปกติทั่วไป และสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ตามปกติ จนกระทั่งมีอายุระหว่าง 15-25 ปี มีความผิดปกติในสมองเนื่องจากมีสารเคมีซีโรโทนิน นอร์เอพิเนฟรีน และแกมมาแอมิโนบิวทิริก แอซิดต่ำกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอนขึ้นมาทันที จนไม่สามารถเรียน คุย ทำงานร่วมกับคนอื่นๆได้เหมือนเดิม

• ปัญหาเรื่องจิตใจของแต่ละคน (Psycho) ในกรณีนี้เกิดมาสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ถูกอบรมเลี้ยงดูให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เช่น ห้ามสบตาคน ห้ามเชื่อใครนอกจากพ่อแม่ หรือถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรุนแรง เช่น ถูกดุด่า ตำหนิ ถูกจับผิด หรือถูกทำร้ายมาตลอด จนเกิดความคิดฝังใจว่าตัวเองทำอะไรก็ผิดหมด จนทำให้เกิดลักษณะของโรคหลงผิด หวาดระแวง วิตกกังวลเกินเหตุ หรือเป็นโรคซึมเศร้า

• ปัญหาเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social) อาจเติบโตและได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาแบบปกติ สารเคมีในสมองปกติ จิตใจปกติ แต่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ตรงกันข้ามกับที่เขาเคยเจอ และแย่มากๆ เช่น คนอารมณ์ดีมากๆ แต่ต้องอยู่ในสังคมที่แข่งขันสูง ตกงาน หรือเกิดทุพภิกขภัยแก่บ้านที่อยู่อาศัยของตน ก็ทำให้สุขภาพจิตเสีย จนลุกลามไปเป็นโรคทางจิตเวชได้

นายแพทย์ทวีศิลป์ยังบอกอีกว่า "สถานการณ์สุขภาพจิตของคนเมืองตอนนี้มีแนวโน้มแย่ลง เพราะชีวิตที่ต้องแข่งขันในทุกๆด้าน โดยเฉพาะถ้าเราหลงในวัตถุที่กลายเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะทางสังคมเช่น บ้าน รถ มือถือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งก่อให้เกิดความต้องการ ความคาดหวัง และต้องการที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย คือได้เป็นเจ้าของของเหล่านั้น ซึ่งล้วนต้องใช้พลังในการบีบบังคับตัวเองสูงมาก ถ้าทำได้ก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเครียด และเกิดความขัดแย้งภายในใจตัวเอง มีปัญหาทางด้านจิตใจ เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นก็อาจเกิดการขัดแย้งกับคนอื่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง จนกระทั่งลุกลามทำให้เกิดการแตกแยกภายในสังคม"

4 โรคทางจิตเวชยอดฮิตคนเมือง

จากการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตระดับประเทศในปี 2546 ในประชากรกลุ่มตัวอย่าง (อายุระหว่าง 15-59 ปี) ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทยเป็นโรคทางจิตเวชประมาณร้อยละ 20 โดยคนเหล่านี้กำลังเผชิญหน้ากับโรคทางจิตเวชหลักๆหลายโรค (สำรวจในประชากรตัวอย่างทั่วประเทศ 11,685 คน พบว่าได้รับการวินิจฉัยว่าป่วย 2,169 คน) โรคเหล่านั้นได้แก่

• ซึมเศร้า - สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าคือปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ตกงาน ปิดกิจการ ล้มละลาย รวมทั้งการถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพัง เช่น คนชราถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว
ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : ผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้า ร้องไห้ง่าย จิตใจหดหู่ รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่มีแรง อยากทำร้ายตัวเอง และรู้สึกอยากตาย

• วิตกกังวล - เกิดได้ทั้งปัจจัยภายใน เช่น ขาดความมั่นคงในจิตใจ จิตใจอ่อนแอ อ่อนไหวง่าย ต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ และปัจจัยภายนอกที่พบได้คือ ใกล้สอบแต่ดูหนังสือไม่ทัน คับข้องใจเรื่องธุรกิจที่ไม่ราบรื่น ตกงาน หรือต้องเผชิญหน้ากับประสบการณ์แปลกใหม่ เช่น ย้ายโรงเรียนใหม่ เริ่มทำงานครั้งแรก แต่งงานใหม่ คลอดลูกคนแรก เป็นต้น
ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเกือบทุกวัน เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ไม่สามารถควบคุมความวิตกกังวลของตัวเองได้ มีอาการต่อไปนี้ไม่น้อยกว่า 3 ใน 6 อย่างได้แก่ กระสับกระส่าย อ่อนเพลียง่าย สมาธิไม่ดี หงุดหงิดง่าย ปวดกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ ของร่างกาย และนอนไม่หลับ ก่อผลเสียต่อการทำงานและเข้าสังคม

• โรคจิตเภท - เป็นความผิดปกติทางจิตใจ ผู้ป่วยจะไม่คิดว่าตัวเองป่วย ไม่ยอมรับการรักษา ก่อให้เกิดความผิดปกติทางบุคลิกภาพ มีความคิดอ่านและประสาทรับรู้ไม่อยู่ในความเป็นจริง
ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : มีอาการหลงผิดต่างๆ เกิดประสาทหลอนทางหูหรือตา และยังมีพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เช่น นิ่งเฉย พูดมาก พูดไม่หยุด วุ่นวาย หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมา การพูดจาบางครั้งได้เรื่องได้ราว บางครั้งก็ไม่มีใครเข้าใจความหมาย ซักถามก็ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งมีอาการตกใจกลัวว่ามีเสียงคนขู่จะฆ่า

• โรคย้ำคิดย้ำทำ - มักพบในคนที่มีภาวะเศรษฐกิจและสังคมระดับกลางและสูง มีเชาว์ปัญญาดี มีการศึกษาดี เป็นคนที่ชอบคิดชอบทำงาน และรับผิดชอบงานที่ทำ เกิดจากสาเหตุทางจิตใจ และความผิดปกติของสารเคมีในสมองชื่อซีโรโทนินต่ำกว่าปกติ ทำให้เกิดการย้ำคิดย้ำทำ และมีอารมณ์เศร้าร่วมด้วย
ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : มีความวิตกกังวลในความผิด ความไม่ดีของตนเองในอดีต ทนถูกตำหนิไม่ได้ นอกจากนี้ในบางรายยังเป็นลักษณะย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับเรื่องของความสะอาด จะล้างมือ อาบน้ำวันละหลายๆครั้ง ครั้งละนานๆ
ดูแลตัวเองก่อนป่วย

• กิจกรรมทางเลือก - เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่เรียกว่า "สู้หรือหนี" ซึ่งเป็นสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบภัยคุกคามอย่างทันควันนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันที่ไม่ยอมรับวิธีแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังเข้า "สู้" หรือ "หนี" คนยุคนี้จึงต้องทนฝืนรับความเครียด แต่ความเป็นจริงแล้วเราควรปลดปล่อยมันออกไป โดยเร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าเครียด เปลี่ยนมาทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เดินเล่น รำกระบอง ทำสวน อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ เต้นรำ ความเพลิดเพลินที่ได้รับจะช่วยให้ผ่อนคลาย

• ก้าวออกไปพูดคุยกับใครสักคน - การเกื้อกูลทางสังคมช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันได้ จากการศึกษาของนักเรียนแพทย์ในช่วงสอบไล่ พบว่าเซลล์ชนิดหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกันของนักเรียนเหล่านี้ไม่ทำงาน แต่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยดี ดังนั้นลองติดต่อกับเพื่อนเก่าหรือญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าในอดีต หรือแปรงานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ สะสมสแตมป์ ให้เป็นโอกาสที่จะได้คบเพื่อนที่มีความสนใจร่วมกัน

• ลดความคาดหวัง - ทำใจให้ได้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ความเครียดมักจะถามหาคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกๆสิ่ง แม้ว่าจะทำสิ่งต่างๆได้ดีเกือบ 99 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เขาจดจ่อและกระวนกระวายใจ จนหาความสุขไม่ได้มักจะเป็นอีก 1 เปอร์เซ็นต์ที่ทำไม่ได้มากกว่า พยายามมองโลกในมุมกลับเสียบ้าง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด บางทีเมื่อรู้สึกสบายๆที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ความกดดันต่างๆก็จะหายไป และพร้อมเสมอสำหรับความท้าทายใหม่ในชีวิต

• ทำงานด้วยหัวใจ - กุญแจสู่ความสุขของคนเราคือ มีความรักในงานที่ทำอยู่ทุกวัน หลายคนไม่เคยหยุดถามตัวเองว่าเหตุใดจึงทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ และชอบงานที่กำลังทำหรือเปล่า จึงควรหาคำตอบให้ตัวเองและเลือกทำงานที่ตนชอบและถนัด หากยังไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ ก็ควรมองหาข้อดีของงานที่ทำให้เรามีความสุข

• กินดีมีประโยชน์ - ในยามที่เครียด ร่างกายจะใช้สารอาหารสำคัญๆ บางอย่างหมดไปอย่างรวดเร็ว ควรจัดอาหารเรียกพลังงานในมื้ออาหารประจำเช่น ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง เผือก มันเทศ เพราะมีวิตามินบีชนิดต่างๆ ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท และจัดเป็นอาหารจำพวกแป้งไม่ขัดขาวที่ให้พลังงาน ช่วยให้ใจสงบ

• เลี่ยงมลพิษในเมือง - ควรอยู่ในอาคารให้มากที่สุดที่จะมากได้ในช่วงที่มีหมอกควันสูงสุดคือช่วงประมาณ 14.00 นาฬิกา หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายภายนอกอาคาร บริเวณใกล้ถนน หากหลีกเลี่ยงควันพิษได้ยาก การกินอาหารที่มีวิตามินซี และวิตามินอี จะช่วยป้องกันได้บ้าง

แม้โลกภายนอกจะสับสนอลม่านเพียงใด หากโลกภายในของเรายังเข้มแข็งเป็นปกติดี ความเจ็บป่วยจะไม่เยื้องกรายมาเยี่ยมแน่นอน และถ้าวันนี้ใจของคุณยังแข็งแรงดีอยู่ แผ่เผื่อความสุขนี้ไปยังคนรอบข้างที่ยังอ่อนแอเปราะบางด้วย อย่างน้อยเพื่อคนอื่น หรือแม้แต่คมไผ่จะได้อยู่ในสังคมเมืองที่เป็นสังคมแห่งความสุขอย่างแท้จริง


 
 Comment : 222
กลับขึ้นด้านบน

 PK
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 00:41:49   IP :(117.47.28.31)
คลิ๊กที่ภาพ

ตรู.........ก็ชักง่วงงงงงงงงงง
หมดเวลา ขอลาไปก่อน

ทำโอที ชดเชย ที่ขาดงานไปหลายเพลา

ราตรีสวัสดิ์

 
 Comment : 223
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 08:44:50   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
คลิ๊กที่ภาพ

อรุณสวัสดิ์ มิตรสหายที่รักทุกท่าน เช้าวันนี้อากาศเริ่มจะร้อนตับออกนอกร่างกายอีกวันหนึ่ง ..ก็เป็นเช่นนี้ประเทศไทย เราคนไทยทนได้ทุกสถานะการ ...อะไรก็ไม่ดีเท่ามีความรักและสามัคคีกันไว้ คนไทยด้วยกันค่ะ..
นกขมิ้นมีอาหารเช้ามาเสริฟ เพื่อน ๆ ด้วยความรัก และห่วงใย จากใจจริง...

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 224
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 08:52:56   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
คลิ๊กที่ภาพ


ขาดไม่ได้ ..คือน้ำใจ...จากเพื่อน

ดื่มพร้อมกันทุกคนเลยนะ

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 225
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   jo
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 09:21:59   IP :(172.16.104.249)

  จอมยุทธ์น้อย
 

 Sex :
 Post : 370
 สมาชิกลำดับที่ : 154
หวัดดีจ๊ะแม่นกขมิ้นนอนก็ดึกแล้วยังตื่นเช้าอีก ลุงตั๋นตอนนี้คงจะไปทำงานแล้ว เมือวานนอนกันดึกนำรูปภาพมาให้เพื่อน ๆ ชมกัน วันนี้จะมีใครเข้ามาคุยหรือปล่าวนะแม่ขนุนหายไปนะ งานเข้าหรือ เดียวพรุ่งนี้ก็หยุดงานอีกแล้ว แต่วันที่ 10 พ.ค.ต้องมาคุมสอบเด็กเข้ารับราชการที่โรงเรียนวัดมกุฏ ทั้งวันเลย ขออย่าให้อากาศร้อนเลยนะเพราะในห้องสอบเป็นห้องพัดลมแถมไม่มีลมเสียอีกเคยมาคุมสอบแล้วร้อนมาก ๆ เลยตึ้กบังลมหมดเลย ลุงปุ๊ยเป็นอย่างไรบ้างละหายเหนื่อยหรือยัง

 

โจ เลขา18-19
 Comment : 226
ชื่อสมาชิก jo Mail to jo
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:05:23   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
สาวโจ..ก็มาเช้าเช่นกัน แหม! นี่ถ้าพูดถึงวันหยุด ก็ได้อีกแล้ววันศุกร์นี้ เดือนนี้ดีจังเลย นับว่าเป็นเดือนแห่งการพักผ่อนได้เลย แล้วเพื่อน ๆ ไปพักผ่อนที่ไหน? ดีจ๊ะ ..มีโปรแกรมท่องเที่ยวอีกไหม?
จาน..อ้อย
..หายไปไหน? เช้าวันนี้ไม่มาทักนกขมิ้น ตื่นแต่เช้าหวังได้พบเพื่อนก่อนที่จะบินออกนอกรัง...แต่แล้วก็ไม่เจอใคร
แม่ปุ๊
..รินจัง นกขมิ้นคิดถึงนะ ....กีต้า ของน้องคงไม่ยอมวางแน่
เฮียปุ้ย
..เที่ยวหนักช่วงนี้ต้องทำแต้มรอยัลออร์คิดพลัส นัดพาสหายทัวร์อีกรอบ..รอหน่อยนะ เดี๋ยวเฮียปุ้ย ..จัดให้
เฮียภัทร
..สบายดีนะจ๊ะ..หัวใจ.. ตัวเองน่ะ ดีใจจังขอให้ดีวันดีคืนนะ.. มีเพื่อนดี ๆ พาชีวิตให้สดชื่น ไม่เxxx่ยวเฉา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ช่วยรักษาโรคได้ จริง

แล้วเพื่อน ๆ ยังจำได้ไหม?
ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด ยิ้มเสียเถิด เปิดแล้วค่อยอ่าน
วัยละอ่อน เค้าส่ง จ.ม. จีบกัน...อิ..อิ..

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 227
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:09:05   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
Comment : 227
ไม่เxxx่ยวเฉา = เป็นอาการของดอกไม้ ที่ไกล้จะร่วง ไม่สดชื่น

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 228
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:18:27   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
คลิ๊กที่ภาพ

ไปดีกว่า นกขมิ้นบินมาแต่เช้า ..ตอกบัตรก่อนใคร..แต่หายไม่มีใครมารายงานตัว ....งอน...ละนะ
ที่เห็นในภาพ คือ lucky สุนัขตัวโปรดของนกขมิ้น ทำได้ทุกอย่างไหว้เป็น หมอบคลาน ทำตาย ว่ายน้ำ เก็บบอลโดยเฉพาะลูกเทนนิสชอบมาก ดูหน้าซื่อ แต่ฉลาดมากมาย และใจดี เป็นเพื่อนได้ในยามเหงา....คิดถึงเพื่อน

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 229
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:23:48   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
สวัสดีแม่นกขมิ้น ป้าโจ

กลับบ้านทำงานหลายวันแล้ว
ทริปนี้ไม่มันส์ รถติด คนเยอะแยะ
ไปได้ไม่กี่แห่ง
เก็บภาพ art สวยๆมาฝาก ยังมีอีกเยอะ ถ้าต้องการเก็บสะสมไว้

แม่นกขมิ้น มาตามนัด ตรงเวลา
ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเที่ยง
คงต้องมีคิวของเราบ้าง เพื่อตอบแทนน้ำใจอันสูงส่ง
คม.227 แอบดื่มเต็มคำ


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 230
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:25:19   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
อ้อ! ..ลืมบอกไปว่า Mr. lucky สุนัขตัวโปรดของนกขมิ้น คือเจ้าโกลเด้นรีทริฟเวอร์ ค่ะ ชอบเล่นน้ำเหมือนเจ้าของเลย

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 231
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:25:32   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
รีบไปไหน มาตอกบัตรแล้ว

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 232
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:26:50   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
พันธ์ฮิต นิยมเลี้ยงกันมาก

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 233
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:35:46   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
เครื่องดื่มแบบไหนก่อโรค

ประเภทของเครื่องดื่มในท้องตลาด

คณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมความปลอดภัยและกำหนดมาตรฐานด้านอาหารตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยแบ่งเครื่องดื่มเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มี 4 ประเภทย่อย

• น้ำผลไม้ เช่น น้ำผลไม้แท้ น้ำผลไม้ผสม น้ำหวานเข้มข้นผสมน้ำผลไม้

• เครื่องดื่มอัดแก๊ส เช่น น้ำโซดา น้ำอัดลม

• เครื่องดื่มกระตุ้นประสาท เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

• น้ำนม เช่น นมสด นมผสมจากนมผง นมปรุงแต่งรส น้ำนมถั่วเหลือง

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 แบ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกเป็น 2 ประเภทย่อย

• สุราแช่หรือเมรัย คือ ผลที่ได้จากการหมักส่า ให้เกิดสุราที่มีความเข้มข้น แอลกอฮอล์มากน้อยตามความต้องการโดยไม่เกิน 15 ดีกรี และไม่มีการกลั่น เช่น เบียร์ ไวน์ แชมเปญ หรือสุรากลั่นจากผลไม้ต่าง ๆ

• สุรากลั่น คือผลที่ได้จากการหมักส่าให้เกิดมีแอลกอฮอล์แล้วกลั่น และบางชนิดต้องเก็บไว้นานเพื่อให้มีคุณภาพดี อาจปรุงแต่ง ให้มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ตามความต้องการ เช่น บรั่นดี วิสกี้ เหล้าขาว เชียงชุน

เครื่องดื่มยอดนิยมกับผลกระทบต่อสุขภาพ

รายงานของ สถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี ระบุว่า ปัจจุบันนี้เด็กไทย 6 ใน 10 คนบริโภคน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากนมหวาน รองลงไปจะเป็นขนมหวานและน้ำอัดลม ส่งผลให้เด็กไทยป่วยด้วยโรคฟันผุ โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ มากขึ้นเป็นประวัติการณ์

ต่อมาในวัยรุ่นและวัยทำงานพบว่า สุราแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าวันหยุดหรือเทศกาลใดๆก็มักจะมีการดื่มสุรา ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ประชากรไทยติดอันดับชาติที่ดื่มสุราสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยชายวัยทำงานอายุ 20-45 ปี ดื่มสุราสูงสุดถึงร้อยละ 75 ส่วนวัยรุ่นทั้งชายและหญิงต่างก็มีแนวโน้มการดื่มสุราสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าตกใจคือวัยรุ่นหญิงอายุ 11 ก็เริ่มดื่มสุรากันแล้ว สถาบันวิจัยยาเสพติด ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่วัยรุ่นหญิงนิยมดื่ม ได้แก่ สุราต่างประเทศ สุราผสมผลไม้ หรือ ไวน์คูลเลอร์ เพราะเชื่อว่ามีแอลกอฮอล์น้อยดื่มแล้วไม่เมา ในต่างประเทศมีการวิจัยพฤติกรรมการบริโภคสุราผสมผลไม้ หรือ RTD (Ready To Drink) พบว่า เครื่องดื่มประเภทนี้เป็นประตูบานแรกที่เปิดให้เยาวชนกลายเป็นผู้เสพติดสุราในที่สุด

หากพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อสุขภาพแล้ว ในส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นมีผลลบต่อสุขภาพชัดเจน แต่ในส่วนของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์นั้น ผู้บริโภคอาจมีความรู้สึกว่า ผลกระทบต่อสุขภาพที่แฝงอยู่อาจยังไม่ชัดเจนเท่าไรนักจึงมองข้ามผลเสียไป ทั้งๆที่เมื่อศึกษาจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับส่วนประกอบในเครื่องดื่มแล้วจะพบว่า หากดื่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์บางประเภทในปริมาณมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนตัดใจเลือกซื้อเครื่องดื่มครั้งต่อไปกัน ลองตามไปสำรวจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเครื่องดื่มและผลกระทบต่อสุขภาพ...ดีไหมคะ

ส่วนประกอบของเครื่องดื่ม

น้ำรสผลไม้ให้แต่น้ำตาล

เครื่องดื่มยอดนิยมที่เด็กๆหรือแม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ชื่นชอบ เพราะมีรสอร่อยและรู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำผลไม้ หาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าน้ำผลไม้คั้นสดหลายเท่าตัว

ส่วนประกอบ

• สารแต่งกลิ่น สี รส ปริมาณสารปรุงแต่งเหล่านี้ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็ไปสะสมที่ตับและร่างกายส่วนอื่น เพิ่มโอกาสให้เกิดความผิดปรกติของเซลล์จนกลายเป็นมะเร็งได้

• น้ำตาล เมื่อคุ้นชินกับการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานเสียตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ต้องบริโภคในปริมาณที่มากขึ้นจนกลายเป็นอาการติดน้ำตาล บางรายอาจจะแสดงออกด้วยอาการทางจิต เช่น ซึมเศร้า กระสับกระส่าย เดี๋ยวอารมณ์ดีเดี๋ยวอารมณ์ร้าย สมาธิสั้น มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว

ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

• เพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ไฮโปไกลซีเมียหรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

• มีอาการแพ้ที่ผิวหนัง ปรากฏเป็นผื่นคันหรือลมพิษขึ้นเป็นปื้นๆ ตามนิ้ว แขนขาชา

• โรคในช่องปาก ฟันผุ

น้ำอัดลมซ่ากว่าที่คิด

เครื่องดื่มที่เดิมเคยครองxxxส่วนการตลาดของเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยรสซ่าและหวาน ที่ได้รับการโฆษณาว่า สร้างความสดชื่นและดับกระหายได้เป็นอย่างดี

ส่วนประกอบ

• น้ำตาล ในน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ร้อยละ 10-15 ซึ่งนับว่าสูงมาก ลองเปรียบเทียบง่ายๆว่า ในน้ำอัดลม 1 กระป๋องขนาด 250 มิลลิลิตร มีปริมาณน้ำตาลราว 3 ช้อนชา การดื่มเครื่องดื่มซึ่งมีปริมาณน้ำตาลสูงเช่นนี้เป็นประจำทำให้ตับอ่อนทำงานผิดพลาด ก่อให้เกิดโรคอื่นๆที่สัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดได้ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน เป็นต้น

• กรดคาร์บอนิก น้ำอัดลมยังมีการปรุงแต่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเพิ่มอีก 2 ประการ ได้แก่ การเติมกรดปรุงแต่งรสในน้ำอัดลม ซึ่งมีค่า ph โดยประมาณเท่ากับ 3.4 ซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้ ส่วนการอัดแก๊สที่เติมเข้าไปอีกนั้นช่วยให้เกิดความซ่าชวนดื่ม อาจทำให้ท้องอืดเพราะมีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป เกิดอาการระคายแก่ผนังกระเพาะอาหาร เสี่ยงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารในระยะยาว กระดูกและเคลือบฟันผุกร่อนเร็วกว่าปรกติ ด้วยเหตุนี้ทำให้น้ำอัดลมจึงเป็นเครื่องดื่มต้องห้ามในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและผู้ป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหาร

• สารปรุงแต่งรสและสารกันบูด สารเหล่านี้อาจตกค้างในร่างกายและสะสมในตับ ทำให้การทำงานของตับลดลง ไปสู่โรคเกี่ยวกับตับ เช่น มะเร็งตับ ได้

• คาเฟอีน ส่วนประกอบในน้ำอัดลมประเภทน้ำสีดำที่สกัดได้จากเมล็ดโคคาจึงมีคาเฟอีนตามธรรมชาติอยู่ แม้กระนั้นก็ยังมีการเติมคาเฟอีนเพิ่มในกระบวนการผลิตซ้ำอีก ดังนั้นจึงมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง เด็กและสตรีมีครรภ์จึงไม่ควรดื่ม ส่วนน้ำอัดลมประเภทที่มีสีใส ประเภทแต่งสีแต่งกลิ่นเลียนแบบผลไม้ แม้ไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่แต่ก็มีความหวานจัด

ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

ผลจากการดื่มน้ำอัดลมมีให้เห็นในภาพยนต์สารคดีเรื่อง Supersize Me อันโด่งดัง ซึ่งเรื่องจริงของ มอร์แกน สเปอร์ล๊อค ชายหนุ่มชาวอเมริกันผู้ทดลองกินอาหารฟาสต์ฟู้ดและดื่มน้ำอัดลมแก้วโตทุกมื้อติดต่อกัน เป็นเวลา 30 วัน

เมื่อครบกำหนดการทดลอง ปรากฏว่า น้ำหนักตัวของมอร์แกนเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 10 กิโลกรัม พุงโย้ กล้ามเนื้อเxxx่ยว ร่างกายขาดสารอาหารจำเป็นประเภทวิตามิน เกลือแร่เกือบทุกตัว ตับและไตถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง และแพทย์ลงความเห็นว่า หากมอร์แกนไม่หยุดการทดลองเขาอาจช็อคและเสียชีวิตจากอาการไตวายได้ (รายละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้จาก คอลัมน์ ศิลปะบำบัด นิตยสารชีวจิต เล่มที่ 154 ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2548)
เครื่องดื่มเกลือแร่ทำลายสุขภาพคุณแน่

เครื่องดื่มประเภทนี้ได้รับการโฆษณาว่า เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายหรือสูญเสียเหงื่อมาก มีรสหวานและเค็มเล็กน้อย มีการปรุงแต่งรสด้วยสีและกลิ่นผลไม้

ส่วนประกอบ

• น้ำตาลและสารปรุงแต่งรส มีปริมาณไม่สูงมากเมื่อเทียบกับน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้

• เกลือแร่ต่างๆ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม ไบคาร์บอนเนต จากส่วนประกอบดังกล่าวบวกกับเทคนิคในการโฆษณาทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เครื่องดื่มชนิดนี้เหมาะกับนักกีฬาและผู้ที่มีเหงื่อออกมาก

แต่ข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบก็คือ เครื่องดื่มเกลือแร่ควรใช้กับผู้ที่เสียเหงื่อมากๆโดยผิดจากภาวะปรกติที่ร่างกายเคยชิน เช่น ในกรณีนักกีฬาที่เคยอยู่ในเขตหนาว เมื่อมาแข่งขันในแถบร้อน แล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน จะพบว่าเหงื่อออกมากขณะลงสนาม และอ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ได้ เป็นต้น ถ้าเป็นการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายตามปรกติ รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยา ให้คำแนะนำว่า การดื่มน้ำเปล่าเพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไปก็เพียงพอ และถ้ายิ่งเป็นนักกีฬาที่มีการฝึกซ้อมทุกวันด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เสริมอีก เพราะร่างกายจะสามารถปรับตัวต่อการเสียเหงื่อเป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องให้เกลือแร่ชดเชย

ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

หากร่างกายของเราได้รับเกลือแร่ต่าง ๆ จากอาหารเพียงพออยู่แล้ว การบริโภคเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีเกลือโซเดียมมากเกินไป อาจเป็นอันตรายโดยเฉพาะในผู้ที่ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคไต ในกรณีของเด็กและทารกไม่ควรดื่ม เพราะอาจเกิดการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายได้

เครื่องดื่มชูกำลังให้คาเฟอีนมากเกิน
เนื่องจากชื่อเดิมที่ให้ผลบวกด้านจิตวิทยาแก่ผู้บริโภคว่า ดื่มแล้วมีกำลัง สามารถทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย รัฐบาลได้คำนึงถึงช่องว่างดังกล่าวแล้วมองเห็นถึงผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนสังเคราะห์ซึ่งผสมอยู่เครื่องดื่มชนิดนี้ในปริมาณสูงจึงได้กำหนดให้เรียกชื่อเครื่องดื่มชูกำลังใหม่ว่าเป็น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

ส่วนประกอบ

• น้ำตาล ไวตามินต่างๆ ผู้ดื่มอาจรู้สึกสดชื่นนั้นเนื่องจากได้รับน้ำตาลเข้าไป ส่วนวิตามินและสารอื่นๆ เช่น สารกลูคูโรโนแลคโตน สารอันโนซีทอล สารเทาริน ที่ฉลากข้างขวดมักจะระบุว่า มีส่วนช่วยบำรุงตับ หัวใจนั้น ในความเป็นจริงยังไม่ปรากฏผลทางวิชาการมารับรองว่า ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากการดื่มสารเหล่านั้นเข้าไปโดยตรง

• คาเฟอีนสังเคราะห์ ในเครื่องดื่มประเภทนี้มีการเติมคาเฟอีนสังเคราะห์ซึ่งไม่ใช้คาเฟอีนธรรมชาติเหมือนที่พบในน้ำอัดลมหรือกาแฟ โดยปริมาณคาเฟอีนที่ผสมจะอยู่ที่ 50-100 มิลลิกรัม ต่อ ขวดบรรจุ 100 มิลลิลิตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูง

ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

บุคคลทั่วไปไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกินวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปริมาณคาเฟอีนที่ผสมอยู่จึงมีคำเตือนว่า ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม เพราะนอกจากจะมีผลกระทบต่อการทำงานของตับแล้ว ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กและทารกในครรภ์
ในส่วนของวิตามินที่อ้างว่าผสมในเครื่องดื่มประเภทนี้กว่า 10 ชนิดนั้น หากเรารับประทานผักผลไม้เพียงพอแล้ว ร่างกายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมวิตามินหรือสารอาหารอื่นๆจากการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้เข้าไปอีก
เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์นำไปสู่การเสพติด
เครื่องดื่มกลุ่มนี้ถือเป็นก้าวแรกที่นำวัยรุ่น ไปสู่ถนนนักดื่มได้โดยง่าย เพราะมีรสหวานเนื่องจากมีการปรุงรส สี กลิ่นหรือผสมน้ำผลไม้ ทำให้ชวนดื่ม ไม่มีรสขมจัดอย่างเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในดีกรีสูงๆ

ส่วนประกอบ

• น้ำหวานรสผลไม้หรือน้ำผลไม้ ปริมาณน้ำตาลไม่สูงเท่าน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้

• แอลกอฮอล์ แม้จะมีประมาณแอลกอฮอล์ที่ดูเหมือนไม่มากนัก คือ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6-9 แต่หากดื่มติดต่อกันตั้งแต่ 5 ขวด(ปริมาณบรรจุขวดละ 250 มิลลิลิตร) ขึ้นไปก็ทำให้มึนเมาได้

ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

ผลโดยตรงจากการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ไม่น่ากลัวเท่าผลทางอ้อมที่ชักจูงให้วัยรุ่นโดยเฉพาะวันรุ่นหญิงกล้าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ดีกรีสูงขึ้นต่อไปโดยง่าย รายงานจาก สถาบันวิจัยยาเสพติด ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การที่เด็กเริ่มต้นทำตัวเป็นนักดื่มตั้งแต่ก่อนอายุ 13 ปี มีโอกาสติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปจนโต ซึ่งมีกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 10 ปี ประมาณร้อยละ 4.7 ที่เริ่มดื่ม เมื่อเทียบอายุเฉลี่ยของคนไทยที่เริ่มดื่มแอลกอฮอล์ อยู่ที่ 20.5 ปี จะเห็นว่าเร็วจนน่าตกใจมาก
เครื่องดื่มจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่
หากเครื่องดื่มยอดนิยมมีผลลบต่อสุขภาพเช่นนี้แล้ว เราควรเลือกดื่มเครื่องประเภทใดแทน...

หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามหลักโภชนาการ นอกจากรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ร่างกายยังต้องการน้ำเฉลี่ยวันละ 2.5 ลิตรหรือราว 8 แก้ว เพื่อนำไปใช้ในระบบต่างๆของร่างกาย เช่น หล่อเลี้ยงเซลล์ ขับถ่าย ระบายความร้อน หากไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระดับของโซเดียม โปแตสเซียม และคลอไรด์ ไม่สมดุล

เมื่อร่างกายประสบกับภาวะขาดน้ำ เราจะรู้สึกกระหายน้ำ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุ่น ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยลง อารมณ์ฉุนเฉียว สับสน อาการเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะแสดงออกมาเมื่อร่างกายไม่สามารถจัดสรรปันส่วนน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้เพียงพอต่อความต้องการของอวัยวะสำคัญ เสี่ยงที่จะเกิดอาการจุกเสียด แน่นหน้าอก ท้องอืด คลื่นไส้
เครื่องดื่มเสริมอื่นๆอาจมีความความจำเป็นในบางช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกพรุน อาจมีการเสริมแคลเซี่ยมโดยให้ดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ หรือ ขณะที่บางโรคอาจต้องมีการเสริมปริมาณเครื่องดื่ม ยกตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำเกลือแร่โออาร์เอสในผู้ป่วยโรคท้องร่วง การดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อช่วยในการขับถ่ายในกรณีของผู้ป่วยที่มีปัญหาท้องผูก เป็นต้น

รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยา สรุปในตอนท้ายว่า สำหรับวิถีชีวิตของคนโดยทั่วไปแล้ว น้ำสะอาดที่ผ่านการต้มแล้วนับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ในราคาประหยัด ถ้าหากสนใจจะหาซื้อเครื่องดื่มอื่นๆมาบริโภค ควรอ่านฉลากโภชนาการที่แสดงไว้บริเวณด้านข้างของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นข้อมูลช่วยตัดสินใจว่า เครื่องดื่มชนิดนั้นให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ก่อโรค และมีราคาคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่
ภาวะใดบ้างที่เราควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

• สูญเสียเลือด ระหว่างวันเราควรดื่มน้ำมากที่สุด ราว ¾ - 1 แก้ว ในแต่ละครั้ง และให้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้ น้ำปริมาณนี้ มีค่าเท่ากับ 130-180 มิลลิลิตร ในแต่ละครั้ง

• เป็นไข้ เวลาเป็นไข้ควรจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไปจากการระเหยออกทางผิวหนัง การที่น้ำระเหยออกไป จะช่วยลดความร้อนจากอาการไข้ ทำให้ร่างกายเย็นลง นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานและโปรตีนในร่างกาย ลดการสร้างความร้อน และเพิ่มอัตราการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย

• ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การดื่มน้ำมากๆ ระหว่างที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ จะช่วยเพิ่มการผลิตปัสสาวะ และล้างเอาเชื้อโรคออกไปได้เร็วขึ้น

• เป็นโรคปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือด และลดระดับกรดยูริก (ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเปลี่ยนสารอาหารเป็นโปรตีน) ที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปพร้อมปัสสาวะ

ประโยชน์ของเครื่องดื่มแบบชีวจิต
สำหรับชาวชีวจิตเองนั้นนอกจากการดื่มน้ำเปล่าที่ไม่แช่เย็นแล้ว ยังมีเครื่องดื่มที่เปรียบเสมือนตัวช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิชีวิต อย่าง น้ำอาร์ซี น้ำเอ็นไซม์ และน้ำชาสุขภาพ ด้วย คุณสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ในหนังสือที่เขียนโดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ได้แก่ ชีวจิต มะเร็งแห่งชีวิต รวมไปถึงข้อมูลในเวบไซต์นิตยสารชีวจิตที่http://www.cheewajit.com/ซึ่งจะระบุถึงประโยชน์และวิธีการทำไว้โดยละเอียดค่ะ

น้ำอาร์ซี ต้มจากข้าว 9 ชนิด มีข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ลูกบัว ข้าวมันปู ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวกล้อง ข้าวโอ๊ต ซึ่งมีกลูโคส DNA และ RNA ช่วยแก้อ่อนเพลีย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ควรดื่มเวลาเช้าและท้องว่าง หากเก็บใส่กระติกให้อุ่นอยู่เสมอสามารถนำมาดื่มได้ตลอดวัน แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ลองดื่มน้ำอาร์ซี เสริมภูมิชีวิตกันดีกว่า

น้ำเอนไซม์ คั้นจากเครื่องคั้นแยกกากหรือกรองและคั้นด้วยผ้าขาวบาง ห้ามใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าเพราะจะทำให้เอนไซม์ตาย ใช้ผักและผลไม้มาคั้น เช่น แครอท เซเลอรี่ รากบัวหลวง มะระ กระเทียม แคนตาลูป ลูกใต้ใบ ช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างในร่างกาย ฆ่าเชื้อโรค ล้างไขมัน ฟอกเลือด สมานแผลในกระเพาะอาหาร ควรดื่มวันละ 1 แก้วเวลาท้องว่าง งดดื่มน้ำหวานรสผลไม้ที่มีแต่น้ำตาลกับสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส หันมาทำน้ำเอ็นไซม์ดื่มเองกันเถอะ

น้ำชาสุขภาพ ประโยชน์ขึ้นอยู่กับชนิดของสมุนไพรที่ใช้ ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง เตยหอม เก็กฮวย รากบัว มะตูม ตะไคร้ ดอกคำฝอย โดยทั่วไปจะช่วยบำรุงสุขภาพ แก้จุกเสียด ช่วยเจริญอาหาร ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ เป็นต้น นำมาต้มใช้ดื่มได้ตลอดวัน เลือกดื่มชาสมุนไพรที่มีสรรพคุณเหมาะกับภาวะสุขภาพ ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ใช้เยียวยาหรือบำบัดอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆได้


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 234
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   jeeOneNine
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:36:56   IP :(125.25.141.8)

  หนึ่งในใต้หล้า
 

 Sex :
 Post : 3394
 สมาชิกลำดับที่ : 162
มาช้า อีก 5 นาที อดคุยแน่ ๆ ...
ท่าน Pk :
เราก็ว่าจะออกไปทำธุระนิดหน่อย แล้วค่อยเข้ามาอีก หวังเป็นอย่างยิ่ง....ว่าคงได้เปิดประเดิมบ้านใหม่ นะจ๊ะ

 

นกขมิ้นบินหลงทาง ^o^ ~geegee~ 19 เลขาเช้า 6/5
 Comment : 235
ชื่อสมาชิก jeeOneNine Mail to jeeOneNine
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:42:56   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
แก้โรคขี้เหร่ด้วยวิธีธรรมชาติ

แม้จะทำหน้าที่เป็นแผ่นกรองแสงชั้นดี แต่สารเมลานิน(melanin) หรือ เม็ดสีก็อาจโดนทำลายหรือมีกระบวนการสร้างที่ผิดปกติไปได้ ซึ่งทำให้ผิวหนังมีสีซีดจาง บางคนมีสีเข้มขึ้น บางคนเป็นจุดกระ ด่าง ดำ สาเหตุของความผิดปกติของเม็ดสีนั้นมีหลายปัจจัย เช่น โรคจากพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน การโดนแสงแดดจัด การกินยาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูงและยาประเภทฮอร์โมนอื่นๆ โรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลากเกลื้อน การได้รับสารเคมี การขาดวิตามิน เป็นต้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นความผิดปกติของเม็ดสี อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังโรคร้ายที่กำลังเกิดขึ้น

โรคด่างขาว
โรคด่างขาวเป็นภาวะที่เซลล์สร้างเม็ดสีหรือเมลาโนไซต์ถูกทำลาย จากสถิติพบว่า ประชากรเป็นโรคนี้ร้อยละ 1 และพบในคนผิวคล้ำมากกว่าคนผิวขาว ร้อยละ 70-80 ของผู้ป่วยมีอายุต่ำกว่า 30 ปี สำหรับรอยโรคจะปรากฎขึ้นเองโดยไม่มีอาการ ลักษณะที่ขึ้นใหม่ๆ จะเป็นสีขาวจางเหมือนเกลื้อนเมื่อเป็นนานเข้าจึงเห็นเป็นสีขาว ขอบชัดเจน มีรูปร่างกลม หรือ รี หรือเป็นทางยาวตามแนวของเส้นประสาท พบได้บ่อยที่ใบหน้า มือ เท้า และผิวหนังเหนือข้อ รอยดังกล่าวมีขนาดตั้งแต่จุดเล็กๆ ไปจนถึงมีขนาดใหญ่ปกคลุมได้เกือบทั่วร่างกาย

ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลแน่นอน แต่โรคด่างขาวไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น อาจไม่รักษาก็ได้ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการรักษาเพราะรอยโรคมีผลต่อการเข้าสังคม

ไฝและขี้แมลงวัน
ไฝมีอยู่หลายชนิด ไฝธรรมดาที่เราเห็นทั่วไป เป็นจุดกลมหรือรีเล็กๆ สีดำ น้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม มีผิวนูนเล็กน้อย ขี้แมลงวันก็ถือว่าเป็นไฝชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นไฝแบบเรียบ และฝังตัวอยู่ตื้นๆเฉพาะในส่วนของชั้นหนังกำพร้า ไฝจะเริ่มปรากฎให้เห็นตามตัวในช่วงอายุระหว่าง 6-12 เดือน และมักมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ และเมื่ออายุมากถึงจุดหนึ่ง ขนาดของไฝก็จะกลับค่อยๆ เล็กลง บางเม็ดก็หายไปเลย ฉะนั้นหากสังเกตให้ดีในคนที่อายุมากๆ จะไม่ค่อยมีไฝ

สำหรับไฝยักษ์ มีลักษณะเป็นปื้นหนา มีขนขึ้น ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง บางคนเป็นเกือบครึ่งตัว ส่วนมากเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด เด็กกลุ่มนี้อาจมีความผิดปกติของระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ชักบ่อย มีสติปัญญาบกพร่อง เพราะกลุ่มเซลล์ที่สร้างเม็ดสีนั้นเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท หากเซลล์กลุ่มนี้ผิดปกติ ระบบประสาทอาจผิดปกติไปด้วย

โรคบางอย่างอาจทำให้ไฝมีจำนวนมากขึ้นได้ เช่น ภาวะตั้งครรภ์ หรือการได้รับยาบางชนิด ที่สำคัญคือโรคบางกลุ่ม เช่น เนื้องอก และมะเร็ง ยกตัวอย่างเช่น หากพบจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เป็นจำนวนมากมายบนบริเวณริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม รอบปาก ลิ้น เพดานเหงือก หรือที่ผิวหนังบริเวณปลายมือ ปากเท้า แพทย์ผิวหนังจะรีบส่งคนไข้ไปตรวจหลายอย่าง เพราะคนไข้มีโอกาสมีเนื้องอกในทางเดินอาหาร หรือลำไส้ แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีไฝขนาดใหญ่ ควรจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตัวเองให้ดี เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ไฝกำลังจะกลายเป็นเนื้อร้ายได้คือ
1. สีไม่สม่ำเสมอ มีหลายสีในเม็ดเดียว หรือมีสีเข้ม สีอ่อนเกิดขึ้น
2. ผิวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น นูนหนา ขรุขระ ก้อนนูนโตขึ้นเรื่อยๆ
3. ขอบเขตเริ่มไม่เรียบ มีแขนขายื่นออกไป ขอบหยักไปมา
4. มีการเปลี่ยนแปลง เช่น คัน แตกเป็นแผล มีเลือดออก มีการอักเสบ ปวดกดเจ็บเป็นต้น
5. มีไฝขนาดเล็กๆ เกิดรอบเม็ดใหญ่
6. ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงมีขนาดโตขึ้น

ขี้แมลงวันและไฝสามารถจี้ออกได้โดยใช้เลเซอร์และเครื่องจี้ไฟฟ้า จี้ให้เกิดแผลตื้นๆ รอยแผลจะคงอยู่ 5-7 วัน แต่หลังจากทำแล้ว อาจมีปัญหาตามมาคือ หนึ่ง ไฝอาจกลับมาขึ้นใหม่และเพิ่มจำนวนขึ้นได้ หากการจี้ไม่สามารถเอาเซลล์ออกได้หมด สอง การติดเชื้อจากขั้นตอนการทำ การดูแลแผลไม่ดี เช่น หลังทำแล้วไปเล่นกีฬา โดนฝุ่นละออง สาม ถ้าจี้ลึกเกินไป แผลอาจกลายเป็นรอยแผลเป็นลึก ส่วนไฝเม็ดใหญ่ต้องใช้วิธีการตัดด้วยใบมีดแล้วเย็บแผล ความเนียนเรียบจึงขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์แต่ละท่าน

นอกจากนี้มีข้อแนะนำว่า เราควรกำจัดไฝในตำแหน่งที่มองไม่เห็น หรือยู่ในตำแหน่งที่มีการเสียดสีและทำให้ระคายเคืองได้ง่าย มากกว่าไฝที่อยู่ในตำแหน่งอื่นๆ และข้อพึงระวังอีกประการคือ การกำจัดไฝตำแหน่งที่อยู่ตั้งแต่ลำคอลงไป เช่น ลำตัว แขน ขา จะมีโอกาสเกิดคีลอยด์มากกว่าบริเวณหน้า

กระ
กระมี 3 ชนิด คือ กระตื้นและกระลึก
1. กระตื้น จะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล มักเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนที่โดนแสงบ่อยๆ กระตื้นยังแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. Freckle มักพบในเด็กและวัยรุ่น กระนี้จะมีสีเข้มขึ้นและเห็นชัดเจนถ้าไปโดนแดด และจะจางลงเมื่อไม่โดนแดด 2.Solar Lentigo หรือกระแดด พบบ่อยในผู้ใหญ่ เกิดจากการผลิตเม็ดสีมากกว่าปกติ จะแตกต่างจากกระชนิดที่ 1 คือ สีจะไม่จางลงถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้วก็ตาม แถมยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามอายุ
2. กระลึก มีลักษณะเป็นจุดสีเทาหรือฟ้าอมเทาหลายจุดที่บริเวณโหนกแก้มสองข้าง มักพบในผู้หญิงเอเชีย เกิดเนื่องจากมีเซลล์สร้างเม็ดสีขึ้นผิดที่ คือ ไปอยู่ชั้นหนังแท้ เพราะฉะนั้นกระลึกพวกนี้จึงไม่ตอบสอนต่อการทายากำจัดฝ้า
3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาลหรือดำ ซึ่งค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นช้าๆ เป็นตุ่มแบนขนาดใหญ่มีขอบชัดเจน ผิวอาจจะเรียบหรือขรุขระก็ได้ ส่วนมากจะ เริ่มเป็นตั้งแต่วัยกลางคน และค่อยๆ เพิ่มจำนวนและขนาดขึ้นช้าๆ ตามอายุ มักพบรอยโรคที่ใบหน้าและส่วนของลำตัว ผู้ที่มีการตกกระแบบนี้มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นด้วย
กระตื้นจะนิยมใช้การรักษาโดยใช้เลเซอร์ ซึ่งทำให้เกิดสะเก็ดขาวและหลุดออกไป แต่เนื่องจากเป็นกรรมพันธุ์กระนี้ก็จะกลับมาขึ้นใหม่อีก หากไปโดนแสงแดดจัด ส่วนกระลึกก็นิยมใช้การทำไอพีแอล ดังนั้นถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกกังวลใจก็ไม่จำเป็นต้องรักษา เนื่องจากรอยโรคเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมะเร็งผิวหนัง รอยโรคมีจำนวนมาก ซึ่งทำให้เสียเวลาในการรักษา และถึงแม้จะขูดหรือจี้ออกหมด ก็มีโอกาสกลับมาขึ้นใหม่
ฝ้า

เป็นสภาพผิวหนังของใบหน้าที่มีปื้นเป็นสีคล้ำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนเม็ดสีที่ผิวหนังซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ภาวะนี้เกิดในเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้ชายก็เป็นฝ้าได้ถ้าตากแดดมากเกินไป วัยที่เริ่มเป็นฝ้าได้แก่วัยกลางคน ฝ้าพบเป็นกันมากในประเทศเขตร้อน เพราะได้รับแสงแดดมากกว่าที่อื่น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน คือ ฝ้าที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์ หรือในช่วงที่กินยาคุมกำเนิด เมื่อหมดการกระตุ้นจากฮอร์โมน ได้แก่ ระยะหลังคลอด หรือหลังหยุดยา ฝ้าที่เป็นอยู่ก็จะหายขาดไปเอง รวมถึงการแพ้เครื่องสำอางบางอย่างอาจทำให้เกิดฝ้าดำขึ้นได้

ฝ้าที่เกิดใหม่มักเป็นชนิดตื้น เกิดจากการที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้ามีจำนวนเม็ดสีเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเป็นไปนานๆ ก็มีโอกาสกลายเป็นฝ้าลึก ซึ่งเกิดจาการเพิ่มของเม็ดสีในชั้นหนังแท้ สีฝ้าจะคล้ำเข้มมากขึ้น และรักษาให้หายยาก

การรักษาฝ้าจะมีอยู่หลายวิธี เช่น การทายา ซึ่งมีตัวยาหลายตัว เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ พวกนี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี นอกจากนี้ก็ยังมีสารในกลุ่มไวเทนนิ่ง เช่น กรดโคจิก ชาเขียว ชาขาว ซึ่งจะมีพิษน้อยกว่าในกลุ่มที่เป็นยา แต่ว่าประสิทธิภาพในการรักษาเป็นอย่างไรไม่ทราบ เพราะไม่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุนชัดเจน

การรักษาด้วยเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ การทำเลเซอร์บางอย่าง เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ ต้องระวังเพราะมีผลข้างเคียงสูง เนื่องจากบางคนทำแล้ว ฝ้าหายก็จริง แต่ผิวที่ขึ้นใหม่จะคล้ำเป็นรอยดำ ซึ่งเกิดจากรอยแผลของการทำเลเซอร์ ส่วนการรักษาฝ้าด้วยวิธีไอออนโต หรือโฟโตนั้นก็ยังไม่เป็นการรักษาที่ยอมรับในระดับสากล หากจะใช้วิธีการรักษาดังกล่าว ต้องใช้ควบคู่กับการทายาด้วยจึงจะได้ผล

สมุนไพรสลายฝ้า
ทุกวันนี้มีสมุนไพรหลายตัวที่นำมาใช้เพื่อช่วยฟอกสีกระ ฝ้าให้จางลง เช่น ใช้วุ้นว่านหางจระเข้สดถูที่ผิว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก ก่อนนำมาใช้ต้องล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด หรือใช้น้ำมะเฟืองคั้นสดทาบริเวณฝ้า ทิ้งให้แห้งแล้วล้างออก เพราะในมะเฟืองมีความเป็นกรดสูง เวลาใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางก่อน แล้วทดสอบผิวบริเวณอื่นก่อนนำมาทาหน้า

กินปกป้องผิว
วิตามิน เอ ซี ดี และอี ช่วยในการป้องกันผิวหนังไม่ให้เป็นอันตราย และอาจช่วยให้ผิวหนังไม่กลายเป็นสีคล้ำ เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอแลต แต่ควรใช้วิตามินเอเสริมด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อตับได้ การบริโภคผักและผลไม้สดมากๆ จำกัดการกินไขมันอิ่มตัว แป้งขัดขัด และแอลกอฮอล์ ก็ช่วยป้องกันผิวเxxx่ยวย่น กระ ฝ้า ได้เช่นกัน

ปกป้องผิวด้วยตัวเอง
การหลีกเลี่ยงแสงแดด เป็นวิธีดูแลรักษาตัวเองขั้นพื้นฐาน สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของเม็ดสีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนเป็นโรคด่างขาว ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยสวมเสื้อผ้าปกปิด ส่วนคนทั่วไปก็ไม่ควรละเลยที่จะสวมหมวก หรือพกร่ม เพราะหากคุณได้รับแสงแดดมากเท่าไร เมื่ออายุมากขึ้น พลังงานแสงที่คุณเก็บไว้จะกลายเป็นกระแดดจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาผิวพรรณร้อยละ 80 เกิดจากการรับแสงแดด ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี การเริ่มใช้ครีมกันแดดในวัยผู้ใหญ่แล้วอาจจะสายเกินแก้

ดังนั้นควรเริ่มทาครีมกันแดดให้กับเด็กวัย 6 เดือนเป็นต้นไป โดยเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมอื่นๆ น้อย เพราะเด็กมีโอกาสแพ้ง่าย ส่วนผู้ใหญ่ให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป โดยเลือกเนื้อครีมให้เหมาะกับผิวพรรณ เช่น ถ้าผิวแห้งควรเลือกเนื้อครีมมัน และเหมาะกับกิจกรรมด้วย เช่น หากไปว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ควรทาครีมกันแดดที่กันน้ำ โดยเฉพาะคนที่เป็นฝ้าควรจะทาครีมกันแดดทุกฤดูกาลเพราะคุณมีโอกาสเกิดฝ้าได้มากกว่าคนอื่นๆ แม้โดนแสงแดดเพียงเล็กน้อย

ผ่อนคลาย หายเครียด
ความเครียด กังวลใจ และการพักผ่อนน้อยล้วนมีผลต่อสุขภาพผิว โดยเฉพาะคนที่เป็นฝ้า ยิ่งจะทำให้รอยดำคล้ำมากยิ่งขึ้น วิธีการคือ ทำใจให้สงบ หากเครียดมากๆ ให้นั่งสมาธิ เพราะการทำสมาธิ จะทำให้ฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลแกรนด์ในสมองซึ่งเป็นตัวควบคุมการนอนหลับและการสร้างเม็ดสีจะทำงานเป็นปกติ เห็นได้ว่าผู้ปฏิบัติสมาธิจะมีผิวพรรณผุดผ่อง

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 236
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:47:52   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
รู้โรค รู้เรา ก่อนการเดินทาง

ทำอย่างไรถึงจะไม่เมารถเมาเรือ
อาการเมารถเมาเรือหรือเมาการเดินทางเกิดจากการที่ระบบประสาทที่เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกายในช่องหูชื่อ Vestibular organ ทำงานไม่ปกติ ซึ่งระบบประสาทส่วนนี้จะมีน้ำชนิดหนึ่งที่เป็นตัวช่วยควบคุมให้ร่างกายทรงตัวได้ตามปกติ ในขณะที่เราเดินทางจะเกิดการเหวี่ยงไปมาของน้ำในหูเพื่อปรับสมดุล เกินความสามารถในการปรับตัว ร่างกายจึงแสดงอาการมึน งง หน้าซีด เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียนออกมาในที่สุด แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เมื่อคุณจำเป็นต้องเดินทางไม่ว่าจะทางรถ หรือทางเรือ หากปฏิบัติตัวตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ น่าจะช่วยให้คุณรู้สึกสนุกกับการเดินทางได้
1. พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนออกเดินทาง
2. ไม่ควรกินอาหารอิ่มเกินไปก่อนหรือระหว่างเดินทาง
3. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดก่อนออกเดินทาง เพราะแอลกอฮอล์มีส่วนทำให้ร่างกายxxxง หรือเมารถเมาเรือได้ง่าย
4. ระหว่างเดินทางควรดื่มน้ำหรือน้ำหวานทีละน้อย แต่ดื่มบ่อยๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ และควรกินอาหารว่างเบาๆเป็นระยะ
5. หลีกเลี่ยงการเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การอ่านหนังสือบนรถ แต่ควรมองออกไปไกลๆ หรือมองอะไรที่เป็นสีเขียวนอกรถ
6. ถ้าจำเป็นต้องพึ่งยา ควรกินยาที่เรียกว่า Dramamine ซึ่งเป็นตัวยาเม็ดสีเหลือง สำหรับป้องกันอาการเมาก่อนออกเดินทางประมาณ ½-1ชั่วโมง เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ทันเวลา

นอกจากนี้อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่นไข้หวัดก็อาจส่งผลให้มีอาการxxxง คลื่นไส้ หรืออาเจียน ได้ง่ายกว่าภาวะปกติ อย่ากระนั้นเลย หากปฏิบัติตามนี้ การเดินทางในแต่ละครั้งของคุณจะได้ไม่มีอุปสรรคให้หงุดหงิดใจ


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 237
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:49:46   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน

หากต้องสัญจรด้วยเครื่องบิน และใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินเป็นเวลานาน นอกจากอาการเมาเครื่องบินแล้ว อาจมีปัญหาอื่นๆตามมาได้แก่
• ภาวะอ่อนล้าจากการบิน (jetlag) เป็นอาการเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางโดยเครื่องบินเป็นระยะทางไกลมาก ทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายปรับตัวกับเวลาใหม่ไม่ทัน ยิ่งคุณเดินทางข้ามเขตเวลามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายรวนมากเท่านั้น อาการที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปคือ เหนื่อยล้าเมื่อถึงที่หมาย นอนไม่หลับ ไม่อยากกินอาหาร หรืออยากอาหารในเวลาที่ไม่เหมาะสม
• ภาวะหลอดเลือดดำชั้นลึกอุดตันด้วยลิ่มเลือด (economy-class syndrome) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ทำให้เลือดไปอุดตันที่ขา ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่ดี จนก่อให้เกิดอาการขาบวม ภาวะนี้อาจลุกลามทำให้เลือดบริเวณขาเกาะตัวกันเป็นก้อน หรือที่เรียกว่า deep vain thrombosis ซึ่งอาจลุกลามไปอุดตันเส้นเลือดที่ปอด ส่งผลให้ออกซิเจนในร่างกายต่ำลง จนก่อเกิดอาการเหนื่อยหอบ ถ้าเป็นมากอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่อยู่ไกลๆเช่น จากประเทศไทยไปประเทศอเมริกา
• ร่างกายขาดน้ำ อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะได้ หากคุณต้องเดินทางข้ามเส้นสมมติแบ่งเวลามากกว่า 5 time zone (1 time zone คือเวลา 1 ชั่วโมงที่ต่างกัน) ควรปรับตัวให้เข้ากับเวลาท้องถิ่นให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบจากความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

o ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนการเดินทาง
o ดื่มน้ำบริสุทธิ์และน้ำผลไม้บ่อยๆ จะช่วยเพิ่มความรู้สึกสบายตัวระหว่างการเดินทาง
o อย่ากินอิ่มมากเกินไป ทั้งก่อนและระหว่างเดินทาง เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด และทำให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน
o ถ้าเป็นไปได้ ควรให้ร่างกายได้ปรับตัวสู่รอบเวลาใหม่หลังการเดินทางสัก 1-2 วัน เช่น ถ้าเดินทางไปตะวันออกให้เข้านอน และและตื่นให้เร็วขึ้นสัก 1-2 วัน หรือหากเดินทางไปตะวันตกให้เข้านอนดึกสัก 1-2 วัน
o ถ้าเลือกได้ ควรเลือกเที่ยวบินที่บินตรงสู่จุดหมาย เพื่อเป็นการลดระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ทั้งนี้จะช่วยให้คุณพักผ่อนได้มากขึ้น เมื่อเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
o พยายามนอนหลับบนเครื่องบิน และเมื่อถึงที่หมายแล้ว ควรอยู่ในที่ที่มีแสงธรรมชาติในช่วงเวลากลางวันให้นานที่สุด
o เมื่อคุณไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว ให้อ่านหนังสือ ออกกำลังกายเบาๆ หรือเดินไปมาเพื่อสร้างความกระฉับกระเฉงให้ร่างกาย เพราะโดยปกติแล้วแล้วร่างกายจะใช้เวลาในการปรับตัวเข้ากับรอบเวลาใหม่ประมาณ 1 วัน

ส่วนคนที่มีอาการดังต่อไปนี้ห้ามเดินทางโดยเครื่องบินเด็ดขาดค่ะ
• ภาวะโลหิตจาง ซีดมากๆ หรือระดับฮีโมโกลบินน้อยกว่า 8.5
• อยู่ในภาวะหัวใจวายที่ยังควบคุมไม่ได้
• โรคอัมพาต หรือเส้นเลือดในสมองอุดตัน
• โรคเลือดออกในกระเพาะอาหารอย่างน้อย 3 สัปดาห์
• คนที่เคยผ่าตัดใส่ลมเข้าไปในช่องท้องภายใน 14 วัน

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 238
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:51:40   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
ป้องกันอาการเมาที่สูง

สำหรับคนที่พิสมัยการปีนป่ายภูเขา หรือคนที่เดินทางไปในบริเวณที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 เมตร ออกซิเจนจะมีน้อย บางครั้งหากร่างกายไม่พร้อม อาจทำให้เกิด อาการเมาที่สูง (high altitude sickness) ได้ จึงรู้สึกวิงเวียน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หายใจกระชั้น สมองล้า และง่วงงุน หากคุณมีอาการดังกล่าวไม่ควรฝืนขึ้นที่สูงต่อไป ควรให้เวลากับร่างกายเพื่อปรับตัวกับออกซิเจนที่เบาบาง แล้วอาการจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน ระหว่างนั้นควรปฏิบัติตัวดังนี้ค่ะ
• ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
• กินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ผักใบเขียว และถั่วเมล็ดแห้ง เพราะธาตุเหล็กทำหน้าที่นำออกซิเจนไปยังเลือด

อาหารเป็นพิษปัญหายอดฮิตของนักเดินทาง
เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว ก็ใช่ว่าจะหมดห่วงนะคะ บางพื้นที่ที่เราต้องเดินทางไป อาหารการกินที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว เพราะอาจทำให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษได้ โดยเฉพาะคนเอเชียอย่างเราๆ นั้น ไม่มีเอนไซม์ในการย่อยนม ส่วนคนตะวันตกก็คุ้นลิ้นกับอาหารรสอ่อน อย่างไรก็ตาม หากเลี่ยงไม่ได้ อย่าลืมทำตามคำแนะนำต่อไปนี้นะคะ
1. กินอาหารที่ปรุงสุกเท่านั้น เมื่อจำเป็นต้องกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ปลา หรืออาหารทะเล ควรกินเฉพาะที่ปรุงสุกดีแล้วเท่านั้น
2. เมื่อต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือประเทศเขตร้อนอื่นๆ ไม่ควรกินอาหารที่ปรุงเสร็จนานกว่า 3 ชั่วโมง (ถ้าอากาศร้อนมากก็ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง) และหากเกิดอาการท้องร่วง ควรดื่มของเหลว หรือดื่มน้ำผสมเกลือแกงและน้ำตาลมากๆ
3. บริโภคน้ำอย่างระมัดระวัง หากเดินทางไปยังประเทศกำลังพัฒนา ควรเลี่ยงน้ำหรือน้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา และอย่าใช้น้ำประปาแปรงฟันหรือล้างอาหาร ส่วนน้ำดื่มควรดื่มน้ำต้มสุก หรือไม่ก็ดื่มน้ำจากขวดที่ปิดฝาสนิทเท่านั้น หรือใช้ยาเม็ดฆ่าเชื้อสำหรับน้ำดื่ม หรือใช้เครื่องกรองน้ำด้วยซันไอโอดีน


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 239
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:52:40   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
ป้องกันปัญหาสุขภาพจากภูมิอากาศ
สำหรับผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยวในฤดูร้อน หรือเดินทางไปยังแถบประเทศที่มีแดดจัด โดยเฉพาะประเทศแถบแอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชียบางประเทศ แสงแดดที่รุนแรงอาจทำให้ให้ ผิวหนังไม้เกรียม (sun burn) ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ หากคุณมีโปรแกรมต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดๆ เรามีวิธีหลีกเลี่ยงแสงร้อนๆของดวงอาทิตย์มาบอกค่ะ
1. หลีกเลี่ยงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด
2. เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป โดยทาก่อนออกแดดประมาณครึ่งชั่วโมง และทาซ้ำๆทุก 2 ชั่วโมง
3. หลังจากว่ายน้ำ หรืออาบน้ำใหม่ เมื่อจำเป็นต้องออกไปอยู่ท่ามกลางแสงแดด ควรสวมหมวกปีกกว้าง และใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด (สำหรับเด็กทารกควรให้อยู่ในที่ร่มเสมอ เพราะผิวยังอยู่ในสภาพอ่อน)
นอกจากทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว คุณควรกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนให้มากขึ้นด้วยนะคะ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น แครอท มะละกอสุก และผักใบเขียวเข้ม เนื่องจากเบต้าแคโรทีนเป็นสารที่ละลายในไขมันได้ จึงเข้าไปละลายอยู่ในไขมันบริเวณผิวหนัง และช่วยกรองรังสีอัลตร้าไวโอเลตจากแสงแดด ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ส่วนคนที่เดินทางจากประเทศร้อนไปยังประเทศที่หนาวมากๆ ปัญหาที่เจอบ่อยคืออาการติดเชื้อทางลมหายใจส่วนบน คืออาการไข้หวัด หรือคนที่เป็นโรคเริมอาจมีอาการกำเริบได้เหมือนกัน นอกจากนี้ควรเตรียมของใช้จำเป็นจำพวกปลาสเตอร์ ผ้าพันแผล ขี้ผึ้งฆ่าเชื้อ ยาแก้ท้องร่วง ผงเกลือแร่ ยาช่วยย่อย มุ้ง ยากันยุงชนิดขด ยาไล่แมลง และสเปรย์กำจัดแมลง ไปด้วย


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 240
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:53:40   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
ลดปัญหาช็อกวัฒนธรรม

นอกจากการเดินทางจะมีผลกระทบต่อสภาพร่างกายแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจด้วย ทั้งความเครียดที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม กังวลเกี่ยวกับการเดินทาง การอยู่ห่างไกลบ้านเกิดหรือคนเคยใกล้ชิด การรับผิดชอบผู้ร่วมเดินทาง การถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง หรือการปฏิบัติตัวตามกฎหมายที่ไม่คุ้นเคย ตลอดจนความไม่แน่นอนของสภาพดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะการเดินทางไปยังประเทศที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศของตนเองอย่างสิ้นเชิง อาจทำให้เกิดการ ช็อกวัฒนธรรม (culture shock) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้เดินทางปรับตัวได้ยากมากกับวัฒนธรรมใหม่ในสถานที่แห่งใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคย จนอาจส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ระมัดระวังตัวอย่างมากในเรื่องความสะอาดของอาหารและเครื่องดื่ม หลีกเลี่ยงการพบปะกับคนต่างชาติ เกาะติดอยู่กับคนชาติเดียวกัน โกรธอึดอัดเมื่อทำอะไรไม่ได้ตามต้องการ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องภาษา ส่งผลให้มีอาการเหม่อลอย จนคิดอยากกลับบ้านในทันที

หากคุณไม่อยากตกอยู่ในสภาพช็อกวัฒนธรรม ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่เราจะเดินทางไป ว่ามีวัฒนธรรมเป็นอย่างไร และที่สำคัญเราต้องรู้เรื่องกฎหมายบ้านเมือง ว่าประเทศนั้นๆ มีข้อห้ามอะไรบ้าง การเดินทางจะสร้างความประทับใจไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน ประสบการณ์ระหว่างการเดินก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยเฉพาะการเตรียมตัวอย่างดีก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ยิ่งเมื่อเราต้องเดินทางไปยังต่างบ้านต่างเมือง ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาข้อมูลสถานที่ที่เราจะเดินทางไปให้ละเอียด เข้าทำนองว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

เมื่อเตรียมพร้อมทั้งกายและใจแล้ว คราวนี้ก็เที่ยวให้สนุกได้โดยไม่ต้องมีเรื่องให้ต้องกังวลระหว่างทางอีกแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ว่า ก่อนออกเดินทางอย่าลืมสำรวจกระเป๋าครั้งสุดท้ายนะคะว่า คุณลืมอะไรหรือเปล่า ถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางไปพร้อมกันเลยค่ะ


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 241
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:56:54   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
Tip การเตรียมตัวก่อนเดินทางของผู้ที่มีโรคประจำตัว

1. โรคหัวใจ ก่อนเดินทางต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัว และบอกรายละเอียดให้แพทย์ฟังด้วยว่าจะเดินทางไปทำอะไร แพทย์จะได้แนะนำได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการเดินทางไปในประเทศที่มีอากาศหนาว จะทำให้หัวใจทำงานหนักกว่าปกติ ที่สำคัญอย่าลืมพกยาไปด้วยทุกครั้ง

2. โรคเกี่ยวกับไซนัส ในบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ โดยเฉพาะในเครื่องบิน จะทำให้ทางระบายอากาศของไซนัสอุดตัน ทำให้อากาศอุดอยู่ในช่องไซนัส เมื่ออยู่ในที่สูงๆความกดอากาศต่ำลง โพรงไซนัสจะขยายตัวออก ทำให้ปวด คัดจมูก และทำให้หูชั้นกลางเกิดอาการปวดอย่างรุนแรง ดังนั้นเวลาอยู่บนเครื่องบินควรกลืนน้ำลายบ่อยๆ หาวอ้าปากกว้างๆ หรือเคี้ยวหมากฝรั่งในขณะที่เครื่องบินกำลังบินขึ้นหรือลง เพื่อให้ลมพัดเข้าออกหูชั้นกลางได้ดี

3. โรคเบาหวาน ควรพกยาสำหรับควบคุมระดับน้ำตาลจากการกินอาหารเข้าไปด้วย เพราะอาหารที่เรากินในต่างถิ่นอาจแปลกไปจากที่เคยกินเป็นประจำ อาจทำให้ต้องเพิ่มหรือลดปริมาณยาที่เคยกิน ตามสภาพแวดล้อมที่เดินทางไป ซึ่งบางกรณีอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่าภาวะช็อก ทำให้หน้ามืด เป็นลม ดังนั้นการเดินทางสำหรับผู้ป่วยเบาหวานต้องระวังเรื่องระดับอินซูลินในร่างกายให้ดี เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

4. โรคตับ ต้องระวังการติดเชื้อระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะเชื้อ Vibrio vulnificus ดังนั้นเมื่อไปเที่ยวทะเล ไม่ควรเดินไปย่ำน้ำทะเลด้วยเท้าเปล่า เพราะเชื้อดังกล่าวจะเข้าสู่กระแสเลือดทางเท้า และที่สำคัญต้องระวังเรื่องอาหารและเครื่องดื่มด้วย

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 242
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:58:24   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
สาวปุ๊รินจัง

รินยาดื่มกินหรือยัง?
พักผ่อนมากๆ นะ.

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 243
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 10:59:40   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
อ.อ้อย กะ แม่ขนุน
ถ้าได้ยิน ให้กลับบ้านด่วน

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 244
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 11:16:54   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
อ่านเรื่องนี้แล้ว คุณจะมองคนอื่นเปลี่ยนไป

ลองคิดในใจดูเล่นๆ นะครับ
1. ถ้าคุณรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน มีลูกอยู่แล้ว 8 คน ลูก 3 ใน 8 คนนั้นหูหนวก อีก 2 คนตาบอด และ 1ใน 8 คนนั้นมีอาการทางสมอง(Mentally Retard)และตัวเธอเองก็ป่วยเป็นโรคทางเพศ (Syphilis) คุณจะแนะนำให้เธอทำแท้งหรือไม่

2.หากในตอนนี้เป็นเวลาที่เรากำลังจะเลือกผู้นำของโลกและคุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิจะลงคะแนนคุณจะเลือกใครใน 3 คนต่อไปนี้

ผู้สมัคร A : ชอบคบหาสมาคมกับนักการเมืองที่มีประวัติคดโกง ปรึกษาโหราศาสตร์เป็นประจำ มีเมียน้อย 2 คน สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้าทุกวัน วันละ 8 - 10 แก้ว

ผู้สมัคร B : ถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกสภา มาแล้ว 2 ครั้ง ตื่นนอนตอนเที่ยง ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเคยมีประวัติสูบฝิ่น ดื่มเหล้าวันละครึ่งขวด

ผู้สมัคร C :ได้รับตราเหรียญเชิดชูเกียรติในสมรภูมิรบ เป็นมังสวิรัติ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเบียร์เป็นบางครั้ง มีภรรยาแค่คนเดียว

คุณจะเลือกตอบแบบใหน? ใคร? คิดไว้ในใจแล้วมาดูคำตอบ


 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 245
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

   pk
 Posted : 07 พ.ค. 2552  เวลา 11:21:32   IP :(194.151.64.237)

  โคตรเซียน
 

 Sex :
 Post : 5845
 สมาชิกลำดับที่ : 332
มาดูคำตอบกันครับ...
.
.
.
.
.
.
V



ข้อ 1 หากใครคิดแนะนำให้หล่อนไปทำแท้งแล้วล่ะก็ หมายความว่าคุณเพิ่งตัดสินใจฆ่า "บีโธเฟ่น" คีตกรผู้ยิ่งใหญ่ของโลกไปเสียแล้วล่ะ

ข้อ 2 ผู้สมัคร A คือ ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D.Roosevelt) ประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักของชาวอเมริกัน

ผู้สมัคร B คือ นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2

ผู้สมัคร C คือ ผู้นำอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hiltler) ผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวอย่างโหดxxxม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง

ข้อคิด
ข้อที่ 1. สิ่งที่ทุกคนต้องการ คือ โอกาส
ข้อที่ 2. จงตัดสินใจคนที่การกระทำ ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ภายนอก


ที่มา fwd mail

 

มาดมั่น มาดแมน
 Comment : 246
ชื่อสมาชิก pk Mail to pk
กลับขึ้นด้านบน

1 2 3

ท่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ เมื่อ Login เข้าสู่ระบบสมาชิก

 © Copyright 2008 arpakorn.com All Right Reserved. Contact >> admin@arpakorn.com 
can't connect to server